บทที่ 82 พี่ใหญ่ช่างโชคร้ายเหลือเกิน

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 82 พี่ใหญ่ช่างโชคร้ายเหลือเกิน

บทที่ 82 พี่ใหญ่ช่างโชคร้ายเหลือเกิน

หนานกงฉีซิวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่นดั่งหยก ประหนึ่งแสงอาทิตย์อันอ่อนโยนในยามเช้า ชวนให้ผู้คนตกตะลึงยากจะลืมเลือน

  

“เจ้าเป็นน้องชายของข้า เรื่องเหล่านี้ล้วนสมควรกระทำ”

หลังจากเอ่ยร่ำลากันเสร็จแล้ว หนานกงฉีโม่ก็ขึ้นหลังม้าออกเดินทางไปท่ามกลางสายตาของทุกคน สุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่ได้หันกลับมามองพวกเขาเลยสักครั้ง

  

เขาไม่กล้าหันกลับไป ดวงตาจิ้งจอกมองไปด้านหน้าอย่างดุดันและไร้ความกริ่งเกรง

  

เสี่ยวเป่ากับเหล่าพี่ชายยืนมองส่งตรงกำแพงเมืองเป็นระยะเวลานาน

  

“ไปเถิด พวกเราก็สมควรกลับได้แล้ว” หนานกงฉีซิวลูบศีรษะของน้องสาวที่ทอดสายตาพิศไกลออกไปด้วยความอาวรณ์

  

เพราะโศกเศร้าจากการบอกลา ทุกคนจึงกลับไปที่วังหลวงด้วยบรรยากาศหม่นหมอง

  

เมื่อกลับถึงวังหลวงแล้ว เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้เจอพี่รองไปอีกนาน เสี่ยวเป่าก็เศร้าซึมไปหลายวัน

  

หลังจากที่หนานกงสือเยวียนว่าราชการในวันนี้เสร็จแล้ว เขาก็เดินไปหาเจ้าก้อนแป้งที่กำลังจะย้ายต้นกุหลาบมาไว้ตรงข้างตำหนัก

  

เด็กน้อยใช้มือสองข้างเท้าคาง ดวงตากลมโตหม่นแสงราวกับลูกสุนัขตัวน้อยที่น่าสงสาร

  

“องค์หญิง ตรงนี้หรือเพคะ?”

  

พวกชุนสี่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจขององค์หญิงน้อยอย่างเต็มที่

  

พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่า องค์หญิงที่ปกติดูจะไม่คิดอะไรมากนัก ทั้งยังดูเหมือนจะลืมเรื่องร้าย ๆ ได้อย่างรวดเร็ว จะคิดถึงองค์ชายรองได้นานเพียงนี้

  

“อืม ปลูกไว้ที่กำแพงตรงนั้นเลย”

  

เสี่ยวเป่าพยักหน้าตอบด้วยเสียงน้อย ๆ

  

“ทำอะไรกันอยู่?”

  

เสียงลุ่มลึกสงบนิ่งของหนานกงสือเยวียนดังขึ้น เหล่านางกำนัลรีบคุกเข่าทำความเคารพทันที

  

เสี่ยวเป่ารีบวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อ กอดขายาวของเขาไว้แล้วเอาศีรษะน้อย ๆ แนบไว้ แต่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

  

“คิดถึงพี่รอง”

  

หนานกงสือเยวียนบีบมวยผมที่รวบขึ้นไปด้านบนของเด็กน้อย

  

“พี่รองของเจ้าสบายดี นี่คือจดหมายที่ส่งกลับมาให้เจ้า”

  

ทันทีที่เห็นจดหมาย ดวงตาของเจ้าก้อนแป้งก็เปล่งประกายขึ้นมา

  

“พี่รองส่งจดหมายให้เสี่ยวเป่า!”

  

หนานกงสือเยวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย “มีความสุขมากเพียงนี้เชียว?”

  

“อื้อ อื้อ เสี่ยวเป่ามีความสุข”

  

หนานกงสือเยวียนเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องที่ข้าตั้งใจจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง…”

  

ยังไม่ทันได้กล่าวจบดี มือของเสี่ยวเป่าที่เตรียมจะเปิดจดหมายก็พุ่งเข้ามาจับมือเขาแทน จากนั้นเด็กน้อยก็เงยใบหน้าขาวผ่องขึ้นมองเขาตาปริบ ๆ พลางเอ่ยเสียงหวาน

  

“ท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านเพิ่งกล่าวว่าจะพาเสี่ยวเป่าออกไปเที่ยวเล่นนอกวังใช่หรือไม่เพคะ?”

  

หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเรียบ “เดิมทีเห็นว่าเจ้าไม่มีความสุขจึงจะพาออกไปเที่ยวเล่น แต่ในเมื่อยามนี้เจ้ามีความสุขแล้ว…”

  

“ไม่ ไม่ ท่านพ่อดีที่สุด เสี่ยวเป่ารักท่านพ่อม้ากมาก ท่านพ่อต้องพาเสี่ยวเป่าออกไปเที่ยวเล่นนะ ท่านพ่อ~”

  

เรื่องการออดอ้อน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดในวังสู้เสี่ยวเป่าได้

  

เจ้าก้อนแป้งทำท่าทางออดอ้อนชวนให้ผู้คนไม่อาจต้านทานได้

  

แล้วพอเห็นท่านพ่อพยักหน้า เสี่ยวเป่าก็ร้องดีใจออกมาทันที เสียงของเด็กน้อยเปี่ยมไปด้วยความสุข

  

แต่นางต้องอ่านจดหมายของพี่รองเสียก่อน

  

เด็กน้อยค่อย ๆ อ่านจดหมายทีละคำอย่างจริงจัง ไม่มีตกหล่นแม้สักตัวอักษร ระหว่างนั้นก็ไม่ได้สนใจผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อย

  

เนื้อหาจดหมายเขียนบอกว่า ตนเองยังปลอดภัย นอกเหนือจากนั้น หนานกงฉีโม่ก็เขียนบรรยายถึงทิวทิศน์ วัฒนธรรมและอาหารที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ระหว่างเดินทาง เด็กน้อยอ่านมันด้วยความเพลิดเพลิน

  

“ท่านพี่บอกว่าจะส่งของมาให้เสี่ยวเป่าด้วย แต่จะตามมาในภายหลัง มีของท่านพ่อด้วยนะ”

  

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว”

  

เจ้าก้อนแป้งสีขาวราวหิมะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางซึมกระทือเหมือนก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่อีก

  

“ได้เลยเพคะ”

  

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาแล้ว เสี่ยวเป่าก็อดทนรอไม่ไหวจนต้องวิ่งไปหาท่านพ่อ จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นไปมา

“เหตุใดวันนี้ท่านพ่อถึงมีเวลาว่างหรือ?”

  

บนรถม้าหลังออกจากพระราชวัง เสี่ยวเป่ากัดผลไม้รสหวานเข้าปาก สองเท้าห้อยแกว่งไปมา ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวใบหน้าน้อย ๆ ก็หันมามองด้วยท่าทางคล้ายไม่มีความสุข

  

ส่วนเสี่ยวไป๋ ทันทีที่เข้าไปในรถม้า มันก็นอนอยู่ข้างเท้าเสี่ยวเป่าอย่างสงบเสงี่ยม ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา เพราะกลัวว่าตัวมันจะถูกหนานกงสือเยวียนจับโยนออกไป

  

กวางขาวตัวน้อยรู้จักดูสถานการณ์ รู้ว่าไม่ควรจะยุ่งกับใคร

  

หนานกงสือเยวียนพิงหน้าต่างรถม้า มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบ

  

“ฎีกาส่วนใหญ่ล้วนยกให้พี่ชายของเจ้าไปแล้ว”

  

ปากน้อย ๆ นิ่งค้างจากการกินไปชั่วครู่ หลังจากนั้นในแววตาก็ปรากฏความเห็นอกเห็นใจ

  

“พี่ใหญ่ช่างโชคร้ายเหลือเกิน”

  

หนานกงสือเยวียน “…”

  

“พี่ใหญ่ของเจ้าโชคร้าย แล้วข้าไม่โชคร้ายอย่างนั้นหรือ?”

  

เสี่ยวเป่าแย้มยิ้มอย่างเอาใจ “ลำบากท่านพ่อแล้ว”

  

พูดแล้วมือคู่น้อยก็กุมแขนของเขาเอาไว้ “พวกเราจะไปเที่ยวเล่นที่ใดกันหรือเพคะ?”

  

“บนเขาด้านหลังวัดต้ากั๋วมีป่าท้ออยู่หนึ่งผืน”

  

และตอนนี้ก็เป็นช่วงที่ลูกท้อกำลังสุกงอม หนานกงสือเยวียนไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดอีก ดวงตาของเจ้าก้อนแป้งก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

  

“ลูกท้อ ลูกท้อ ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าอยากกินลูกท้อผลใหญ่!”

  

มุมปากของหนานกงสือเยวียนยกขึ้น เขารู้ว่าเจ้าตัวน้อยนี่จะต้องชื่นชอบ

  

ความสุขที่แผ่ออกมาจากเสี่ยวเป่าส่งผลกระทบต่อเสี่ยวไป๋ ทำให้มันกระดิกหางและส่งเสียงร้องอย่างมีความสุขตาม

  

วัดต้ากั๋วเป็นวัดใหญ่ที่สุดของต้าเซี่ย มีผู้คนมากมายเข้ามาจุดธูปไหว้พระ

  

มีบันไดหินทอดยาวขึ้นไปบนภูเขา

  

เหล่าชนชั้นสูงส่วนใหญ่ต่างนั่งเสลี่ยงคล้ายเกี้ยวให้ขนหาบขึ้นไป

  

แน่นอนว่าย่อมมีบางคนเดินขึ้นไปบนเขาช้า ๆ ด้วยตนเองเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ

รถม้าของเสี่ยวเป่ามาหยุดลงที่เชิงเขา ทว่าหนานกงสือเยวียนไม่ได้สั่งให้คนพาพวกเขาขึ้นไป แต่เลือกจะจับมือเสี่ยวเป่าแล้วเดินขึ้นไป

  

เสี่ยวไป๋เองก็เดินไปกับเสี่ยวเป่า กีบเท้าของมันย่ำจนเกิดเสียง

  

“ท่านพ่อ สูงมากเลย!”

  

มองขึ้นไปก็ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุด ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังเดินขึ้นไป

  

การปรากฏตัวของหนานกงสือเยวียนและเสี่ยวเป่าดึงดูดความสนใจผู้คนจำนวนมากทันที แต่ทุกคนล้วนคิดว่าเขาเป็นขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งที่พาบุตรีออกมาเที่ยวเล่น

  

รอบกายของพวกเขามีองค์รักษ์ติดตาม บรรยากาศจากร่างของหนานกงสือเยวียนเองก็ให้ความรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงแค่เหลือบมองก่อนจะรีบเบนสายตาไปทางอื่น

  

เสี่ยวเป่ากลับเป็นดั่งหยกสลัก ริมฝีปากสีแดง ฟันสีขาว ข้างกายมีกวางสีขาวหายากเดินตามนั้นกลับดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก

  

เด็กหญิงตัวน้อยไม่เพียงแต่งดงาม ดวงตาสีดำขลับยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เมื่อรวมกับกวางน้อยสีขาวราวหิมะที่อยู่ข้างกาย ดูแล้วประหนึ่งเป็นเซียนตัวน้อย

  

เหล่าคนชราบางคนที่เชื่อเรื่องนี้เป็นอย่างมากถึงกับทำความเคารพนางด้วยซ้ำ

  

เสี่ยวเป่ารู้สึกประหลาดใจจนอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “ท่านพ่อ พวกเขากำลังทำสิ่งใด”

  

หนานกงสือเยวียนที่ประสาทสัมผัสเฉียบไว ได้ยินเหล่าคนแก่พึมพำถึงเซียนตัวน้อยพอดี “…”

  

“ไม่มีอันใด ไปกันเถิด”

  

เจ้าก้อนแป้งน้อยส่งเสียงอืมตอบรับอย่างว่าง่าย นางกุมมือของท่านพ่อเอาไว้ แล้วใช้ขาสั้น ๆ เดินขึ้นเขาไป

  

การเดินขึ้นบันไดหินนั้นถือเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง โดยเฉพาะกับเหล่าคุณชายคุณหนูจากตระกูลที่มีฐานะ

  

ต้าเซี่ยภายใต้การปกครองของหนานกงสือเยวียน ขนบธรรมเนียมประเพณีนับว่าเปิดกว้างขึ้น เหล่าคุณหนูในห้องหับหลายคนก็ออกมาร่วมจุดธูปไหว้พระกับพวกผู้ใหญ่ในครอบครัว

  

ระหว่างทาง เสี่ยวเป่าได้เห็นคนหนุ่มสาวในอาภรณ์หรูหราหลายคนเดินไปหยุดพักไป ส่วนใหญ่แล้วเหล่าดรุณีจะจับกลุ่มเดินไปด้วยกัน ยากนักจะเห็นผู้เดินเพียงลำพัง