ตอนที่ 72 หิ่งห้อยมายา
เจียงซื่อก้มมองพลั่วที่อยู่ในมือและรู้แจ้งในฉับพลัน
ที่แท้พลั่วนี้ไม่ได้ถูกคนสวนจอมเกียจคร้านโยนทิ้งเอาไว้ที่ข้างกำแพง แต่เป็นพลั่วที่เด็กหนุ่มสองคนนี้วางเอาไว้เพื่อที่จะหยิบมาใช้ฝังศพได้สะดวก!
ก็กว่าเหตุใดพลั่วในสวนดอกไม้ถึงได้แข็งแรงปานนี้…
ความคิดผุดขึ้นในหัวของเจียงซื่อ นางรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทนรอเช่นนี้ได้อีกแล้ว
เพราะไม่มีใครโง่งมไปเสียหมด บ่าวรับใช้ทั้งสองทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ก็ย่อมมีอาการจิตตกเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การที่จู่ๆ พลั่วหายไปอันหนึ่งคงทำให้พวกเขารู้สึกตงิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
และจุดที่นางซ่อนตัวอยู่ตอนนี้ อย่าว่าแต่อำพรางได้อย่างแนบเนียน เพราะลำพังแค่เงาของนางก็ยังบังไม่มิด แต่ที่ยังซ่อนอยู่ได้ก็เพราะอาศัยความมืดยามค่ำคืนเท่านั้น
หากบ่าวรับใช้ทั้งสองเดินหาจนทั่วก็คงพบนางได้ไม่ยาก หากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับการแหวกหญ้าให้งูตื่น
สิ่งที่นางได้รับรู้มาในคืนนี้มากเพียงพอแล้ว เจียงซื่อไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้มาเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตัวเอง
ชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด เจียงซื่อชูมือขวาขึ้นมาพลางรวบรวมสมาธิ แสงสว่างจางๆ ลอยออกมาจากฝ่ามือ ในชั่วพริบตาแสงริบหรี่นั้นก็บินวับจากฝ่ามือเจียงซื่อพุ่งตรงไปยังบ่าวรับใช้ทั้งสองอย่างรวดเร็ว
หากมองผ่านๆ แสงสลัวนั้นละม้ายคล้ายกับหิ่งห้อยทั่วไป แต่แสงนั้นเบาบางกว่าแสงของหิ่งห้อยมาก
เจียงซื่อไม่รู้มาก่อนว่าตนเองสามารถใช้วิชานี้ได้แล้ว
สิ่งนี้มีชื่อว่า ‘หิ่งห้อยมายา’ เป็นการนำหญ้าไป๋เจี่ยวที่บดแล้วมาผสมรวมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในสัดส่วนที่พอเหมาะ จากนั้นก็นำไปจุดไฟด้วยไขมันสัตว์ และป้อนด้วยเลือดสดของมนุษย์ มันจะสามารถเข้าไปสิงอยู่ภายในร่างคนและควบคุมร่างนั้นได้
หิ่งห้อยมายาไม่อาจทำให้คนถึงตาย เพียงแต่ทำให้เกิดภาพหลอนเท่านั้น แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นภาพหลอน
ยกตัวอย่างเช่นคนที่จิตใจแกร่งกล้า หิ่งห้อยมายาก็ยากที่จะกล้ำกราย
แต่ในสถานการณ์นี้ดูเหมือนว่าเจียงซื่อจะไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะคนที่มีความบกพร่องทางจริยธรรมจนสามารถฆ่าคนหรือลงมือทำร้ายคนอื่นได้ย่อมไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นวิญญาณชั่วร้าย
แม้ว่าหิ่งห้อยมายาจะมีความพิเศษ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแมลงชนิดหนึ่งซึ่งชนเผ่าอูเหมียวเรียกกันว่า ‘กู่’[1]
เจียงซื่อไม่อยากเรียกหิ่งห้อยมายาว่า ‘กู่’ เนื่องจาก ‘กู่’ ให้ความรู้สึกว่าเป็นสัตว์ลึกลับที่มีพิษ แต่นี่คือแมลงตัวน้อยน่ารัก นางเลี้ยงดูมันราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง เป็นความรู้สึกเดียวกับคนที่รักหมารักแมวก็ไม่ปาน
หิ่งห้อยมายาบินไปหาบ่าวรับใช้ทั้งสอง มันบินเข้าทางหูซ้ายและทะลุออกทางหูขวา จากนั้นก็บินกลับมาที่ฝ่ามือของเจียงซื่อ และแสงสลัวนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นภายในระยะเวลารวดเร็ว หรืออาจเรียกได้ว่าเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว
“หรือว่าหลังจากที่ใช้เสร็จคราวก่อนลืมเอากลับมาวางไว้ที่เดิม หรือว่าหล่นอยู่ในพุ่มไม้” อานจื่อถามอย่างกลัดกลุ้ม
ลู่จื่อถือพลั่วขึ้นมาพลางขมวดคิ้วมุ่น “เป็นไปไม่ได้ ข้าจำได้ว่าข้าวางมันไว้อย่างดี จะไปหล่นอยู่ในพุ่มไม้ได้ยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นมันหายไปได้ยังไงล่ะ”
“หรือว่ามีใครมายุ่งกับมัน” น้ำเสียงของลู่จื่อเริ่มตึงเครียด
“เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะตั้งแต่แรกที่คนสวนเอาพลั่วไปเก็บก็โดนพวกเราเฉ่งไปทีหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยแตะต้องมันอีกเลย”
“แล้วถ้าเป็นคนอื่นล่ะ” ลู่จื่อถามเสียงเบา
อานจื่อชะงักไป “พี่ลู่จื่อ อย่าทำให้ข้ากลัวสิ”
สาเหตุที่พวกเขาไม่รู้สึกหวาดกลัวยามที่ต้องออกมาฝังศพกลางดึกก็เนื่องด้วยความเคยชิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่กลัวว่าจะมีคนจับได้
แต่แล้วจู่ๆ ลู่จื่อก็หันหน้าไปอีกทางโดยไม่มีสาเหตุ
อานจื่อหันตามไป
เบื้องหน้าทั้งสองมีหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่
หญิงสาวนางนั้นผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าเขียวช้ำ บาดแผลคราบเลือดภายใต้เสื้อผ้าหลุดลุ่ยยังคงปรากฏชัดท่ามกลางแสงจันทร์ และที่มือหญิงสาวนั้นถือพลั่วอยู่อันหนึ่ง
บ่าวรับใช้ทั้งสองที่ลำคอแข็งทื่อค่อยๆ หันหน้ามาสบตากัน สัมผัสได้ถึงความกลัวแทบหยุดหายใจจากแววตาของอีกฝ่าย
“ผะ…ผี…” อานจื่อร้องเสียงหลง เขากลัวมากจนเสียงนั้นคาอยู่ในลำคอ มีเพียงเสียงครางเล็กๆ ที่เล็ดลอดออกมา ครั้นขยับขาได้ก็วิ่งลนลานหนีไปทันที
ปฏิกิริยาของลู่จื่อไม่ได้ต่างจากอานจื่อเลยแม้แต่น้อย เขาออกวิ่งไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หกล้มตีลังกา ลู่จื่อกระวีกระวาดลุกขึ้นพลางก้าวเท้าวิ่งตามอานจื่อไปอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อเห็นว่าเงาของทั้งสองหายวับไปแล้ว เจียงซื่อก็ค่อยๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนตัว
นางไม่อาจทราบได้ว่าทั้งสองเห็นภาพหลอนอะไร แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่ยาก คาดว่าทั้งคู่คงเห็นศพของหญิงสาวเป็นแน่
ความจริงแล้วก็เดาได้ไม่ยาก หิ่งห้อยมายาจะกระตุ้นให้คนเกิดภาพหลอน ซึ่งภาพหลอนนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่อิงจากประสบการณ์ด้านความรู้สึกที่สุดโต่งของบุคคลนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มีความสุขที่สุด เศร้าที่สุดหรือกลัวที่สุด เป็นต้น
ในขณะที่บ่าวรับใช้หนุ่มทั้งสองกำลังคุยกันว่าพลั่วนั้นหายไปไหน จิตใต้สำนึกของพวกเขาก็เริ่มผูกโยงการคาดเดาเข้ากับเรื่องศพหญิงสาว สิ่งที่หิ่งห้อยมายาทำก็คือขยายเรื่องราวที่ดูไร้สาระที่สุดให้ใหญ่โตขึ้นเท่านั้นเอง
ฉะนั้นทันทีที่ทั้งคู่หันหน้าไปจึงเห็นศพหญิงสาวกำลังถือพลั่วอยู่ในมือ
เจียงซื่อถือพลั่วนั้นเดินไปนั่งยองๆ อยู่ข้างศพของหญิงสาว
แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะมืดมิด แต่ก็ไม่อาจบดบังกลิ่นฉุนคาวเลือดนั้นได้
เจียงซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางแหวกผ้าปูเตียงที่ห่อศพนั้นออก
นางมองสำรวจไปทั่วเรือนร่างของศพนั้น
คนที่ถูกฝังที่นี่ก่อนหน้านี้เป็นลูกสาวของหญิงที่เจียงซื่อบังเอิญพบนางขณะที่กำลังพยายามฆ่าตัวตายที่ริมคลองต้นหลิว เจียงซื่อคิดว่าการที่นางได้ทราบตัวตนของเด็กหญิงผู้น่าสงสารคนนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
นางเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านี่เป็นประสงค์ของสวรรค์ เพราะแม้ตาข่ายสวรรค์จะห่างแต่ก็ไม่รั่ว[2]
ไม่แน่ว่านางอาจจะได้พบเบาะแสเกี่ยวกับตัวตนของหญิงสาวเพิ่มเติมจากร่างศพนี้ก็เป็นได้
เจียงซื่อรู้ว่านางต้องเร่งมือแล้ว เพราะหากบ่าวรับใช้สองคนได้สติก็คงจะกลับมาในไม่ช้า
เพราะศพยังถูกวางทิ้งไว้ที่นี่ ต่อให้พวกเขาจะขลาดกลัวเพียงใดก็คงต้องกลับมาฝังให้เสร็จอยู่ดี เพราะหากฟ้าสางเมื่อไหร่คงมีคนมาพบศพเป็นแน่ ฉะนั้นพวกเขาต้องกลับมาสะสางให้เรียบร้อยเสียก่อน
ผ้าปูเตียงที่เปื้อนเลือดถูกคลี่ออกเผยให้เห็นใบหน้าของร่างนั้น
แม้ใบหน้าของนางยังคงสะอาดหมดจด แต่ดวงตาคู่นั้นยังคงลืมค้างอยู่ นางตายตาไม่หลับ
ใบหน้าสะสวยดูอ่อนเยาว์ ครั้นพิจารณาดูแล้วอายุคงไม่เกินสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น
เจียงซื่อรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ เผลอเม้มกัดริมฝีปากตนเองจนเลือดซิบ
นี่ยังเด็กอยู่แท้ๆ เดรัจฉานตัวนั้นยังทำได้ลงคอ!
เจียงซื่อข่มความโกรธแค้นที่เดือดดาลนั้นไว้และรีบสำรวจหาเบาะแสบนร่างศพเด็กสาวต่อทันที
บนร่างศพนั้นมีถุงปักดิ้นขนาดเล็กห้อยคาอยู่บริเวณกระดูกไหปลาร้า
เจียงซื่อกระชากถุงนั้นอย่างไม่ลังเลและยัดเก็บเข้าถุงเหอเปาที่ห้อยอยู่ข้างตัว จากนั้นก็ลงมือสำรวจต่อ
เสื้อผ้าท่อนบนของเด็กสาวถูกฉีกขาดรุ่งริ่ง ท่อนล่างเหลือกระโปรงเปล่าเพียงตัวเดียว ซึ่งคาดว่าถูกสวมอย่างลวกๆ เกรงว่าเดิมที…
เจียงซื่อไม่กล้าคิดต่อ หลังจากไม่มีสิ่งใดให้สืบหาต่อ เจียงซื่อก็ยัดพลั่วเข้าไปที่มือขวาของศพเด็กสาว
เมื่อบ่าวสองคนนั้นกลับมาคงได้ผวากันอีกสักรอบ หากได้เห็นว่าศพเด็กสาวที่นอนอยู่ถือพลั่วอยู่ในมือคงไม่สามารถปลอบใจตัวเองว่าเมื่อครู่ตาฝาดไปได้อีก
ความหวาดกลัวจะสร้างภาพหลอนในจินตนาการ หลังจากคืนนี้ไปแล้วบ่าวรับใช้ทั้งสองคงไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสงบสุขอีกแล้ว
เจียงซื่อดึงผ้าปูขึ้นมาคลุมบนร่างเด็กสาว แล้วนางก็บังเอิญเหลือบไปเห็นที่มือข้างซ้ายของร่างนั้น
มือขวาของเด็กสาวคลายออกอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่เหตุใดมือข้างขวาถึงได้กำแน่นเช่นนั้น ราวกับกำอะไรอยู่งั้นแหละ
เจียงซื่อใจเต้น รีบยกมือข้างขวาของเด็กสาวขึ้นมาดู
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวน่าเวทนาคนนี้เพิ่งตายได้ไม่นานเพราะร่างกายยังคงอ่อนนุ่ม เจียงซื่อแกะมือขวาของนางที่กำอยู่โดยไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย และพบว่าเด็กสาวกำของบางอย่างอยู่ในมือ
[1] กู่ หมายถึง การนำสัตว์มีพิษหลายชนิดใส่ลงในไหเพื่อให้พวกมันกัดกินกันเอง และตัวสุดท้ายที่เหลือรอดจะเป็นตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุด
[2] ตาข่ายสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่ว เป็นการอุปมาหมายถึง สวรรค์นั้นมีความยุติธรรม หากทำผิดย่อมได้รับโทษ