บทที่ 63 ของที่คนอื่นไม่มี ขอเพียงแค่ผมสามารถให้ได้ ผมก็จะให้คุณครับ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

“มูเฉิน——” หลานเสี่ยวถางมองตามหน้าผากของเขาลงไป เห็นที่ข้างใบหน้าของเขาถูกกิ่งไม้ข่วนเข้าให้จึงเป็นรอยแผลเล็ก ๆ มีรอยเลือดเล็ก ๆ ไหลออกมาเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดติดกันแน่น มันให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นมงคลแต่ทว่างดงามบางอย่าง

เดิมที การเคลื่อนไหวของเธอที่ต้องการจะช่วยเขาเช็ดเหงื่อให้นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดลง ก่อนจะจ้องก่อนเขาอย่างเหม่อลอย

สือมูเฉินยันตัวขึ้น สบตามองหลานเสี่ยวถางที่มีท่าทางเหม่อลอย ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวถาง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”

หลานเสี่ยวถางหลุดออกจากภวังค์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะรู้สึกได้ว่าตนเองเผยท่าทางหลุ่มหลงเขาออกมาเสียแล้ว เธอรีบกุลีกุจอส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”

ในเวลาต่อมานั้นเอง เธอก็หันไปมองรอยเลือดเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้าของเขาอีกครั้ง “บนหน้าของคุณถูกข่วนเป็นแผลแล้วนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ แผลเล็กน้อย แม้กระทั่งแผลเป็นก็ไม่น่าจะเป็นได้หรอกครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส

“มูเฉินคะ” หลานเสี่ยวถามสบตามองเขา ณ ตอนนี้ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้อย่างรวดเร็ว ลำคอของเธอตีบตันขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะที่คุณช่วยฉันเอาไว้”

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขา เธอก็อาจจะถูกรถชนจนเสียชีวิตไปแล้วก็ได้

ในช่วงเวลาแบบนั้น เขาไม่ได้สนใจเพียงแค่ให้ตนเองได้หลบไป แต่ทว่ากลับกอดเธอเอาไว้แล้วหลบหลีกไป ถ้าหากว่าเขาช้ากว่านี้ไปอีกวินาทีเดียว หรือว่ารถยนต์คันนั้นอาจจะขับเร็วขึ้นอีกสักหน่อย พวกเขาก็คงจะถูกชนจนอาจจะเสียชีวิตไปพร้อมกัน

เดิมเขาในตอนนั้นก็ไม่ได้มีเวลาที่จะมาคร่ำครวญไตร่ตรอง สามารถพูดได้ว่า ช่วยเธอ ทั้งหมดเป็นไปตามสัญชาตญาณของเขาโดยทั้งสิ้น

เมื่อหลานเสี่ยวถางคิดมาได้ถึงตรงนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปกอดหมับเข้าที่เอวของสือมูเฉิน ซบใบหน้าเข้ากับแผ่นอกของเขา

เขาหลุบตามองเธอ ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มขึ้นมา แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังเพียงครึ่งหนึ่งขึ้นมาว่า “ทำไมครับ หลงรักผมเข้าแล้วใช่ไหมล่ะ?”

หัวใจของหลานเสี่ยวถางกระตุกเต้นอย่างแรงครั้งหนึ่ง เธอไม่ได้เอ่ยพูดอะไร กอดเขาแล้วนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาฉายประกายที่มีความหมายออกมาเล็กน้อย “เป็นครั้งแรกที่มีคนมาช่วยฉันอย่างไม่สนใจอันตรายอะไรเลยน่ะค่ะ”

สือมูเฉินยกมือขึ้นมาแล้วลูบศีรษะของหลานเสี่ยวถางไปมา “รู้แล้วครับว่าคุณประทับใจ แต่ทว่า หลังจากนี้ถ้าหากเห็นอันตรายแล้วก็อย่าเหม่อแบบนี้อีกเลยครับ ผมไม่สามารถอยู่ข้างคุณได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนะครับ มีคนมาตีคุณ หากสู้ได้ก็ควรสู้กลับ สู้ไม่ได้ก็หนีหรือไม่ก็หาคนมาช่วย อย่าโง่ขนาดนี้เลย นะ?”

“อืม” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า ใบหู หัวใจของสือมูเฉินเต้นเร็วมากจนสามารถได้ยินอย่างชัดเจนไปจนถึงภายในจิตใจ

“ไปซื้อรถกันต่อเถอะ” สือมูเฉินดึงมือของเธอ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านโฟส์เอสทางด้านข้าง

สุดท้ายแล้ว ทั้งสองคนก็เลือกรถเบนซ์รุ่นลีลักซ์ซีวีสีขาวมาคันหนึ่ง เป็นเพราะว่ามีตัวรถอยู่ ดังนั้น วันนี้ก็เลยจ่ายเงินสดไปหมดเลย รอให้ยี่ห้อรถยนต์เปิดตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็สามารถรับรถได้แล้ว

ออกจากร้านโฟร์เอสมาก็เป็นเวลาประมาณหกโมงแล้ว สือมูเฉินพาหลานเสี่ยวถางไปยังร้านอาหารใกล้ ๆ กัน นั่งลง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นแล้ว

เมื่อวางสายไป เขาก็หันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “เสี่ยวถางครับ เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดเลยล่ะ สุดท้ายแล้วก็สามารถสืบได้ถึงเจ้าคนน่าสงสัยคนนั้นแล้ว เบอร์โทรสุดท้ายที่โทรออกไปก็คือโทรไปหาเฉินจื่อโร่ว”

หลานเสี่ยวถางอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “ฉันยังไม่ทันได้ลงมือเลยนะคะ เธอกลับเริ่มดำเนินการเสียก่อนแล้ว เธอไม่ได้เข้าไปในตระกูลสือได้แล้วหรอกหรือคะ ถ้าอย่างนั้นแล้วเธอยังขาดเหลืออะไรอีกกันนะ?”

“เสี่ยวถางครับ มีบางคนนะ ไม่เคยที่จะพอได้ตลอดกาลหรอกนะครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้น “ในส่วนของการดำเนินการว่าจะดำเนินการอย่างไรนั้น คุณตัดสินใจได้เองเลยนะครับ”

“ขอฉันคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดสักหน่อยนะคะ” หลานเสี่ยวถางหยิบแก้วขึ้นมา ก่อนจะดื่มน้ำเย็นเข้าไปหนึ่งอึก

อีกทั้งสองสามวันมานี้ เฉินจื่อโร่วดูน่ารำคาญเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เธอตั้งครรภ์แล้ว เข้าไปอยู่ในบ้านของสือเพ่ยหลินโดยสำเร็จแล้ว แต่ทว่า เธอเคยเอ่ยอยู่สองสามครั้งว่าตนเองนั้นได้ถือสมุดทะเบียนบ้านแล้ว เดิมสือเพ่ยหลินก็ไม่ได้เอ่ยคำอะไรต่อจากนั้นด้วย

ในวันนั้น เธอยืนอยู่ที่ด้านหลังแล้วร้องเรียกเขาอยู่หลายครั้ง เขาถือโทรศัพท์แล้วจ้องเขม็งไปที่หน้าจอ เดิมก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลย เธอค่อย ๆ ย่องเข้าไปอย่างช้า ๆ ดังนั้นจึงค้นพบว่าเขากำลังดูภาพถ่ายของหลานเสี่ยวถางอยู่

ดังนั้นแล้ว จึงถือโอกาสที่สือเพ่ยหลินไม่ทันได้ระวังตัว เธอจึงส่งภาพถ่ายนั้นเข้าไปในเครื่องโทรศัพท์ของเธอ อีกทั้งยังซื้อตัวพนักงานของคลับคนหนึ่งมาอีกด้วย ในงานเลี้ยงร่วมรุ่นนักเรียนของหลานเสี่ยวถาง ก็เผยแพร่ภาพถ่ายเอาไว้บนจอกว้าง

แต่ทว่า ทำขนาดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นการระบายอารมณ์ได้ แต่ทว่าเดิมกลับไม่มีผลลัพธ์อย่างแท้จริงเลย วันนี้ เธอเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานอีกครั้ง สือเพ่ยหลินกลับเอ่ยขึ้นมาโดยตรงว่า ที่บ้านไม่ได้เห็นด้วยเร็วขนาดนี้ ขอให้เธอรอก่อนอีกสักหน่อย

หลังจากที่ตั้งครรภ์แล้ว เดิมอารมณ์ก็แปรเปลี่ยนได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินว่ายังต้องรอก่อนอีกหน่อย โทสะของเฉินจื่อโร่วก็บันดาลขึ้นมา ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยกับสือมูเฉินว่า “พี่เสียใจในภายหลังแล้วใช่ไหมละคะที่หย่ากับหลานเสี่ยวถาง ดังนั้นแล้ว พี่ก็เลยคิดที่จะให้เธอกลับมาหาใช่ไหมละคะ?”

แต่เดิม หลานเสี่ยวถางก็เป็นหัวข้อที่สือเพ่ยหลินห้ามเอ่ยถึงอยู่แล้ว เมื่อเขาได้ยินคำพูดแบบนี้เอ่ยขึ้นมา ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปในทันที “เฉินจื่อโร่ว ฉันให้เธอเข้ามาอาศัยอยู่แล้วนะ ตอนนี้ก็เกิดปัญหากับที่บ้านเยอะมานานมากพอแล้ว ถ้าหากว่าเธอไม่อยากที่จะอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็รีบไสหัวออกไปเสีย!”

เฉินจื่อโร่วมีปฏิกิริยาตอบกลับมาในทันที หยาดน้ำตาก่อเกิดอยู่ในดวงตาแล้ว ทว่ากลับทำได้เพียงแค่กลืนมันลงท้องไปก็เท่านั้น

อีกทั้งหลังจากที่สือเพ่ยหลินระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ก็สาวเท้ายาวออกไปจากห้องนอนในทันที

คฤหาสน์ของตระกูลสือนั้นกว้างใหญ่มาก เขาเดินผ่านทางเดินไป ก่อนจะลงบันไดแล้วเดินลงไปยังชั้นหนึ่ง

ภายในห้องรับรองแขก มีต้นพลูด่างมากมายหลายกระถาง ในตอนนี้ มันเริ่มจะเป็นสีเหลืองขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว สือเพ่ยหลินเดินเข้าไปมองดูอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่เพียงแค่ต้นพลูด่างเท่านั้น อีกทั้งยังมีต้นกล้วยไม้อีกเล็กน้อย ก็ดูท่าทางจะเริ่มป่วยตาม ๆ กันมาแล้ว

เขานั่งลงในห้องรับแขกด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบแม้วน้ำขึ้นมา จึงจะรู้ว่า ภายในแก้วกระเบื้องนั้นกลับมีคราบของชาติดอยู่ ดูแล้วสกปรกมาก เดิมทีก็ไม่ใช่รูปร่างเดิมของแต่ก่อนเลย

เขาวางแก้วกระเบื้องลงบนสำหรับชาอย่างอดทนต่อไปไม่ไหวอีกต่อไปแล้วอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วออกจากประตูไป

เขาไม่ชอบให้คนใช้มาเกะกะรำคาญลูกตา ดังนั้นแล้ว ที่คฤหาสน์จึงมีแม่บ้านมาทำความสะอาดเพียงหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น คนรับใช้รับหน้าที่ทำความสะอาดทั้งคฤหาสน์ อีกทั้งห่างจากที่เธอมาทำความสะอาดในครั้งก่อนแล้วนั้น ก็เป็นระยะเวลาประมาณสี่ห้าวันแล้ว

เมื่อก่อนในตอนที่หลานเสี่ยวถางยังอยู่ รู้สึกเหมือนกับว่าแก้วกระเบื้องภายในบ้านไม่มีคราบชาเลย ที่พื้นก็ไม่มีฝุ่น ใบไม้ก็เป็นสีเขียวขจีราวกับวสันต์ฤดูอยู่ตลอดเวลา

แต่ทว่าตอนนี้……

เขานั่งอยู่ภายในรถ จุดบุหรี่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้ง แล้วครุ่นคิดดูว่าจะสามารถนัดใครออกมาดื่มด้วยกันได้บ้าง

เพียงแต่ว่า เขาไม่ทันได้ระวังจึงกดเข้าไปในวีแชทครั้งหนึ่ง สายตากวาดมองอยู่หนึ่งครั้ง ก็มองเห็นพาดหัวข่าวอันหนึ่งเด้งขึ้นมาพอดี “หลังจากที่หย่าแล้ว จู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่า……”

สือมูเฉินเห็นพาดหัวข่าว ก่อนจะกดเข้าไปดูอย่างไม่รู้ตัว

ที่ด้านบนกล่าวถึงเรื่องราวเรื่องราวหนึ่ง

เสี่ยวเฉินและเสี่ยวหลี่แต่งงานกันมาหลายปีแล้ว เสี่ยวหลี่ทำงานข้างนอกตลอดเวลา ไม่กลับบ้านนานหลายปี แต่ทว่าเสี่ยวเฉินกลับเป็นแม่บ้านอยู่บ้านเต็มตัว รับผิดชอบดูแลงานบ้านและดูแลลูกน้อย

ในตอนแรกเริ่ม เสี่ยวเฉินหว่านล้อมให้เสี่ยวหลี่กลับมาบ้านบ่อย ๆ บอกว่าลูกต้องพ่อในการเจริญเติบโต เธอเองก็เหนื่อยมากแล้ว หวังว่าสามีจะสามารถมาอยู่ร่วมกันกับพวกเขาแม่ลูกได้มาก ๆ

แต่ทว่า เสี่ยวหลีกลับพูดว่า เสี่ยวเฉินก็ไม่ต้องไปทำงานเสียหน่อย เพียงแค่ดูแลเด็กคนเดียวมันจะลำบากอะไรนักหนากัน เขายังคงเป็นเหมือนเดิมแบบเมื่อก่อน จนกระทั่ง สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดภาษาเดียวกันอีกต่อไป มีปากเสียงกันไม่หยุด จึงเลือกที่จะหย่า

หลังจากที่หย่ากันแล้ว ลูกอยู่ในความดูแลของเสี่ยวหลี่ เสี่ยวเฉินไม่ต้องการอะไรเลย ออกจากบ้านไปทั้ง ๆ ที่ตัวเปล่า

แต่ทว่า เสี่ยวหลี่ในช่วงเวลาหลังจากนั้น เห็นบ้านนับวันก็ยิ่งยุ่งเหยิง ได้ยินเสียงร้องไม่หยุดของลูกน้อย ในตอนที่ถูกเรื่องจุกจิกประจำวันภายในบ้านทำเอาหัวแทบจะระเบิด ถึงนึกขึ้นมาได้——

ที่แท้แล้ว ชักโครกในบ้านหากใช้น้ำสะอาดไม่ใช้แปรงขัดจะไม่สะอาด คอปกของเสื้อเชิ้ตจำเป็นที่จะต้องซักด้วยมือ เมื่อซักเสร็จแล้วก็ต้องรีดถึงจะเรียบเสมอกัน ลูกก็ไม่ได้ให้เขากินอาหารเข้าไปได้คำเดียว แล้วตนเองจะสามารถโตขึ้นมาได้เลย……

เรื่องลับหลังที่มองดูแล้วอาจจะดูง่ายดายและเรียบง่ายนั้น ล้วนแล้วแต่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพามนุษย์คนนึ่งและการทุ่มเทที่ไม่หยุดไม่หย่อน

ภายในหัวใจคล้ายกลับว่านึกถึงอะไรได้บางอย่าง ราวกับว่าป้อมปราการที่แข็งแรงทนทานมาอย่างยาวนานนั้นได้ทลายตัวลง สือเพ่ยหลินหงุดหงิดจนต้องโยนโทรศัพท์มือถือไปที่เบาะตรงที่นั่งด้านข้างของคนขับอย่างรวดเร็วในทันที ราวกับว่าบนหน้าจอมีอะไรบางอย่างที่เป็นพิษร้ายสามารถคร่าชีวิตได้

เขาออกตัวรถ เหยียบคันเร่งจนสุด ก่อนจะออกไปนอกเขตคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นมาอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา เขาสบถเสียงดังออกมาคำหนึ่งว่า ‘แม่งเอ๊ย’ เมื่อได้ยินว่าโทรศัพท์มือถือยังคงเล่นเพลงอยู่ เขาเหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะความเคยชิน บวกเข้ากับเขาที่ไม่ได้คาดเข็มคัดนิรภัยเอาไว้ หน้าผากจึงอดไม่ได้ที่จะกระแทกเข้ากับกระจกหน้ารถที่อยู่ทางด้านหน้า

ในตอนที่ความเจ็บปวดตีรวนขึ้นมา เขากลับรู้สึกว่าตัวเองได้ผ่อนคลายสบายขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้มขมขื่นขึ้นมารอยยิ้มหนึ่ง

“ฮัลโหล” สือเพ่ยหลินรับโทรศัพท์ ด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย

เสียงจากปลายสายฝั่งนั่นเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณสือครับ พวกเราพึ่งจะค้นพบเมื่อครู่นี้ มีอำนาจในเงามืดกว้านซื้อหุ้นของ Times Group อยู่ครับผม ไม่เพียงเท่านั้นครับ ต่อหน้าก็ไม่สามารถดูได้เลยครับ ว่าท้ายที่สุดแล้วเป็นกลุ่มคนพวกเดียวกันที่ดำเนินการหรือเปล่านั้น หรือว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”

สือเพ่ยหลินนั่งตัวตรงขึ้นมาในทันที “ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะสืบหามาได้?”

เสียงของชายหนุ่มตอบกลับมาว่า “คุณสือครับ ตอนนี้พวกเราก็สามารถสืบหาได้มากสุดเพียงเท่านี้ครับ รายละเอียดนั้น ก็ต้องให้ผู้ชำนาญการมาวิเคราะห์ หรือไม่ก็ต้องใช้พวกแฮ็กเกอร์”

“โอเค ฉันรู้แล้วล่ะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงรอข่าวจากฉัน” สือเพ่ยหลินพูดจบ ก็รีบโทรศัพท์ติดต่อหาผู้ถือหุ้นสองสามคนทันที แจ้งให้ทราบถึงเรื่องการเปิดประชุมผู้ถือหุ้นของวันพรุ่งนี้เช้า

เมื่อวางสายไปแล้ว เขาก็ต่อสายหาสือมูเฉินอีกครั้ง “อาครับ พรุ่งนี้เช้ามีประชุมผู้ถือหุ้นครั้งใหญ่นะครับ เริ่มตอนเก้าโมงเช้า อย่ามาสายนะครับ”

ในตอนนั้นเอง สือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางกำลังรับประทานอาหารในร้านอาหารกันอยู่ เมื่อได้ยินน้ำเสียงเคร่งขรึมของสือเพ่ยหลินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“มีคนกว้านซื้อหุ้นครับ” สือเพ่ยหลินเอ่ยขึ้น “เพียงแต่ว่า รายละเอียดยังคงต้องวิเคราะห์กันไปอีกขั้นหนึ่งครับ”

นัยน์ตาของสือมูเฉินแข็งกร้าวขึ้นทันที “ได้สิ ฉันรู้แล้วล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเชื่องช้าอีกครั้งหลังจากนี้ว่า “ถ้าหากว่าต้องการที่จะวิเคราะห์กันอีกขั้นแล้วละก็ บางทีบริษัทซอฟต์แวร์ก็น่าจะเหมาะสมกว่านะ”

สือเพ่นหลินเอ่ยต่อว่า “อืม ผมก็ค่อนข้างอยากจะต้องการเชิญบริษัทซอฟต์แวร์ครับ เพียงแต่ว่า รอให้ถึงหลังจากการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งใหญ่พรุ่งนี้ก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”

หลานเสี่ยวถางเห็นสือมูเฉินวางสายไปแล้วมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก จึงอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้ว่า “มูเฉินคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือคะ?”

สือมูเฉินสบตามองเธอ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เสี่ยวถางครับ รออีกสักสองเดือน พวกเราค่อยประกาศงานแต่งงาน แล้วให้ของขวัญแต่งงานชดเชยย้อนหลังนะครับ”

“อ๋า?” หลานเสี่ยวถางอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ “ยังอีกของขวัญแต่งงานด้วยหรือคะเนี่ย?”

“ไม่อยากได้หรือครับ?” สือมูเฉินเลิกคิ้ว

“ไม่ใช่นะคะ คือว่า……” หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าหัวใจของตนเองรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งก็ยังรู้สึกเกรงใจ จนกระทั่ง อีกทั้งยังมีความสับสนที่ไม่อยากจะเชื่อถืออยู่หลายส่วนและการรอคอยอย่างเงียบ ๆ อยู่ด้วย

ในตอนนี้เอง เธอคิด เรื่องที่หันจื่ออี้พูดกับเธอ บอกว่าที่สือมูเฉินแต่งงานกับเธอนั้นไม่ได้ใสสะอาด ดูท่าแล้ว นี่ก็คงเป็นการแก้แค้นกันทั้งหมดสินะ?

“วางใจได้ครับ คุณแต่งงานกับผม ของที่คนอื่นมี ผมก็ต้องให้คุณมีด้วยแน่ครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ของที่คนอื่นไม่มี ขอเพียงแค่ผมสามารถให้ได้ ผมก็จะให้คุณครับ”

หลานเสี่ยวถางถูกสายตาของเขาทำให้หน้าแดงและใจเต้นเล็กน้อย เธออดที่จะเลี่ยงประเด็นออกไปไม่ได้ว่า “ทำไมถึงต้องสองเดือนละคะ?”

“เพราะว่า สองเดือน เป็นโอกาสอันดีครับ” นัยน์ตาของสือมูเฉินฉายประกายลึกซึ้งออกมาอยู่ครู่หนึ่ง

ตอนแรก พวกเขารักแกเขาที่ยังเด็ก นำของไปจากมือของเขา และก็เป็นตอนที่ควรจะได้กลับคืนมาได้แล้วล่ะ!

ในสิบปีที่ผ่านมานี้ ในตอนที่เข้าเรียนอยู่ความอันตรายรูปแบบแปลกประหลาดต่าง ๆ หลังจากที่เข้ามาใน Times Group แล้วกดขี่อย่างลับ ๆ แม้กระทั่ง ในตอนแรกที่ต้องแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับหลานเล่อซิน บัญชีแค้นแบบลับ ๆ ที่ทำร้ายเขาในตอนที่เขายังไม่มีอะไรเลย ก็เป็นตอนที่ต้องทวนคืนมาให้ได้ทั้งหมด!

จำได้ ในตอนแรกที่เขาถามหลานเสี่ยวถาง ถ้าหากว่าต้องทวงหนี้ ชอบรูปแบบไหนมากกว่ากัน

หลานเสี่ยวถางเลือกแล้วเป็นวิธีต้มกบในน้ำร้อน ส่วนเขา เดิมทีก็เลือกวิธีที่เลือกแล้วนั่นก็คือแสร้งทำเป็นศัตรูที่อ่อนแอ ถือโอกาสที่ไม่ทันได้ระวังตัว เตรียมโอกาสให้พร้อม โจมตีครั้งเดียวแล้วได้รับชัยชนะเลย!