ตอนที่ 49 คุ้นเคย
เสี่ยวจวงมองเฉียวเวย สีหน้าประหนึ่งถูกอสนีบาตฟาด “ฮูหยิน เมื่อครู่มิได้ตกลงกันแล้ว…”
เฉียวเวยเอ่ยขัด “อ้อ ไม่ยอมขายก็ใช้มีดมาข่มขู่ข้า นี่เรียกว่าตกลงกันหรือ”
ผู้ใดกันแน่ที่ข่มขู่ผู้อื่นด้วยมีดสั้น
เสี่ยวจวงกำลังจะอ้าปากพูด เฉียวเวยก็ชักมีดสั้นในแขนเสื้อ เขาหุบปากลงทันที
จีหมิงซิวมองมา แต่เฉียวเวยแทบไม่กล้าสบตาเขา
นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ทุกครั้งที่พบเขา นางถึงต้องกำลัง ‘ตกระกำลำบาก’ ไม่ถูกอันธพาลไล่ล่าก็สภาพไม่ต่างจากผู้ลี้ภัยต่างแดน หนนี้กลับแย่กว่าเดิม นางอัตคัดขัดสนจนถึงขั้นต้องนำเครื่องประดับที่เขามอบให้ออกมาขาย มิหนำซ้ำยังถูกจับได้คาหนังคาเขาอีก
เดิมทีคิดว่าต้องสละของรักของหวงก็โชคร้ายมากแล้ว แต่ความจริงถูกคนที่ให้มันมาจับได้คือโชคร้ายที่สุด
โชคดีที่นางฉลาด แก้สถานการณ์ได้อย่างปลอดภัย
เฉียวเวยเก็บข้าวของอย่างเชื่องช้า แล้วหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “ช่างบังเอิญจริง คุณชายหมิง พบกันอีกแล้ว”
จีหมิงซิวไม่แก้คำเรียกขานของนาง เขามองนาง จากนั้นมองด้านหลังนางด้วยสีหน้าประหลาดพิกล “เจ้า…”
เฉียวเวยคิดว่าเขากำลังมองเสี่ยวจวงอยู่ จึงขยับไปด้านข้างออกห่างจากเสี่ยวจวง แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาเพื่อขายของ ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดนะ”
จีหมิงซิวอ้าปาก เหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง
แต่นางไม่รอให้เขาพูด ก็เอ่ยต่อว่า “ข้าแค่..ดอกไม้บนปิ่นปักผมมันหลุด ข้าจึงมาให้พวกเขาซ่อม แต่พวกเขาต้องการซื้อปิ่นคืน เหลือเกินจริงๆ ของที่ขายให้แล้วจะเอากลับคืนได้เช่นไร”
เพื่อแสดงจุดยืนว่าตัวเองเป็นอริกับเสี่ยวจวง เฉียวเวยจึงขยับไปด้านข้างอีกสองสามก้าวอย่างเด็ดขาด “ข้าก็ไม่ได้ตกระกำลำบากเสียทุก…”
…หน
คำสุดท้ายยังไม่ทันเอ่ยออกมา เฉียวเวยก็ชนกับบันไดที่อยู่ด้านข้าง
บนบันไดมีลูกจ้างคนหนึ่งกำลังถือกะละมังน้ำเพื่อทำความสะอาดคาน จู่ๆ บันไดก็เอียง ตัวเขาจึงเสียหลัก น้ำเย็นเฉียบสาดลงมาจากกะละมัง เทรดเฉียวเวยจนเปียกโชกทั้งหน้าและศีรษะ
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างจนปัญญา “…เมื่อครู่เพียงคิดจะเตือนเจ้า”
…
เมื่อคนจะโชคร้ายแค่ดื่มน้ำก็ติดซอกฟันได้ เฉียวเวยไม่รู้จริงๆ ว่าถูกน้ำเทราดจนเปียกเป็นลูกไก่ตกน้ำดีกว่าการถูกจับได้ว่าเอาปิ่นดอกเหมยมาขายสักเท่าไร นางเปียกโชกทั้งตัว ไม่มีส่วนใดของร่างกายที่แห้ง เส้นผมเปียกลู่ลงมากับใบหน้า ไม่ต้องมองก็รู้ว่าสภาพน่าเวทนาเพียงใด
นางจะโกรธเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของใคร เป็นนางเองที่เข้าไปชน
อยากดูปกติต่อหน้าเขาสักครั้งก็ทำไม่ได้
อยากจะขุดหลุมฝังตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เสี่ยวจวงยังคงมีน้ำใจ พานางขึ้นไปบนห้องบนชั้นสอง เขาไม่ถือสาที่ตัวเองเคยถูกข่มขู่ แต่หลักๆ ก็เพราะไม่กล้าถือสา
“ท่านมีเสื้อผ้าติดมาด้วยหรือไม่” เสี่ยวจวงถาม
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่มี เจ้าหาเตาไฟมาให้ข้า ข้าตากเสื้อสักหน่อยก็ใช้การได้แล้ว”
อากาศหนาว การสวมเสื้อผ้าเปียกโชกเช่นนี้เป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วยามอาจหนาวจนตัวแข็งได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของนางเหลือเพียงเหรียญทองแดงเหรียญเดียว นางไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาอีกแล้ว
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมองมารดาของพวกเขาอย่างเป็นกังวล เฉียวเวยพยายามห้ามร่างกายที่สั่นเทา พลางเอ่ยปลอบ “แม่ไม่เป็นอันใด เสื้อผ้าแห้งก็ไม่เป็นอันใดแล้ว”
ไม่นานเสี่ยวจวงก็จุดเตาและนำเข้ามาข้างใน ร้านต้าฟังเป็นร้านเล็กๆ ไม่สามารถซื้อถ่านแดงได้ เตาตัวนั้นเต็มไปด้วยถ่านสีดำ ควันฟุ้งตลบ เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งคู่ต่างสำลักควันจนน้ำตาไหล
เฉียวเวยเป็นห่วงนัก “พวกเจ้าไปรอแม่ข้างนอก อีกประเดี๋ยวแม่ก็ออกไปแล้ว อย่าวิ่งไปทั่ว เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ” ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วไปยืนรออยู่นอกประตู
เฉียวเวยถอดเสื้อนวมและกางเกงนวมออกมาผึ่งไฟ นางไม่กล้าถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ประการที่หนึ่งเพราะหนาว ประการที่สองเพราะรู้สึกไม่สบายใจ เสื้อตัวในเปียกชื้นแนบติดอยู่กับร่างกาย อย่างไรก็ต้องมีจุดที่ผึ่งไฟไม่ถึง นางหนาวจนตัวสั่นระริก
ก็อก ก็อก ก็อก!
ประตูถูกเคาะ
เฉียวเวยมั่นใจแปดในสิบส่วนว่าต้องเป็นเด็กๆ จึงพูดว่า “หิวหรือ รอประเดี๋ยว แม่ใกล้จะเสร็จแล้ว!”
“ข้าเอง”
เสียงของจีหมิงซิว “ข้ามีเสื้อผ้าสะอาดอยู่ในรถม้า เจ้าใส่มันก่อน เสื้อผ้าของเจ้าแห้งแล้วค่อยมาเปลี่ยน”
ประตูเปิดแง้มออกเล็กน้อย
มือเรียวขาวผ่องยื่นออกมา เล็บมือชมพูระเรื่อ นิ้วมือเรียวยาว ผิวพรรณราวกับจะบีบน้ำออกมาได้ เหนือขึ้นไปคือข้อมือขาวผ่อง เนียนละเอียดประหนึ่งกระเบื้องเคลือบ
จีหมิงซิวจ้องเขม็ง ดั่งตกอยู่ในห้วงภวังค์
มือข้างนั้นขยับไหวๆ ดูราวกับหยกงามกำลังขยับ เปล่งแสงนุ่มละมุนออกมาจางๆ
จีหมิงซิวมองมือข้างนั้น ส่วนเด็กทั้งสองคนก็กำลังมองจีหมิงซิว
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเด็กๆ จีหมิงซิวจึงเก็บสายตากลับมาแล้วส่งเสื้อผ้าให้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยคว้าเสื้อผ้าได้ก็ปิดประตูลงกลอน
เสื้อผ้าที่ได้รับมาเป็นเสื้อตัวในทำจากผ้าฝ้ายธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง เนื้อผ้านุ่มยิ่งนัก กลิ่นหอมสะอาดและกลิ่นหอมสดชื่นลอยออกมา คล้ายกับกลิ่นหอมบนกายเขา หอมยิ่งนัก
เสียงของจีหมิงซิวดังมาจากข้างนอก “ข้าจะพาพวกเขาไปหาอะไรทานก่อน”
ไม่ได้ทานสิ่งใดมาตั้งแต่เช้า เด็กๆ น่าจะหิวแล้ว เดิมทีเฉียวเวยตั้งใจจะพาพวกเขาไปทานของอร่อย หลังจากขายเครื่องประดับได้แล้ว แต่ตอนนี้ขายปิ่นปักผมไม่ได้ ตัวเองหิวไม่เท่าไร แต่นางไม่อยากทรมานลูกทั้งสองคน
“ถ้าเช่นนั้น ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณคุณชาย”
จีหมิงซิวพาเด็กๆ เดินลงไปด้านล่าง
ตอนไปรักษาอาการป่วยที่เมืองหลวงวั่งซูเคยคุยกับจีหมิงซิวแล้ว ระหว่างพวกเขาสองคนยังมีความลับร่วมกันอีก จึงอาจกล่าวได้ว่าคุ้นเคยกันดี มือเล็กนุ่มนิ่มจับนิ้วก้อยของเขา แล้วกระโดดไปกระโดดมาอย่างตื่นเต้นเป็นที่สุด
เมื่อเทียบกับท่าทางสนิทสนมของนาง จิ่งอวิ๋นแลดูเกร็งกว่ามาก
เขาป่วยหนัก ระหว่างหลายวันนั้นจึงสะลึมสะลือ เขารับรู้เพียงเลือนรางว่ามีท่านลุงใจดีช่วยเหลือพวกเขา แต่ไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย
เขาลอบมอง แต่เพราะเขาตัวเตี้ยจึงเห็นแค่คาง!
จีหมิงซิวผินหน้ามามองเขา
เขาเบือนดวงหน้าเล็กจ้อยหนีอย่างว่องไว แสร้งทำเป็นว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เมื่อจีหมิงซิวหันกลับไปมองด้านหน้า เขาก็ลอบมองเขาอย่างลับๆ ล่อๆ อีกหน
ตอนเขาแอบมองจีหมิงซิวเป็นครั้งที่เจ็ด จีหมิงซิวก็จับเขาได้อย่าง ‘คาหนังคาเขา’ ดวงตาสองคู่สบประสาน เขาตื่นตระหนกจนเกือบสะดุดหัวทิ่ม!
จีหมิงซิวหยุดเดินเพราะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ไม่ทันพิจดูจึงไม่รู้สึกอันใด แต่ยามนี้เมื่อได้มองอย่างละเอียดจึงรู้สึกว่าหน้าตาของเด็กน้อยคนนี้แลดูคุ้นตาเล็กน้อย เหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน