หลังจากยืนยันได้ว่าฟินเนอร์แกนฟื้นแล้ว โคดี้กับฮาโรลด์จึงตัดสินใจที่จะออกมาจากห้อง ขณะที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์และน่าสมเพช โคดี้ก็คิดว่าน่าจะรอให้บรรยากาศสงบลงกว่านี้ซักหน่อยค่อยเข้าไปอธิบายเรื่องต่างๆให้ฟินเนอร์แกนฟัง
หลังจากกลับมายังห้องนั่งเล่น เขาก็นั่งลงที่เก้าอี้และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เมื่อเห็นดั่งนั้น ฮาโรลด์จะพูดขึ้นด้วยวาจากเฉกเช่นปกติ โดยไม่สนใจความรู้สึกของโคดี้ใดทั้งสิ้น
[ พอใจรึยัง ? ] – ฮาโรลด์
[ เฮ้อ.. พูดตามตรง ข้าก็อยากที่จะจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้นายลำบาก แต่ถึงอย่างงั้น พวกเรายัง … ] – โคดี้
[ งั้นก็โทษตัวเองซะที่เกิดมาอ่อนแอ ] – ฮาโรลด์
[ ใช่ ข้าเองก็ขอโทษ … และขอบใจนะ ขอบใจนายจริงๆ ] – โคดี้
โคดี้ทำได้เพียงโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง เขาไม่เพียงทำให้ฮาโรลด์ต้องเป็นคนช่วยฟินเนอร์แกน แต่ยังทำให้ฮาโรลด์ต้องใช้ดาบที่ดูดกลืนอายุไขของเขาอีกด้วย และเพราะโคดี้รู้ถึงความสามารถของดาบเล่มนี้ เขาจึงตั้งใจที่จะจัดการเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วยตนเอง และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยืมมือของฮาโรลด์เด็ดขาด
( แต่สุดท้าย ข้าก็ทำได้เพียงทิ้ทุกสิ่งอย่างให้ฮาโรลด์จัดการ ข้าไม่รู้จะด่าตัวเองยังไงดี ทั้งไร้ยางอายทั้งแย่ที่สุด … ) – โคดี้
แม้จะเป็นผู้อาวุโสกว่า แต่ด้วยนิสัยของโคดี้จะให้เขาพูดอวดเบ่งว่าเป็นผู้อาวุโสกว่านั้นก็ไม่เหมาะกับเขา แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็ขีดจำกัด และถ้ามันเกินเลยจนเกินไป เขาคงจะหยุดฮาโรลด์ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ดาบเล่มนั้นหลุดจากมือและฮาโรลด์เป็นคนหยิบมันขึ้นมาเพื่อช่วยฟินเนอร์แกนด้วยตัวของเขา ตอนนั้นโคดี้เขารู้สึกว่าเขาทำได้เพียงแค่ยอมแพ้
เขายอมแพ้ต่อฮาโรลด์ ทั้งความแข็งแกร่ง และ ความอ่อนโยน และที่สำคัญที่สุด เขาได้ยอมแพ้ต่อความอ่อนแอของตนเอง
[ ชั้นไม่ได้ต้องการของไร้ค่าอย่างคำขอบคุณของนาย แต่ถ้ารู้สึกว่าติดหนี้ชั้น ถ้างั้นหลังจากนี้ชั้นจะใช้งานนายเยี่ยงทาส ] – ฮาโรลด์
[ ฮ่าๆๆ … ปราณีข้าหน่อยเถอะ ] – โคดี้
“ก็ได้ นายชนะ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” ขณะที่โคดี้คิดเช่นนั้น คำที่ฮาโรลด์กล่าวออกมาไม่ใช่อะไรอย่างการให้กำลังใจหรือซ้ำเติม
บางทีฮาโรลด์อาจรู้ว่าโคดี้กำลังโทษตัวเองอยู่ เขาจึงพยายามให้กำลังใจในแบบของเขา นี่ตกลงใครแก่กว่าใครกันแน่
ตั้งแต่ครั้งแรกที่โคดี้พบกับฮาโรลด์ ฮาโรลด์นั้นมีบุคคลิกที่เป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ แถมตอนนี้หมอนี่ก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ด้วยบุคคลิกเหล่านั้นยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ทั้งความแข็งแกร่งและเสน่ห์ที่เหมาะกับการเป็นฮีโร่เช่นเดียวกับ วินเซนต์ ไม่สิ บางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้อ หรือบางทีเป็นข้าเองที่ไม่ได้เรื่องกันนะ” โคดี้ถอนหายในขณะที่ความคิดเหล่านี้แว๊บเข้ามาภายในหัว
[ ถ้างั้น พวกเรามาพักกันซักหน่อยเถอะ ] – โคดี้
ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว
จะให้ออกไปเดินหาโรงแรมในเวลาแบบนี้ก็คงไม่ไหว แถมถ้าคิดดูดีๆ จะให้ออกจากบ้านหลังนี้ไปเฉยๆก็คงไม่ถูกกาละเทศะเสียทีเดียว แถมพวกเขายังต้องอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ตัวของฟินเนอร์แกนกับภรรยาของเขาในตอนเช้าอีกด้วย
[ ท่านผู้มีบุญคุณอันสูงส่งเชิญพักผ่อนบนโซฟาตัวนี้ได้เลยขอรับ กระผมผู้น้อยจะนอนที่เก้าอี้หรือที่พื้นก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจขอรับ ] – โคดี้
โคดี้ยืดตัวและหาวออกมา ตอนนี้เขารู้สึกง่วงเต็มทน ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าง่วง ควรจะบอกว่าเหนื่อยล้าเสียมากกว่า
เนื่องด้วยในอาชีพของเขา โคดี้ค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจของตน แต่เพียงแค่ถือดาบเล่มนั้นก็สามารถทำให้พลังกายและใจของเขาเหือดแห้งไปจนหมด และเมื่อยิ่งคิดว่าอายุไขของเขาเองก็ถูกดูดไปด้วยมันยิ่งทำให้รู้สึกเสียวไปทั้งกระดูกสันหลัง
และยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับฮาโรลด์ ผู้ซึ่งใช้ดาบที่ดูดอายุเช่นนั้นได้อย่างหน้าตาเฉย โคดี้ไม่เข้าใจจริงๆและอยากจะถามฮาโรลด์ไปว่า “ถ้านายใช้มันมันก็ดูดอายุไขนาย และสิ่งสุดท้ายที่รออยู่ก็คือความตาย นี่นายไม่กลัวบ้างเลยรึไง ?”
แน่นอนว่า โคดี้ทำได้เพียงตะโกนคำถามเหล่านั้นอยู่ภายในใจ
[ เอ๊ะ เดี่ยวนะ รึว่านายเป็นคุณหนูที่ไม่สามารถนอนหลับบนโซโฟได้ ? ก็ นายเป็นถึงขุนนางไม่ใช่รึ ] – โคดี้
แม้โคดี้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าฮาโรลด์เป็นพวกเรื่องมากอะไรแบบนั้นหรอก เพราะในมุมมองของโคดี้นั้น เขาคิดว่าฮาโรลด์คงสามารถยืนหลับอยู่กลางป่าเลยก็ยังได้
“.. เดี่ยวนะ นี่มันแปลกๆ ทำไมเขาถึงเอาแต่เงียบ ? เขาเมินข้ารึไง ? โถ่เพื่อน แบบนี้มันปวดใจนะ ” ขณะคิดเช่นนั้น โคดี้ก็หันไปทางฮาโรลด์ ก็พบว่าหมอนั้นกำลังจ้องจดหมายที่อยู่ในมือ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาได้รับมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อคิดว่าสถานการณ์มันชักจะแหม่งๆ โคดี้จึงยังลังเลที่จะเรียกเขาอีกครั้ง
แต่ว่าก็ไม่ปล่อยให้โคดี้ลังเลอยู่นานนัก ฮาโรลด์ก็เก็บจดหมายฉบับนั้นลงกระเป๋าและหันหลังกลับมาหาเขา
[ มีเรื่องด่วน เพราะงั้น ชั้นต้องไปล่ะ ] – ฮาโรลด์
[ นายจะไปตอนนี้เลยรึ ? ] – โคดี้
[ ฝากนายอธิบาย 2 คนนั้นด้วย แต่อย่าพูดอะไรที่ไม่จำเป็นล่ะ เข้าใจ ? ] – ฮาโรลด์
[ ได้ๆ แต่ว่า นายไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเขาหน่อยรึ ? ] – โคดี้
[ …จะใช่ชีวิตกันยังไงก็ตามใจเถอะ บอกพวกเขาไปแบบนั้น ] – ฮาโรลด์
พอเขาพูดจบ ฮาโรลด์ก็รีบออกจากบ้านไปทันที แม้แต่โคดี้เองก็ห้ามไม่ทัน
ขณะที่ถูกทิ้งไว้ภายในห้องนั่งเล่น โคดี้ได้แต่มึนๆงงๆอยู่ลำพัง
โคดี้นั้นไม่รู้ว่าทำไมฮาโรลด์ถึงต้องรีบไป เขารู้เพียงแค่ว่าฮาโรลด์นั้นค่อนข้างยุ่งอยู่ตลอด ดังนั้นคงไม่แปลกอะไรหากมีเรื่องด่วนที่จะต้องรีบจัดการ
นอกจากนี้ โคดี้ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่จะต้องอธิบายเรื่องต่างๆให้2สามีภรรยาฟังด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม คนที่จะต้องอยู่ให้ฟินเนอร์แกนแสดงความขอบคุณนั้นจากไปแล้ว
ขณะที่กำลัง งงๆ อยู่ว่าจะเอายังไงดี จู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งเรียกเขาดังขึ้นจากที่ด้านหลังเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่
[ คุณโคดี้ ] – ซาร่า
[ โอ้ ไงจ้ะ ซาร่าตัวน้อย ข้าทำให้หนูตื่นรึปล่าว ขอโทษด้วยนะ ] – โคดี้
ผู้ที่ยืนอยู่ในชุดนอนคนนั้นเป็นซาร่านั้นเอง ลูกสาวของฟินเนอร์แกน
ดูเหมือนว่าโคดี้จะเสียงดังไปหน่อยเลยทำให้เธอตื่น และโคดี้ก็ลังเลอยู่ว่าจะอธิบายเรื่องต่างๆให้เธอฟังเลยดีรึปล่าว แต่ทว่า ซาร่ากับเป็นคนเริ่มพูดกับเขาก่อน
[ คุณทำได้ดีมาก อย่างไรก็ตาม ถึงเวลาที่คุณจะต้องไปเล่นในบทบาทอื่นต่อแล้ว ] – ซาร่า
[ … ซาร่า ? ] – โคดี้
มีบางอย่างแปลกๆ นี่มันไม่เหมือนวิธีการพูดของเธอ ไม่เพียงแค่นั้น ดวงตาคู่นั้นที่เขาและเธอกับสบกัน โคดี้รู้สึกราวกับกำลังจ้องมองความว่างเปล่าอย่างไรอย่างงั้น
โคดี้รู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเธอแต่ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่
อย่างไรก็ตาม โคดี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้ว่าเขาจะพยายามคิดหาเหตุผลต่างๆนาๆ แต่เขาก็ไม่สามารถหาคำตอบที่พึงพอใจได้ ราวกับสมองของเขาปฎิเสธที่จะคิด
ซาร่าค่อยๆเดินมาใกล้เขาทีละก้าว ทีละก้าว อย่างช้าๆ เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของเธอแปลกไป ด้วยดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ในที่สุดโคดี้ก็รู้สึกตัวว่าเขาไม่สามารถที่จะขยับตัวได้
( … ดะ–ดวงตาสีฟ้า ? ไม่สิ ดวงตาของซาร่าไม่ควรจะเป็นสี—-) – โคดี้
และก่อนที่โคดี้จะนึกออก ก็มีบางสิ่งมาบดบังสายตาของเขา มันเป็นฝ่ามือเล็กๆของซาร่าที่มาปิดตาของเขา
แม้ร่างกายของของจะแข็งทื่อไปแล้ว แต่โคดี้ก็ยังรู้สึกถึงฝ่ามือเล็กๆที่ปิดตาของเขาอย่างนุ่มนวล
[ ทะ-เธอจะทำอะไรกันแ – ] – โคดี้
ก่อนที่โคดี้จะถามได้จบ สติของเขาก็ดับมืดลง
[ ครั้งต่อไป นายจะเป็นบททดสอบที่ดีสำหรับเขา ] – ซาร่า/??
ท่ามกลางสตีที่กำลังเลือนลาง คำพูดเหล่านั้นได้มาถึงหูของเขา แต่ทว่ามันกลับเป็นเสียงของซาร่าและเสียงของชายวัยกลางคนผสมปนเปกัน
——————————-
ฮาโรลด์กำลังหอบจนใจจะขาด
นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขานั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งด้วยพลังทั้งหมดของเขา
ถึงแม้เขาจะหายใจแทบไม่ทัน แต่เขาก็ไม่หยุดพักแต่อย่างใด
ตอนนี้ ดวงอาทิตย์ได้ขึ้นสูงบนท้องฟ้าไปแล้ว แต่เพราะช่วงหลังๆมานี้ไม่มีอะไรราบลื่นเลยซักอย่าง ฮาโรลด์จึงได้แต่คิดว่าไอ้ท้องฟ้าแจ่มใสเหล่านี้คือพระเจ้าที่กำลังเยาะเย้ยเขาที่ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดครั้งแล้วครั้งเล่า
มันช่วยไม่ได้ที่ฮาโรลด์จะรู้สึกเช่นนั้น เพราะสถานที่เขากำลังเผชิญอยู่มันฉุกเฉินเป็นอย่างมาก
( ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงมาถึงเหตุการณ์ ณ คฤหาสน์ของแฮร์ริสันแล้วตอนนี้ ?! ) – ฮาโรลด์
ถึงแม้เหตุการณ์นี้มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอนเพราะมันจะมีฉากที่ไลเนอร์ต้องเข้าต่อสู้ ณ คฤหาสน์ของแฮร์ริสันเพื่อชิงดาบของเขาคืน และด้วยความช่วยเหลือของ เอลล์และฟรีรี่ ทำให้ฮาโรลด์รู้สถานการณ์ต่างๆของกลุ่มไลเนอร์เป็นอย่างดี เขารู้ว่าพวกของไลเนอร์จำต้องผ่านเหตุการณ์อื่นๆอีก 2 – 3 เหตุการณ์ก่อนถึงจะมาถึงที่คฤหาสน์แฮร์ริสัน แต่ทว่าไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงข้ามฉากเหล่านั้นและมายังเหตุการณ์นี้เลย
เมื่อคิดย้อนกลับไปทันทีที่ได้รับจดหมายฉุกเฉินที่ติดต่อเข้ามาตอนอยู่ที่บ้านของฟินเนอร์แกน ฮาโรลด์เองแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้อ่าน
แน่นอนว่าฮาโรลด์ไม่ได้เล่าอะไรให้เอลล์ฟังมากนักเกี่ยวกับรายละเอียดที่จะเกิดขึ้นในเนื้อเรื่องของเกมส์ เพราะเขาคิดว่ามันอาจฟังดูบ้าบอและทำให้เธอสงสัยปล่าวๆ ดังนั้นเขาจึงบอกเอลล์เพียงผิวเผินและที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมกับสั่งให้ติดตามพวกของไลเนอร์อยู่ห่างๆโดยไม่ทำให้พวกเขารู้ตัว และติดต่อเขาทันทีถ้าพวกของเลเนอร์ทำอะไรที่โดดเด่น ฮาโรลด์ยังเล่าให้เอลล์ฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไลเนอร์กำลังจะต้องเผชิญในอีก 2 – 3 เหตุการณ์ข้างหน้า โดยอ้างว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากที่เขาคาดการณ์เอาไว้ และเมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น เอลล์จะต้องแจ้งให้เขาทราบในทันที
นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเอลล์ถึงส่งจดหมายแจ้งเรื่องด่วนกับเขา แต่เนื้อหาในจดหมายก็มีเพียงแค่นั้น ข้อมูลในจดหมายไม่เพียงพอที่จะทำให้ฮาโรลด์เข้าใจได้ว่าทำไมสถานการณ์มันถึงพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เขาเข้าใจคือสอบถามกับเอลล์โดยตรง แต่ทว่าตอนนี้มันไม่มีเวลาแล้ว
[ บ้าเอ้ย ! ต้องใช่ที่นั้นแน่ๆ ..! ] – ฮาโรลด์
หลังจากที่ฝืนวิ่งด้วยความเร็วที่เร็วกว่าม้ามาหลายชม.ในที่สุดเขาก็พบสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่คิดว่าใช่แน่ๆอยู่ในระยะสายตา
ปัจจุบัน เขาอยู่กลางเมืองขนาดกลางแห่งหนึ่งแถวๆเมืองหลวง ณ ใจกลางของเมืองนี้ มีคฤหาสน์ขนาดพอๆกับปราสาทเล็กๆตั้งอยู่ หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับภายในเกมส์ ฉากๆนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ระเบียงชั้นบนสุดของคฤหาสน์
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฮาโรลด์ก็ใช้กำแพงบ้านหลังหนึ่งเพื่อเป็นจุดยั่งเท้าในการดีดตัวขึ้นไปบนหลังคา และวิ่งต่อไปบนหลังคาเพื่อตรงไปยังคฤหาสน์ของแฮร์ริสันด้วยความเร็วสูงสุด แม้ว่าจะมีบ้านบางหลังที่อยู่ห่างกันค่อนข้างมากเพราะมีถนนตัดผ่าน แต่นั้นก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา เขาทำเพียงกระโดดข้ามมันไป แม้ว่าจะเป็นการรบกวนผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน แต่ เขาจำเป็นที่จะต้องรักษาความเร็วเอาไว้เพื่อไปถึงคฤหาสน์ให้เร็วที่สุด
หากเป็นไปตามแผนเดิมของเขา ฮาโรลด์ควรจะมีเวลาเหลือเฝือที่จะแทรกซึมเข้าไปในคฤหาสน์ของแฮร์ริสัน ตอนที่ยังอยู่ในรพ.ที่รักษาวินเซนต์ ฮาโรลด์เกิดความคิดที่ว่าถ้าทฤษฎีของเขาถูกต้อง บางทีอาจจะสามารถดึงตัวตนของลิเลี่ยมและเวนโตสกลับมาได้ แต่เป็นตอนนั้นเองที่โคดี้เสนอให้ฮาโรลด์ไปรักษาชายคนหนึ่งที่มีอาการเช่นเดียวกับลีเลี่ยมและเวนโตส
ตอนนั้นฮาโรลด์คิดว่าพวกของไลเนอร์ยังจะต้องผ่านอีก 2-3 เหตุการณ์ เขาเลยคิดว่าน่าจะมีเวลาเหลืออยู่บ้าง และถ้าผลการรักษาออกมาดี เขาคงสามารถช่วยลีเลี่ยมและเวนโตสได้ ดังนั้นเขาจึงยอบรับข้อเสนอของโคดี้
และผลลัพธ์ของมันก็ออกมาดีตามที่หวัง ด้วยเหตุนี้ ความหวังที่ฮาโรลด์จะสามารถช่วยเหลือ 2 คนนี้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่เขากำลังคิดว่าโชคเริ่มเข้าข้าง แต่ทว่าชะตากรรมก็สู้กลับ
[ เวรเอ๊ย!! ] – ฮาโรลด์
ฮาโรลด์อดไม่ได้ที่จะสบถคำด่าออกมา
ถ้าหากเนื้อหาในจดหมายเป็นจริง การต่อสู้ในคฤหาสน์อาจเริ่มต้นขึ้นไปแล้ว ถึงฮาโรลด์จะไม่มีความคิดที่ว่าพวกของไลเนอร์นั้นจะพ่ายแพ้ แต่ถ้าเป็นลีเลี่ยมและเวนโตสนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในเนื้อเรื่องของเกมส์นั้น หลังจากที่ 2 คนนั้นพ่ายแพ้ในการต่อสู้ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาทั้งทรยศต่อแฮร์ริสัน ถึงจะไม่มีรายละเอียดอะไรกล่าวถึงในส่วนนี้ แต่เหล่าเกมส์เมอร์เชื่อกันว่าพวกเขาได้ตัวตนกลับคืนมาหลังจาก ที่ 1 ใน 2 ถูกแฮร์ริสันสังหารเพราะโมโหที่พวกเขาพ่ายแพ้ หรือไม่ก็ได้รับคำสั่งจากยูสทัสให้ฆ่าปิดปากแฮร์ริสัน
แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนๆ จะมีพวกเขาคนหนึ่งที่จะต้องตาย เว้นเสียแต่ว่าฮาโรลด์สามารถเข้าไปช่วยได้ทันเวลา
( นี่ผมจะต้องรับผิดชอบชีวิตผู้อื่นอีกซักกี่คนกัน? ) – ฮาโรลด์
เมื่อมองย้อนกลับไป ครั้งแรกที่เขามาถึงโลกใบนี้ ตอนนั้นเขาได้ช่วยชีวิตคลาล่าทั้งๆที่เขายังไม่เข้าใจว่ามีเหตุผลไร้สาระอะไรที่ทำให้เขาต้องมาติดอยู่ในร่างของตัวละครภายในเกมส์เสียด้วยซ้ำ อีกครั้ง เหตุการณ์ในป่าเบลติส ครั้งนั้นเขาก็ไม่อาจทำใจปล่อยให้ซิตและคนอื่นๆตายได้ แถมเรื่องในครั้งนั้น ทำให้คนของสุเมรากิที่ทาสุคุส่งมาช่วยต้องมีเสี่ยงอันตรายไปด้วย และเมื่อไม่นานมานี้ กว่าจะควบคุมตัววินเซนต์แบบเป็นๆได้ เขาแทบเอาตัวเกือบไม่รอด และเรื่องของฟินเนอร์แกนเองก็เช่นกัน หากฮาโรลด์ไม่เข้าแทรกแทรงและช่วยเหลือ หมอนั้นคงอยู่ต่อแบบนั้นได้อีกไม่นานนัก
และทุกๆครั้งที่เขาจะต้องแบกชีวิตของคนอื่นๆไว้บนบ่า แม้ว่าจะทั้งรู้สึกวิตกกังวลและหวาดกลัว แต่เขาก็ทำได้เพียงร้องบ่นกับโลกใบนี้อยู่ภายในใจว่า “ให้กรุได้พักบ้างเถอะ” อย่างไรก็ตาม โลกนี้กลับเอาชีวิตของคนอื่นมาเพิ่มที่บ่าของเขาเรื่อยๆราวกับกำลังเยาะเย้ยเขา
บางที นี่อาจเป็นการแสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้นั้นเกลียดชังตัวตนของชายที่ชื่อ “ฮาโรลด์ สโตร์ก” มากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม มันไม่สำคัญว่าเรื่องราวต่างๆมันจะยุ่งยากถึงเพียงไหน มันไม่สำคัญว่าเขาจะกลายเป็นผู้ที่โลกใบนี้เกลียดชังที่สุดหรือไม่ และมันไม่สำคัญว่าโชคชะตาจะพยายามมอบหนทางที่ทำให้ “ฮาโรลด์ สโตร์ก” จะต้องตายอย่างแน่นอนมาให้ซักกี่ครั้ง เขาจะหักธงเหล่านั้นทั้งหมด และรอดไปตอกหน้าโลกใบนี้ว่า “แล้วไงวะ” ให้ได้
แต่ก่อนที่จะพ่นคำเหล่านั้นกับโลกใบนี้ มีบางสิ่งที่ตอนนี้เขาจะต้องจัดการเสียก่อน—–
แคล้ง ! —
เสียงโลหะที่ปะทะกันดังกึกก้องไปทั่ว ฮาโรลด์ได้เข้าไปหยุดดาบของหญิงสาวทั้ง 2 คนเอาไว้ได้ทัน แรงปะทะที่เกิดจากพวกเธอทั้งสองรุนแรงเสียจนไม่น่าเชื่อว่ามาจากแขนเล็กๆเหล่านั้นได้
ดูเหมือนว่าเขาจะมาถึงจังหวะสำคัญพอดี
[ … ทะ-ท่านฮาโรลด์ ? ] – เอริกะ
เอริกะค่อนข้างตกใจที่จู่ๆก็พบว่า ฮาโรลด์กระโดดขึ้นมาจากพื้นเกือบ 4 ชั้นเพื่อขัดขวางการต่อสู้ของพวกเธอ
แม้ฮาโรลด์จะรู้สึกว่าดวงตาของเอริกะดูว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ เวลานี้คือจัดการกันลิเลี่ยม ขณะที่หยุดดาบของลีเลี่ยมเอาไว้อยู่ ฮาโรลด์ดึงแขนของลิเลี่ยมเพื่อดึงร่างของเธอเข้ามาหาเขา และในจังหวะนั้นเขาก็ใช้ด้ามดาบโจมตีไปที่ท้องของเธอ
การโจมตีของฮาโรลด์ไม่ได้รุนแรงอะไรมากนั้น อย่างไรก็ตาม เพราะลิเลี่ยมได้ใช้เวทมนตร์เกินขีดจำกัดอยู่แล้วก่อนที่ฮาโรลด์จะมาถึง ทำให้ ลิเลี่ยมสลบไปทันทีที่ถูกการโจมตีของเขา ฮาโรลด์อุ้มร่างอันบอบบางของลิเลี่ยมไปไว้บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ไม่ถูกลูกหลงของเวทมนตร์น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ทั่วพื้น
ต่อมา เขาก็แทงด้ามดาบใส่เวนโตสที่ตอนนี้ถูกตรึงเอาไว้ที่พื้นและหมดสติตามลิเลี่ยมไปในทันที จากนั้นฮาโรลด์ก็ทำลายน้ำแข็งที่ตรึงร่างเวนโตสเอาไว้และแบกร่างของเขาไปไว้บนม้านั่งอีกที่หนึ่ง
ฮาโรลด์โล่งใจขึ้นมาเปาะหนึ่ง เพราะอย่างน้อย เขาก็สามารถช่วยชีวิตทั้งคู่ได้ทันเวลา
ตลอดการกระทำของฮาโรลด์ มีเพียงคนเดียวที่ส่งเสียงออกมาคือแฮร์ริสัน หมอนั้นกำลังร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เขาไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้เพราะทั้งมือและเท้าต่างถูกแช่แข็งตรึงไว้กับพื้น สำหรับไลเนอร์และคนอื่น พวกเขาทำได้เพียงมองดูการกระทำของฮาโรลด์ด้วยความสับสน สำหรับตอนนี้ ฮาโรลด์เริ่มรู้สึกรำคาญแฮร์ริสันที่เริ่มร้องดังขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นฮาโรลด์จึงทำลายน้ำแข็งที่แช่ร่างของแฮร์ริสันเอาไว้และจ้วงหมัดหนึ่งไปที่ท้องของแฮร์ริสันเพื่อทำให้เขาเงียบลง
และในที่สุด เขาก็ได้หันมาทางไลเนอร์และคนอื่นๆ
ขณะจ้องไปในดวงตาของพวกเขา ฮาโรลด์เองก็บอกไม่ได้ว่าพวกของไลเนอร์มีความรู้สึกอย่างไรกันแน่ พวกเขาคงประหลาดใจ ? คงสับสนที่จู่ๆเขาเข้ามาอย่างกะทันหัน ? แต่ไม่ว่าจะยังไง คำพูดของฮาโรลด์ที่จะพูดกับพวกของไลเนอร์ต่อจากนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะชีวิตของฮาโรลด์ อาจจะขึ้นอยู่กับมันก็เป็นได้
ฮาโรลด์ย้ำกับตัวเองเกี่ยวกับสิ่งนี้อีกรอบในภายหัวของเขา และในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะเปิดปากพูดขึ้น
—— ไม่สิ ปากมันพูดขึ้นเอง
[ พวกแกทั้งหมดไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปจากที่แห่งนี้ ลองก้าวออกจากที่นี่เพียงก้าวเดียวดูสิ ชั้นจะหั่นพวกแกเป็นชิ้นๆให้ดูเอง ] – ฮาโรลด์
คำพูดเหล่านี้มาจาก 1 ใน 3 เหตุการณ์ที่ไลเนอร์และพรรคพวกได้สู้กับฮาโรลด์ในเนื้อเรื่องของเกมส์
มันเป็นประโยคที่ใช้เริ่มต้นการต่อสู้ครั้งแรกของพวกเขาได้อย่างน่าจดจำ
———————————-
สรุป ยูสทัสทำอะไรได้บ้างเนี้ย ล้างสมอง? ปรับเปลี่ยนความทรงจำ? รีโมทมันควบคุม ?