นี่คือความจริงที่ทุกคนยอมรับ สวีเซิ่งรีบตอบรับ ตั้งใจว่าต่อจากนี้จะต้องอยู่ห่างๆ อีกฝ่ายเข้าไว้
เด็กคนนี้ชั่วร้ายไม่ธรรมดา อันตรายต่อชีวิตข้ายิ่ง
ฉินจิ่วเกอขวางทางสวีเซิ่งไว้ ไม่มีเจ้าอ้วนน่าตายอยู่ จึงได้แต่ยืมมืออีกฝ่ายให้ไปรวบรวมของบางอย่างมาให้เท่านั้น
“มีอะไรรึ?” สวีเซิ่งไม่กล้าลืมเปลือกตา ท่าทางที่เหมือนแมวมองเห็นปลาของอีกฝ่ายไม่น่าไว้วางใจอย่างที่สุด
เห็นสวีเซิ่งหลบหน้าหลบตา ฉินจิ่วเกอจึงชิงเป็นฝ่ายเข้าหา กล่าวด้วยความการุณ “ศิษย์พี่สวีคือมังกรในหมู่คน ในเมื่อมีวาสนาพบเจอกันแล้ว ข้าขอเชิญพี่สวีไปร่วมดื่มชาสักครู่ได้หรือไม่”
“ขอผ่าน” สวีเซิ่งตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
“งั้นไปกินข้าวกันสักมื้อ?”
“ข้าไม่หิว”
“อาบน้ำ?”
“ข้าสะอาดดี”
“รู้หรือไม่ว่าเมื่อคืนไฟไหม้บนหลังเขา?” แววตาของฉินจิ่วเกอแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นอันตราย อีกฝ่ายปฏิเสธความหวังดีของตนติดต่อกันราวกับรัวปืนใส่ มันใช่กำลังรนหาที่ตายหรือไม่
จำได้ว่าเมื่อนานมาแล้ว มีอาจารย์คนหนึ่งเคยปฏิเสธคำขออำลากิจที่ฉินจิ่วเกอตระเตรียมมาตั้งนาน
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา หน้าต่างบ้านอาจารย์ท่านนั้นก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไม่อาจทราบสาเหตุ เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่งยวด
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ไม่ต้องรอให้ฉินจิ่วเกอเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน อาจารย์ท่านนั้นก็อนุญาตให้ฉินจิ่วเกอกลับภูมิลำเนาได้ตามสะดวก ซ้ำยังฝากทักทายอาวุโสของมันด้วย
เห็นได้ว่า ฉินจิ่วเกอก็คือคนใจแคบที่มากแผนการชั่วร้ายไม่เลือกวิธีการผู้หนึ่ง ทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตัวเอง
ด้วยใบหน้าอันเหี้ยมเกรียม ปากที่พร้อมจะเคี้ยวกลืนกระดูกผู้คนของมันก็แสยะออก “อาวุโสสามสั่งให้ข้าตามจับผู้ร้ายตัวจริง หากข้าไปรายงานกับมันว่าคนที่วางเพลิงก็คือเจ้า เจ้าคิดว่าจะเป็นยังไง?”
“ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี!” สีหน้าของสวีเซิ่งยามนี้เหมือนกับเจ้าอ้วนน่าตายทุกระเบียดนิ้ว ถูกผู้ทรงอิทธิพลแสนชั่วร้ายประจำพรรคบีบให้ต้องก้มหัวสยบยอม
“เอาล่ะ ข้ามีเรื่องเล็กๆ จะไหว้วานพี่สวีหน่อยเท่านั้น พี่สวีพลังยุทธเลิศพบจบแดน เชื่อว่าท่านคงไม่ปฏิเสธข้า”
สวีเซิ่งได้แต่หัวเราะเสียงขื่นออกมาเล็กน้อย ทำปากขมุบขมิบจับใจความไม่ได้ ถือว่ารับปากก็แล้วกัน
น่าอดสูจริงหนอ ทุกวันได้แต่ก่อไฟกวาดลานพรรค มาตอนนี้ยังต้องรับจ๊อบพิเศษอีก สวีเซิ่งรู้สึกว่าตนเองก็คือชนชั้นกลั่นดวงธาตุที่น่าสมเพชที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว
“ศิษย์พี่สวีช่วยข้ารวบรวมกำมะถัน ดินประสิว และถ่านไม้มาให้ข้าหน่อย”
ฉินจิ่วเกอแจกแจงคุณลักษณะของวัตถุดิบทั้งสามให้สวีเซิ่งอย่างละเอียด สวีเซิ่งเองก็ไม่ธรรมดา เพียงครู่เดียวก็จดจำเข้าใจได้
“เจ้าจะเอาไปทำอะไร”
วัตถุดิบทั้งสามนี้เป็นของพื้นๆ ธรรมดาๆ อย่างดินประสิวและถ่านไม้ก็ล้วนหาได้ไม่ยาก เช่นไปงมหาเอาจากซอกเตาของอาวุโสสี่
สำหรับกำมะถัน แค่เจียดเงินไปหาซื้อเอาจากเมืองซวนอู่ก็ใช้ได้แล้ว
“ข้ามีวิธีของข้าน่า” ฉินจิ่วเกอยิ้มแฉ่ง พอรวบรวมวัตถุดิบได้ครบเมื่อไร ก็จะได้เริ่มตามแผนที่วางไว้สักที
กำมะถัน ดินประสิว ถ่าน อย่างที่คาดกันนั่นแหละ ฉินจิ่วเกอกำลังจะผลิตดินปืนไว้เล่นสนุกสักหน่อย
ไม่ใช่อะไรหรอก พอถึงเวลาเล่นดอกไม้ไฟ จะต้องสร้างความตะลึงจนขนมน้ำตาลปั้นชิดซ้ายไปเลยแน่
ทั่วทั้งทวีปฉงหลิง วัตถุชนิดนี้ยังไม่เคยมีปรากฏออกมา
ฉินจิ่วเกอคาดคำนวณถึงขั้นตอนการผลิตดินปืน หากพลังอยู่ในระดับที่เหมาะสมดีแล้ว ยังสามารถโยนเล่นเข้าห้องอาวุโสแก้เบื่อได้
จากนั้นเปลวเพลิงก็จะลุกโชติช่วงท่วมฟ้า กลั่นดวงธาตุทั้งหลายยามไม่มีอันใดกระทำก็มาหยอกเย้ามัน ต้องถูกแส้อาบพริกแสบร้อนโบยตีสักครา
คิดไปคิดมา นวัตกรรมครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ ดินปืนไม่อาจทำอย่างไรผู้ฝึกตนได้ ต่อให้ต้านด้วยร่างกายไม่ไหว เมื่อสู้ไม่ได้ก็ยังสามารถวิ่งหนีเอาตัวรอดได้อยู่ดี
คุณประโยชน์เดียวก็คือให้ฉินจิ่วเกอได้ทำการทดลองไปทีละนิดละน้อย จนได้ข้อมูลออกมาว่าจะต้องใช้สัดส่วนปริมาณเท่าใดในการผลิตดอกไม้ไฟออกมา
ในวันเดียวกัน สวีเซิ่งก็เอาของที่ฉินจิ่วเกอต้องการมาให้ แต่ก็ไม่ได้เดินจากไปทันที แต่เลือกที่จะยืนชมอยู่ข้างๆ ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
มีสวีเซิ่งกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ต่อให้เกิดเหตุอะไรขึ้นมาระหว่างการทดลองก็ยังปลอดภัยหายห่วง
ฉินจิ่วเกอสั่งให้สวีเซิ่งบดวัตถุดิบทั้งสามให้เป็นผงโดยไม่เกรงอกเกรงใจใดๆ
จากนั้น ตามอัตราส่วนที่เหมาะสมที่สุดซึ่งก็คือเจ็ดส่วนต่อหนึ่งส่วนต่อครึ่งส่วนในการผสม พร้อมทั้งใช้ไข่ขาวผสมรวมเข้าไป แล้วเฟ้นเอาก้อนขนาดเท่าเมล็ดข้าวออกมา
อารยธรรมที่พัฒนาจากการขีดเขียนไปจนถึงก่อกองไฟของมนุษย์เรานั้นก็คือการทำการทดลองไปอย่างต่อเนื่องทุกย่างก้าว นับตั้งแต่ยุคบุกเบิกที่เสื้อผ้าอาหารล้วนขาดแคลนไม่สมบูรณ์พร้อม มาจนถึงยุคบรรพกาลอันเป็นสมัยที่รุ่งเรืองโชติช่วงที่สุดของผู้ฝึกตน การพัฒนาทางอารยธรรมจำต้องอาศัยผู้บุกเบิกที่ปรีชาสามารถเป็นผู้ริเริ่มนำทาง
หากอาวุโสใหญ่ทราบเข้าว่าภายในพรรคตนเองมีนักวิทยาศาสตร์ผลิตระเบิดที่สติฟั่นเฟือนยิ่งกว่าบินลาเด็นอยู่ มันย่อมไม่มีทางที่จะดีใจจนสลบเหมือดไปแน่ๆ
หลังจากคีบเอาก้อนผลงานขนาดเท่าเมล็ดข้าวไปผึ่งจนแห้งดีแล้ว ฉินจิ่วเกอก็ค่อยๆ จุดไฟอย่างระมัดระวัง บนพื้นเริ่มที่จะเกิดรอยไหม้สีขาวขึ้นมารอยหนึ่ง ตามด้วยเพลิงอัคคีสีส้มแดง
เหมือนดั่งมังกรเหินบินไปบนท้องนภา ดินปืนก้อนเล็กๆ ไม่นานก็ถูกเผาไหม้ไปจนหมด เหลือไว้เพียงประกายไฟสีขาวสว่าง
“นี่คืออะไร?” สวีเซิ่งยามนี้ใคร่รู้สงสัยนัก เหมือนอย่างที่ภายนอกเล่าลือกัน พฤติการณ์ของศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวผู้นี้เปรียบดั่งจับกวางมาสวมเขา ลึกล้ำเกินความเข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร
“นี่ก็คือดินปืน” ฉินจิ่วเกอเองก็ประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด ไม่มีคูหาห้องหับใดภายในพรรคที่ระเบิดเป็นจุล
“เอาไว้ใช้ทำอะไรรึ?” สวีเซิ่งย่อมไม่อาจเข้าใจ รู้แค่ว่าน่าพิศวงแปลกตาดี
ฉินจิ่วเกอยกมือลูบคาง จากนั้นยกขึ้นปาดหน้าผาก “ไว้ใช้จุดไฟ แล้วก็มีแสงด้วย”
“แล้วยังไงต่อ?” สวีเซิ่งยังคงเบิกตารอฟังคำตอบอย่างโง่งมต่อไป
ฉินจิ่วเกอถอนใจยาว “เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่าเวลาที่ดินปืนเผาไหม้ขึ้นมานั้นช่างงดงามน่าชมมอง? ยิ่งถ้าใส่ส่วนประกอบอื่นๆ เข้าไป ยามเผาไหม้ก็จะเปล่งแสงสีแดงส้มเหลืองเขียวฟ้าม่วงออกมา นั่นยังจะไม่สวยงามอีกหรือ?”
ลองจินตนาการดูสิ ใต้แสงจันทร์ต้นหลิวโบกไสว ผู้คนชุมนุมชื่นมื่นใต้แสงจันทร์
เฝ้าตามหาเธอท่ามกลางผู้คนนับพันหน เพียงหันกลับมาพบเจอที่ข้างกาย ฉินิจ่วเกอในมือจับจูงฝ่ามือน้อยของศิษย์น้องเล็ก หนุ่มสาวเคียงคู่ภายใต้ดอกไม้ไฟตระการ ราวกับโลกใบนี้มีเพียงสองเรา
งดงามแท้หนอ คำกลอนงดงามสวยหรูทั้งหลายไม่ใช่มีความหมายเช่นนี้หรอกรึ?
“แค่เนี้ย?”
สวีเซิ่งตะลึงจนไม่รู้จะตะลึงยังไงอีก ก่อนที่สีหน้าสีตาจะเปลี่ยนเป็นเหม็นเบื่อไปในพริบตา หลงนึกว่าจะเป็นวัตถุวิเศษอันใด ที่แท้ก็แค่ขี้ผงที่เผาไหม้ได้เร็วกว่าปกติเท่านั้น
ฉินจิ่วเกอหน้าดำมะเมี่ยม “เจ้าไม่รู้สึกว่าโรแมนติคบ้างเลยรึ?”
“จะมีประโยชน์อันใด ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน สามารถคว้าดาวจันทราบนฟากฟ้า บงการห้วงสมุทรสรรพสัตว์ ผนึกแสงจันทร์บนฟากฟ้าไว้ในฝ่ามือ อาศัยท้องนภาเป็นที่กำบังกาย เทียบกันแล้วไม่เจิดจรัสเฉิดฉายกว่ากันรึ?”
สวีเซิ่งกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่ได้ระลึกเลยว่าคำพูดของมันส่งผลกระทบทางจิตใจต่อฉินจิ่วเกอเข้าจังงัง
ฉินจิ่วเกอได้แต่ปลอบใจตัวเอง มิน่าเล่าอีกฝ่ายถึงได้โดดเดี่ยวเอกามาเจ็ดแปดสิบปี ที่แท้มีต้นสายปลายเหตุนี่เอง รอจนมันอายุเจ็ดแปดร้อยปีน่ากลัวว่าจะยังครองตัวเป็นตาแก่พรหมจรรย์จวบจนวันตาย!
รองเท้าต้องมีคู่ ของล้ำค่าในสายตาผู้คนทั่วไป พวกมันล้วนไม่เข้าใจ
“จะว่าไปผลงานของเจ้าไม่รุนแรงดั่งใจข้าเลย ต้องเอามารวมกันสิถึงจะน่าดูขึ้นมาหน่อย” สวีเซิ่งโบกมือ ในอากาศผนึกเพลิงอัคคีพุ่งหายเข้าไปในถังไม้ ในนั้นมีผงดินปืนที่ฉินจิ่วเกอเพิ่งทำขึ้นอยู่ราวเจ็ดแปดจิน
บรึม!
หลังคาปลิวขึ้นฟ้า กำแพงสี่ด้านถล่มล้มครืน ฉินจิ่วเกอและสวีเซิ่งควันลอยออกจากปาก เหมือนลูกมันหวานย่างไฟ ใบหน้าดำมะเมี่ยม
“แค่กๆๆ” สวีเซิ่งพ่นเอาไอขาวออกจากปาก “เจ้าแน่ใจนะว่าของพรรค์นี้จะไม่ทำให้สาวๆ เตลิดหนีกันไปหมด?”
“นี่ยังอยู่ในขั้นทดลอง พี่สวี ให้ข้าสอนวิธีทำของเล่นที่เรียกว่าโคมลอยแก่ท่านดีหรือไม่ ภายในสองวัน ช่วยข้าทำออกมาสามพันอัน”
“ทำไม?” สวีเซิ่งไม่เชื่อใจฉินจิ่วเกอผู้นี้ เจ้าหมอนี่ทำแต่ละเรื่องไว้ใจไม่ได้เลย ทางที่ดีอยู่ให้ห่างมันเข้าไว้จะดีที่สุด
“ท่านจะไม่ทำว่างั้น?” ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาดุร้าย ถลึงจ้องสวีเซิ่งอย่างไม่ละสายตา
“ไม่ทำ” สวีเซิ่งอยากไปหาที่หลับที่นอนที่ไม่มีใครมารบกวน ดีกว่ามานั่งดูหมอนี่ทำผงดินปืนกระไรนั่นแยะ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าคงได้แต่ไปรายงานกับอาวุโสสามว่าท่านเป็นคนวางเพลิงบนหลังเขาแล้ว”
ฉินจิ่วเกอเพิ่งยกเท้าขึ้นก็ถูกสวีเซิ่งพุ่งเข้ามาห้ามอย่างร้อนรนเสียก่อน
ล้อกันเล่นหรือยังไง เมื่อคืนเพิ่งเห็นอาวุโสสามสำแดงอิทธิฤทธิ์เหนือฟ้ามาหมาดๆ จนถึงตอนนี้สวีเซิ่งก็ยังตื่นตะลึงไม่หาย
ใช้แค่พลังจิตกลับสูบเอาน้ำบาดาลขึ้นมากว่าครึ่งห้วย สวีเซิ่งสงสัยว่าต่อให้ผ่านไปอีกหลายร้อยปีตนเองก็ไม่มีทางเลียนอย่างมันได้แน่นอน
“เจ้าบอกว่าจะให้ข้าช่วยทำโคมลอยอะไรสักอย่างสามพันใบไม่ใช่รึ ข้าจะช่วยเจ้าเอง แต่บอกก่อนว่า ถ้ายุ่งยากเกินไปข้าไม่เอาด้วย”
“วางใจได้ ขั้นตอนเรียบง่ายยิ่ง อีกอย่าง นั่นเรียกว่าโคมลอย เจ้าจะเรียกว่าโคมลอยฉบับฉินจิ่วเกอก็ได้” ดึงสวีเซิ่งมาเป็นขี้ข้า ฉินจิ่วเกอมีความมั่นใจเปี่ยมล้นว่าถึงตอนนั้นจะต้องค่ำคืนที่ยากจะลบเลือนไปจากความทรงจำแน่นอน
จากนั้นคนทั้งสองก็ก้มหน้าก้มตาทำดินปืนอยู่ในห้อง
การแปลงกายเป็นอสูรของศิษย์น้องเล็กมีแต่จะยิ่งถี่กระชั้นขึ้นตามอายุ
คืนนี้ นางแทบจะสะกดการพยศในสายเลือดเอาไว้ไม่อยู่
ศิษย์น้องเล็กตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีขาวสะอาดตาเรียบร้อยแล้ว เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อถึงเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ศิษย์พี่โอ้อวดไว้
เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว ฉินจิ่วเกอมาถึงตีนเขาแต่เช้ามืด ที่นั่นมีโคมลอยอยู่สามพันดวง ทุกดวงมีข้อความที่เขียนขึ้นเป็นพิเศษจากฉินจิ่วเกอ
สวีเซิ่งนั่งตบยุงรออยู่แถวนั้น ดูว่าเมื่อไหร่ฉินจิ่วเกอที่อยู่บนยอดเขาจะเตรียมการเรียบร้อยดี ด้วยระดับฝึกปรือกลั่นดวงธาตุของมัน คิดจุดโคมลอยสามพันดวงย่อมทำได้ทันทีดั่งใจนึก
ลองนึกภาพโคมลอยสามพันดวงลอยล่องไปจนสุดขอบจักรวาลทางช้างเผือกดูสิ
โคมลอยฉบับฉินจิ่วเกอมีลักษณะสูงแคบ ลอยละล่องไปทั่วท้องฟ้าดั่งห้วงฝันมายา ดูปานประหนึ่งหิ่งห้อยล้อแสงไฟบนยอดไม้ท่ามกลางราตรีแห่งฤดูร้อน ช่างงดงามเสียนี่กระไร!
ส่วนพลุที่ฉินจิ่วเกอทำขึ้นมาอย่างปราณีตนั้น ได้ฝากเอาไว้กับเจ้าอ้วนน่าตายและหรงเคอเคอเรียบร้อยแล้ว
หากพูดให้ดูดีหน่อยก็คือสร้างโอกาสให้กับเจ้าอ้วน แต่ในความเป็นจริงคือกลัวว่าเจ้าอ้วนจะซุ่มซ่ามทำแผนการที่อุตส่าห์ตระเตรียมมาเป็นอย่างดีพังล่มไม่เป็นท่ามากกว่า
ส่วนเค้กวันเกิดนั้น ศิษย์พี่ใหญ่เป็นพวกซุ่มซ่าม เวลากินข้าวไม่ต้องให้ใครมาป้อนก็ถือว่าช่วยเหลือตัวเองได้เป็นอย่างดีแล้ว อีกอย่างมันไม่ใช่เทพเซียนมาแต่ไหน ฉะนั้นจึงทำออกมาไม่ได้
ด้วยเหตุนี้มันจึงเดินมือเปล่ามาถึงห้องไผ่น้อยของศิษย์น้องเล็ก
ภายในห้อง ดรุณีน้อยนางหนึ่งกำลังนั่งกระสับกระส่ายด้วยความประหม่า บนตัวคือชุดกระโปรงสีขาวแสนบริสุทธิ์
นัยน์ตางามหยาดเยิ้มสองดวงคล้ายมีจักรวาลแพรวพราวอยู่ด้านใน ดรุณีน้อยประหม่าเป็นอย่างยิ่ง สองมือหยกสล้างเกากะหัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำรอคอยเรื่องเซอร์ไพรส์จากชายหนุ่ม ค่ำคืนช่างแสนยาวนาน ดวงจันทราแขวนลอยอยู่กลางพยับเมฆ สาดส่องแสงจันทร์นวลราวความฝันไปทั่วทั้งพรรคหลิงเซียว
บุรุษรูปหล่อ ดรุณีรูปงาม ฉินจิ่วเกอเคาะบานประตู เฝ้ารออยู่นอกห้องหับ
เส้นผมดำขลับพลิ้วไสวดุจม่านราตรีกลางสายลมระเรื่อย มีแสงสว่างเรืองรองอยู่เป็นฉากหลัง งดงามหาใดเปรียบ
ฉินจิ่วเกอนำแพรพรรณออกมาผืนหนึ่ง จากนั้นผูกไว้รอบดวงตาคู่งามของศิษย์น้องเล็ก
ทุกการกระทำเป็นไปด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวล ช่วยให้ตงฟางฉิงอวี่คลายความประหม่ากังวลจากร่างกายไปได้บ้าง ฝากฝังร่างกายและจิตใจให้บุรุษหนุ่มด้านหลังนางอย่างไว้ใจ
“ขอมือให้ข้า”
คำสั้นๆ สลายไปดุจปุยเมฆ แลกด้วยความสงบสุขสุดเปรียบปาน
กุมมือน้อยของตงฟางฉิงอวี่เอาไว้ ฉินจิ่วเกอเหมือนเจ้าชายในฝันที่หลุดออกมาจากในหนังสือ ฝ่ามือจับจูงกัน ก้าวเดินไปตามพยับเมฆสีขาว จับจูงกันออกจากห้องหับอย่างนิ่มนวล
ห้องไผ่มืดสลัวที่เปรียบดั่งกรงขังถูกฉินจิ่วเกอผลักเปิดออก หนึ่งหนุ่มหนึ่งสตรีจับจูงกันออกสู่โลกภายนอกอันกว้างใหญ่
เส้นทางบนเขาขรุขระลัดเลาะไปรอบภูเขา มีแต่ความเงียบสงบโรยตัวอยู่โดยรอบ จะมีก็เพียงเสียงตั๊กแตนดั่งแว่วมาเบาๆ
แม้จะมีผ้าปิดตาอยู่ แต่ตงฟางฉิงอวี่ก็ทราบว่าฉินจิ่วเกอได้พาตนเองออกจากห้องหับแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังพานางขึ้นไปบนยอดเขา
“วางใจเถอะ มีข้าอยู่เจ้าจะไม่มีวันหกล้มคะเมน กระทั่งไม่มีการกระทบกระเทือนใดๆ เลยทั้งนั้น” ฉินจิ่วเกอเดินนำหน้า พลังวิญญาณแผ่ออกรอบตัวอย่างเงียบเชียบ ปัดเป่าสิ่งกีดขวางออกไปจากเส้นทาง
จากเดินเร็วเป็นวิ่งเหยาะๆ
จนท้ายที่สุด คนทั้งสองก็ราวกับเหินบิน ลอยล่องผ่านต้นหญ้าแลบุปผา บรรลุถึงยอดเขาภายใต้การหนุนเนื่องจากสายลมอันอ่อนโชย
ท่ามกลางพยับเมฆไกลสุดสายตา สายลมโชยพลิ้วทุกที่ทาง
ภาพตรงหน้าเปิดโล่งกว้างไกลไร้ขอบเขต ปราศจากอุปสรรคขวางหูขวางตา ยืนอยู่บนยอดเขา ทอดตามองดูพรรคหลิงเซียวทางด้านล่าง พร้อมแสงไฟที่ส่องสว่างจากคูหาบ้านเรือนเหล่านั้น
.
.
.