เคร๊ง!!
 

“แล้วหลังจากนั้นนายก็ใช้เวลาช่วงบ่ายเกือบจะทั้งหมดที่ควรจะเป็นช่วงของกิจกรรมชมรมไปกับการฝึกฝนก่อนจะกลับมาทำการบ้านวิชาชีวะของเอริซาเบธที่คฤหาสน์… เสร็จแล้วนายก็รีบเข้ามาเริ่มต้นการฝึกกับฉันข้างในนี้ต่อเลยงั้นสินะ…?”

 

ในช่วงกลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้นพาเทียซ์ที่เพิ่งจะใช้ขวานศึกขนาดยักษ์ในมือของเธอหวดนากาจนกระเด็นออกไปก็ได้พูดสรุปเรื่องราวของนากาในช่วงบ่ายที่ผ่านมาออกมาพลางจ้องมองดูแผ่นกระจกเรืองแสงสีเขียวที่กำลังฉายภาพของนากาในช่วงเวลาต่างๆ ภายในวันนี้ขึ้นมา

 

“ดูเหมือนว่านายจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนซะเยอะเลยนี่… แบบนี้หมายความว่านายตั้งใจจะแสดงให้พวกเขาได้เห็นจริงๆ งั้นสินะ…?”

 

“ฟู่ว… เธอจะว่าอย่างนั้นก็คงจะไม่ผิดล่ะมั้ง… ว่าแต่ทั้งๆ ที่ฉันเหนื่อยจนหอบขนาดนี้แล้วทำไมเธอถึงยังไม่มีเหงื่อหยดสักกะเม็ดนึงเลยเล่า!?”

 

“อ่าว… สังเกตด้วยหรอ…?”

 

พาเทียซ์พูดตอบนากากลับไปพร้อมกับละสายตาจากแผ่นกระจกเรืองแสงที่กำลังฉายภาพพรีมูล่ากำลังเอาส้อมจิ้มอาหารเข้าปากอยู่อย่างมีความสุขเพื่อหันกลับไปมองหน้านากาที่กำลังนอนหอบหมดสภาพอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

 

ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้แผ่ปีกแสงสีขาวรูปทรงผีเสื้อออกมาให้นากาได้เห็นอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะผายมือไปข้างๆ เพื่อเรียกเอาแผ่นกระจกเรืองแสงสีขาวที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ เรียงรายกันไปเป็นจำนวนมากออกมาพร้อมกับพูดอธิบายขึ้นมาให้นากาได้ฟัง

 

“เพื่อที่จะจำลองการต่อสู้ให้ได้สมจริงที่สุดฉันก็เลยปรับสภาพร่างกายของนายในโลกนี้ให้เหมือนกับสภาพข้างนอกนั่นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้น่ะ… เพราะว่ามันก็อย่างที่ฉันเคยบอกว่าต่อให้นายจะฝึกในนี้ไปจนเก่งกาจขนาดไหน… นายก็เอาออกไปได้แค่เทคนิคการต่อสู้ยังไงล่ะ…”

 

“แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะ?”

 

“ก็ถ้าเกิดว่าฉันทำให้นายไม่รู้สึกเหนื่อยในนี้… นายก็คงจะฝึกต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดแน่ๆ อยู่แล้ว… เสร็จแล้วนายก็อาจจะเผลอเอาวิธีการฝึกฝนในนี้ไปฝึกกับร่างกายข้างนอกนั่นจนมันเกิดขีดจำกัดแล้วก็เกิดการบาดเจ็บขึ้นมาได้ไงล่ะ… แต่ตอนนี้เอาเป็นว่านายลุกขึ้นมายืนคุยกันดีๆ ก่อนดีกว่า…”

 

พาเทียซ์พูดอธิบายออกมาให้นากาฟังก่อนที่เธอจะจิ้มนิ้วลงไปบนสัญลักษณ์อันหนึ่งบนหน้าจอสีขาวเบื้องหน้าก่อนที่ทันใดนั้นเองความเหนื่อยอ่อนและอาการปวดกล้ามเนื้อต่างๆ ของนากาจะหายไปเป็นปลิดทิ้งจนทำให้นากาได้แต่พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

 

“น–นี่เธอทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยหรอน่ะ?”

 

“ถ้าจะให้ทำจริงๆ ฉันทำได้มากกว่านั้นเยอะ… อย่างเช่นแบบนี้…”

 

พาเทียซ์พูดตอบนากากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะแสดงตัวอย่างให้นากาดูด้วยการใช้นิ้วสามนิ้วจิ้มไปบนแถบเลื่อนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอและเลื่อนมันไปทางขวาพร้อมๆ กัน

 

ครื่นนนนนน!!

 

เสียงของอากาศที่สั่นสะเทือนพร้อมๆ กับที่นากาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไร้รูปร่างกดทับลงมาบนตัวของเขาอย่างแรงจนเข่าของเขาถึงกับทรุดลงไปได้ทำให้นากาถึงกับหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจปนสงสัย

 

“ห—-โหว—-!!?”

 

“ฉันเคยบอกไปแล้วใช่มั้ยล่ะว่าฉันคือผู้ดูแลที่นี่น่ะ… เพราะงั้นกับอีแค่เรื่องควบคุมสภาพแวดล้อมน่ะฉันทำได้สบายๆ อยู่แล้ว…”

 

“ข—เข้าใจแล้ว! ฉันเข้าใจแล้ว!! เธอไม่ต้องแสดงให้ฉันดูแบบนี้ก็ได้!!”

 

พาเทียซ์พยักหน้าให้กับนากาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะค่อยๆ เลื่อนแถบทั้งสามแถบให้กลับเข้าสู่ที่เดิมจนทำให้แรงที่กดทับร่างกายนากาอยู่ค่อยๆ สลายหายไป และจากนั้นพาเทียซ์จึงได้ยื่นมือทั้งสองข้างไปจับที่ปลายขอบของกระจกเรืองแสงทั้งสองด้านและบีบมันเข้าหากันจนทำให้มันกลับกลายเป็นหนังสือปกหนังสีน้ำตาลที่เธอพกเอาไว้ติดตัวเสมอแล้วจึงค่อยปล่อยให้มันฟุ้งกระจายกลายเป็นละอองแสงสีขาวหายไป

 

“แล้วนี่ตะกี้นี้เธอทำอะไรลงไปน่ะ จำลองวิธีการใช้วิซธาตุลมยึดตัวศัตรูเอาไว้กับที่งั้นหรอ… ไม่สิ ฉันว่ามันไม่ค่อยจะเหมือนสักเท่าไหร่นะ… อ้ะ! อย่าบอกนะว่าเป็นการควบคุมแรงโน้มถ่วงน่ะ!?”

 

“มันก็อะไรราวๆ นั้นนั่นแหล่ะ… แต่ถ้าเกิดว่านายคิดจะใช้วิธีการฝึกฝนภายใต้แรงโน้มถ่วงที่มากกว่าปกติตามแบบในเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมาล่ะก็… ฉันว่าล้มเลิกความคิดนั่นไปซะน่าจะดีกว่านะ”

 

“อ–เอ๋ะ? เธอรู้ได้ยั—– อ๋อ… ก็นั่นสินะ… แต่ถึงอย่างนั้นจะลองดูสักหน่อยก็น่าจะไม่เสียหายอะไรไม่ใช่หรอ…?”

 

“เฮ้อ… ต้องบอกว่าเสียหายมากๆ เลยต่างหากล่ะ… อย่างแรกสุดเลยก็คือว่าการฝึกฝนร่างกายของนายในนี้มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับร่างกายของนายข้างนอกนั่นเลยแม้แต่น้อย… อย่างที่สอง… ถ้าเกิดว่านายได้ลองฝึกฝนจนสามารถเดินเหินภายใต้แรงโน้มถ่วงที่ว่าได้จริงๆ มันก็อาจจะทำให้ประสาทสัมผัสของนายผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนไม่สามารถเดินภายใต้แรงโน้มถ่วงธรรมดาอีกต่อไปเลยก็ได้…”

 

“ง—งั้นเองหรอ… ถ้าเธออธิบายซะละเอียดขนาดนั้นก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ล่ะมั้ง… พอดีฉันก็แค่นึกว่ามันจะช่วยเร่งการฝึกได้ก็เท่านั้นแหล่ะ…”

 

นากาที่โดนพาเทียซ์พูดเตือนกลับมาตรงๆ นั้นได้แต่ยอมล้มเลิกความคิดของเขาไปแต่โดยดี ส่วนทางด้านพาเทียซ์ที่เห็นว่านากาได้ยกนิ้วขึ้นมาเกาแก้มพูดตอบกลับมาอ้อมๆ แอ้มๆ ก็ได้โยนขวานศึกขนาดยักษ์ของรีซาน่าทิ้งไปจนมันสลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวหายไปกับสายลมจนทำให้นากาที่เห็นละอองแสงระยิบระยับที่ปลายสายตาได้หันกลับมาพูดสอบถามเธอขึ้นมา

 

“จะว่าไปที่เธอสามารถเลียนแบบอาวุธกับวิธีการใช้วิซของคนอื่นๆ ได้แบบนี้นี่ก็สะดวกดีเหมือนกันนะ… ถึงจะไม่ค่อยจะเหมือนกับการต่อสู้กับเจ้าตัวจริงๆ เพราะเธอตัวเล็กกว่าพวกเขามากก็เถอะ”

 

“นี่นายกำลังจะบอกว่าฉันตัวเล็กกระจิ๋วแล้วก็ไม่มีวันจะสูงขึ้นไปได้มากกว่านี้แล้วหรือไงน่ะหะ…?”

 

“หา? ฉันพูดแค่ว่าเธอตัวเล็ก—-”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดต่อท้ายของพาเทียซ์เข้าไปได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองเธออยู่สักพักหนึ่ง แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้พูดตอบอะไรพาเทียซ์กลับไปนั้นเขาก็ได้พบว่าอีกฝ่ายได้เรียกเอาแผ่นกระจกเรืองแสงสีขาวออกมาอีกครั้งหนึ่งและกำลังจะจิ้มนิ้วลงไปบนสัญลักษณ์บางอย่างที่ดูท่าทางน่าจะอันตรายเข้าให้ซะแล้ว

 

“ขอโทษครับ! คุณพาเทียซ์ไม่ได้ตัวเล็กเลยครับ!!”

 

“อื้ม…ถ้าเข้าใจแบบนั้นได้ก็ดีแล้วล่ะ…”

 

เป๊าะ

 

พาเทียซ์พยักหน้าให้กับนากาที่รีบขอโทษขอโพยกลับมาด้วยสีหน้าพึงพอใจและยกมือขึ้นมาดีดนิ้วจนเกิดเสียงดังก้องกังวานขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีแผ่นกระจกเรืองแสงสีเขียวที่สามารถฉายภาพของสิ่งต่างๆ ที่นากาเคยเห็นได้แผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่เบื้องหน้าของนากา

 

ซึ่งภาพที่ถูกฉายเอาไว้บนแผ่นกระจกเรืองแสงนั้นก็คือภาพการต่อสู้ที่นากาเคยเห็นเป็นครั้งล่าสุดหรือก็คือการต่อสู้ของเนลและอัลเบิร์ตที่นากาได้พบเห็นในอาคารชมรมฝึกซ้อมการต่อสู้นั่นเอง

 

“เรื่องต่างๆ ที่นายเคยได้พบเห็นมันได้ถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมดนั่นล่ะ… ที่ฉันทำก็มีแค่หยิบมันออกมาวิเคราะห์วิธีการต่อสู้ของแต่ละคนแล้วก็จำลองมันออกมาใช้ในการฝึกซ้อมให้นายก็แค่นั้น…”

 

“โอ้โห…”

 

“ลองเลื่อนมันดูสิ… ด้านล่างนั่นมีบันทึกย้อนหลังกลับไปนานกว่านั้นอีกนะ…”

 

“บ—แบบนี้น่ะหรอ?”

 

นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้ลองยื่นนิ้วเข้าไปสัมผัสกับแผ่นกระจกเบื้องหน้าด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งเมื่อปลายนิ้วของเขาได้สัมผัสกับภาพการต่อสู้ของเนลและอัลเบิร์ตที่เล่นวนซ้ำไปมาตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปจนถึงฉากที่เนลลั่นกระสุนลำแสงออกมาเข้า ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ได้หยุดนิ่งไปอย่างกะทันหันจนทำให้นากาชะงักนิ่งค้างไปและเหลือบไปมองทางพาเทียซ์ด้วยสีหน้าซีดเผือด

 

“…..”

 

แต่ว่าทางด้านพาเทียซ์ก็ไม่ได้พูดต่อว่าอะไรเขาออกมาจนทำให้นากาได้แต่ลองเลื่อนนิ้วของเขาที่จิ้มคาไว้บนแผ่นกระจกดู ซึ่งนั่นก็ทำให้ภาพนิ่งของอัลเบิร์ตและเนลขยับเลื่อนไปตามนิ้วของเขา และปรากฏภาพการต่อสู้ครั้งก่อนหน้านั้น หรือก็คือภาพการสอบของคอนแนลและซิสเวสที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อวานนี้นี่เอง

 

ซึ่งนากาก็ได้มองดูภาพการต่อสู้ของคอนแนลและซิสเวสจนจบก่อนที่เขาจะจับมันเลื่อนไปทางด้านข้างอีกครั้งจนเผยให้เห็นเคลื่อนไหวอีกภาพหนึ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหรือก็คือภาพของเซซิเรียที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเขากับเซซิลในตอนที่พวกเขาโดนหลอกให้ไปที่ปราสาทกราวิทัสนั่นเอง

 

และเมื่อนากามองดูภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจนจบแล้วเขาก็เลื่อนมันออกไปอีกครั้งและพบกับภาพของการต่อสู้ต่างๆ ที่เขาเคยเห็นผ่านตาหรือเคยมีส่วนร่วมด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพการต่อสู้ของเขากับอิซานางิที่ทุ่งราบทางตะวันออกเฉียงเหนือ ภาพการสอบเข้าโรงเรียนรีมินัสของพวกเขาที่มีอัลเบิร์ต เซซิลและรีซาน่าเป็นคู่ต่อสู้ การต่อสู้ของเขากับคอนแนลเพื่อหยุดยั้งเวก้าที่กำลังโกรธแค้น ภาพของพรีมูล่าที่ยิงกระสุนน้ำแข็งเข้าใส่เวก้าอย่างแม่นยำหลังจากเกิดเหตุระเบิดที่หอคอย แล้วก็ภาพการต่อสู้ของอลิซเพื่อขับไล่ทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงอย่างพวกรัซเซลที่เกิดขึ้นที่หน้าหมู่บ้านของพวกเขาเมื่อนานมาแล้ว

 

“เอ๋ะ—เดี๋ยวนะ ผู้หญิงคนนี้…”

 

นากาที่กำลังไล่ดูภาพความทรงจำของตัวเองได้หลุดปากพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาได้พบเข้ากับภาพของหญิงสาวผมสีแดงในชุดผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาที่กำลังจะฟาดดาบสั้นในมือของเธอเข้าใส่พรีมูล่าก่อนที่ภาพที่ปรากฏอยู่ในจอภาพจะพุ่งเข้าไปใกล้หญิงสาวคนนั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบดาบสีเทาเปื้อนเลือดที่โผล่มาให้เห็นเล็กน้อยตรงมุมของภาพนั้น

 

ซึ่งภาพที่ว่ามันก็คือเหตุการณ์หลังจากที่เขาได้รับดาบ เฟเบื้ล ดรีมเมอร์ มาจากอลิซและกำลังจะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือพรีมูล่าที่กำลังจะพลาดท่านั่นเอง

 

“ผู้หญิงคนนั้น… ไคเลอร์… นายสนใจอะไรเธออยู่หรือไง…?”

 

“ถ้าจำไม่ผิดตอนที่ฉันสู้กับไคเลอร์ในป่าข้างหมู่บ้านนั่นจะตึงมือสุดๆ แต่ว่าก็ได้พรีมูล่าหรือไม่ก็อลิซช่วยร้องเตือนเกี่ยวกับท่าโจมตีประหลาดๆ ของยัยนั่นจนถ่วงเวลาเอาไว้ได้ล่ะมั้ง… แล้วหลังจากนั้นฉันก็ได้ไปเจอกับยัยนั่นอีกทีในป่าด้านหลังคฤหาสน์ตอนที่ไปสอดแนมกับเอริซาเบธ แต่ว่าก็โดนยัยนั่นหวดซะคว่ำในพริบตาเสร็จแล้วก็นั่งกินขนมคุยอะไรกันสักอย่างนี่ล่ะ… เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่ายัยนั่นเป็นใครมาจากไหนน่ะพาเทียซ์?”

 

“ไหนขอฉันลองตรวจสอบดูหน่อยสิ…”

 

พาเทียซ์ที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ดึงเอาแผ่นกระจกสีเขียวที่ลอยอยู่เบื้องหน้านากากลับไปก่อนที่ปีกแสงสีขาวทรงผีเสื้อด้านหลังของเธอจะเรืองแสงออกมาจางๆ อยู่สักพักหนึ่ง

 

“อื้ม… ฉันเองก็ยังบอกนายไม่ได้เหมือนกันว่าไคเลอร์คนนั้นเป็นใครมาจากไหน… แต่ว่าที่แน่ๆ ก็คือผู้หญิงคนนั้นมีฝีมือและสภาพร่างกายเหนือกว่านายมาก… แล้วถ้าเกิดว่านายคิดอยากจะลองของ… ฉันก็สามารถจำลองวิธีการต่อสู้ของผู้หญิงคนนั้นมาเป็นคู่ซ้อมให้นายได้… แต่ฉันขอบอกก่อนเลยว่านายน่าจะถูกเล่นงานจนเละได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที…”

 

“ขนาดนั้นเลยหรอ!?”

 

“ใช่… ต้องบอกว่าเมื่อครั้งนั้นนายโชคดีแล้วล่ะที่นายกับน้องสาวไปเจอกับไคเลอร์มาแล้วยังรอดชีวิตกลับมาได้น่ะ… แล้วถ้าดูจากครั้งที่สองที่นายได้ไปเจอกับไคเลอร์ที่ป่าด้านหลังคฤหาสน์นั่นก็เหมือนว่าเขาจะอธิบายให้นายฟังแล้วนี่นะว่าครั้งนั้นนายกับน้องสาวอยู่นอกเหนือจากภารกิจน่ะ…”

 

“ภารกิจงั้นหรอ… แล้วสรุปว่ายัยนั่นเป็นใครกันแน่ล่ะเนี่ย”

 

“เรื่องนั้นเอาไว้ถ้านายมีโอกาสได้ไปเจอกับเขาอีกครั้งหนึ่งก็ค่อยลองถามดูเอาเองละกัน… ส่วนตอนนี้หมดเวลาพักครึ่งของนายแล้ว…”

 

พาเทียซ์พูดบอกปัดนากากลับไปก่อนที่ปีกแสงของเธอจะแผ่ละอองแสงสีขาวออกมาจำนวนหนึ่งที่พุ่งมารวมตัวกันเป็นดาบคาตานะของเซซิลติดอยู่ที่ข้างเอวของเธอ ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้ชักดาบคาตานะออกมาจากฝักและทำให้มีเปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นมาแบบเดียวกับที่นากาเคยเห็นเซซิลทำอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

 

“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็เข้ามา…!”

 

“โอ้!!”

 

ฟุ่บ—-

 

 

เคล๊ง!!

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่นากาเริ่มต้นการฝึกครึ่งหลังในยามค่ำคืนกับพาเทียซ์นั้น ที่ชายหาดแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองกราวิทัสนับสิบกิโลเมตรเองก็มีเสียงของโลหะกระทบกันดังลั่นขึ้นมาก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงของซัมเมอร์ที่หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

“ว๊าย—!?”

 

“เอ้า! เป็นอะไรไป!? ถ้ามัวแต่เหม่อแบบนั้นแกจะโดนฉันฆ่าทิ้งเอานะยัยหนู!!”

 

หญิงสาวผมยาวสีแดง หรือก็คือ ไคเลอร์ ที่เพิ่งจะตกอยู่ในหัวข้อสนทนาของนากาและพาเทียซ์เมื่อสักครู่ก็ได้ขึ้นเสียงตะคอกใส่เด็กสาวตัวน้อยซัมเมอร์ที่เพิ่งจะโดนเธอใช้แท่งโลหะสีดำที่นูลิซใช้เป็นกระสุนสำหรับเครื่องยิงแท่งเหล็กฟาดจนปลิวกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นทรายเต็มแรงก่อนที่เธอจะพุ่งตัวตามซัมเมอร์ไปและเหวี่ยงแท่งโลหะสีดำในมือจากด้านล่างขึ้นไปทางด้านบนเพื่อหวังที่จะเสยเด็กสาวขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที

 

“—!?”

 

ซึ่งทางด้านซัมเมอร์ที่เห็นว่าไคเลอร์ได้พุ่งตามเข้ามาโจมตีเธออย่างต่อเนื่องนั้นก็ได้รีบขยับกระบองเหล็กในมือของเธอเข้ารับแท่งเหล็กของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

แต่ว่าในจังหวะก่อนที่แท่งเหล็กสีดำในมือของไคเลอร์จะได้เข้าปะทะกับตัวกระบองเหล็กนั้น ไคเลอร์ก็ได้สะบัดแขนของเธอด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทันจนทำให้แท่งเหล็กสีดำในมือของเธอเปลี่ยนมุมจากการเสยขึ้นไปเป็นการหวดขวางเข้าไปที่ข้างหัวของซัมเมอร์เข้าเต็มๆ แทน

 

ฟวับ—ปึ๊ก!!

 

“อ—–”

 

ซัมเมอร์ที่ถูกแท่งเหล็กหวดเข้าใส่ข้างศีรษะเต็มๆ ได้หลุดเสียงร้องออกมาเล็กน้อยและแทบจะหมดสติลงไปในทันที ในขณะที่ร่างของเธอก็ปลิวกระเด็นออกไปอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับที่มีของเหลวสีแดงจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลบนศีรษะ

 

หมับ—

 

“เฮ้ย! ใครอนุญาตให้แกหมดสติกันหะ!?”

 

“…….”

 

ไคเลอร์ที่พุ่งตัวตามซัมเมอร์ไปได้กระชากคอเสื้อของเด็กสาวเอาไว้กลางอากาศก่อนที่ร่างกายของอีกฝ่ายจะได้ตกลงสู่พื้นและดึงตัวเด็กสาวเข้ามาตะคอกใส่อย่างรุนแรง แต่ว่าซัมเมอร์ที่เพิ่งจะถูกฟาดเข้าที่ศีรษะจังๆ จนแทบจะหมดสติก็กลับยืนคอพับโดยไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ไคเลอร์ที่เห็นแบบนั้นได้แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเด็กสาวเบาๆ

 

“เห็นยัยฮานะนั่นบอกว่าแกตั้งใจจะมาฝึกเพื่อไปแก้แค้นให้คุณพ่อที่ถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาไม่ใช่หรือไง อ๋อ~ หรือว่าจริงๆ แล้วแกก็แค่พูดไปอย่างงั้นเพื่อยื้อชีวิตของตัวเองไปวันๆ น่ะ โธ่เอ๊ยน่าสงสารยัยฮานะซะจริงที่มาหลงเชื่อคนใจเสาะอย่างแกจนถึงขั้นยอมขัดคำสั่งหัวหน้าเพื่อช่วยชีวิตแกเอาไว้น่ะ”

 

“ย…อย่า…”

 

“หา~ แกว่าอะไรนะ พูดให้มันดังๆ หน่อยสิ หรือว่าที่ฉันพูดขึ้นมามันเป็นความจริงแกก็เลยไม่กล้าเถียงกลับมาน่ะ”

 

“อย่ามาพูดถึงคุณพ่อกับพี่สาวแบบนั้นนะ!!!”

 

ซัมเมอร์ที่ได้ยินคำพูดยุยงจากไคเลอร์ไปอีกครั้งได้เปิดเปลือกตาที่เกือบจะปิดลงไปแล้วกลับขึ้นมาก่อนที่เธอจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ไคเลอร์เต็มแรงในทันที

 

ปึ๊ก!!

 

“แกมีแรงแค่นี้หรือไงล่ะยัยหนู? ถ้ามีปัญญาทำได้แค่นี้ล่ะก็ขนาดแมลงสักตัวแกก็ยังฆ่าไม่ได้เลยล่ะมั้ง”

 

“…..”

 

ซัมเมอร์ที่ต่อยเข้าไปที่สีข้างของไคเลอร์เต็มแรงแต่อีกฝ่ายก็กลับไม่มีท่าทีเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยได้แต่กัดฟันแน่นก่อนที่เธอจะเอนตัวไปข้างหลังและโขกหน้าผากของเธอเข้าใส่หัวของไคเลอร์เข้าเต็มแรงโดยที่ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ตัวเองอาจจะได้รับเลยแม้แต่น้อย

 

ปึ๊ก!!!

 

“หึ… ถ้าแกคิดจะทำก็ทำได้ไม่ใช่หรือไง!?”

 

“อ—!!?”

 

ฟ๊าววว—ครืดดดดดด—-

 

ไคเลอร์เหวี่ยงร่างของซัมเมอร์ที่เธอจับคอเสื้อเอาไว้ไปทางเด็กสาวอีกสามคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ อย่างรุนแรงจนทำให้ร่างของซัมเมอร์กลิ้งไถลไปกับหาดทรายเป็นทางยาวและหยุดลงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เบื้องหน้าของเด็กสาวในชุดเมดสองคนกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมสีดำเข้าพอดี

 

“ตอนนี้พักแค่นี้ก่อน!! พวกผู้ปกครองขี้หวงตรงนั้นรีบเอาไปประคบประหงมได้แล้ว!!”

 

เสียงของไคเลอร์ที่ดังขึ้นมาให้เด็กสาวในชุดเมดทั้งสองคนหรือก็คือนูลิสและฮานะได้ยินได้ทำให้เด็กสาวผมสีทองในชุดสาวใช้เปิดไหล่พูดบ่นออกมาในทันที

 

“ยัยปีศาจ… วิธีการฝึกแบบนั้นมันไม่ได้เอาไว้ใช้กับมนุษย์ชัดๆ …”

 

“เรื่องนั้นฉันก็ไม่เถียงหรอก… แต่ถ้าเกิดว่าเธอมัวแต่พูดบ่นแล้วก็ไม่รีบรักษาเด็กคนนี้ล่ะก็เดี๋ยวเขาก็ได้เสียเลือดจนตายไปจริงๆ ซะก่อนหรอกนะฮานะ…”

 

“เรื่องนั้นเธอไม่ต้องมาพูดย้ำหรอกน่านูลิส!!”

 

ฮานะพูดเถียงนูลิสที่เอ่ยปากเตือนขึ้นมากลับไปก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้กลุ่มของสาวใช้ผมสีดำที่สวมใส่หน้ากากสีขาวไร้ลวดลายเดินเข้าช่วยเธอตรวจสอบอาการบาดเจ็บของซัมเมอร์ ในขณะที่ทางด้านไคเลอร์เองก็กำลังเดินเข้ามาพูดถามเด็กสาวในชุดผ้าคลุมสีดำใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน

 

“แล้วยัยหัวชมพูนั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ ถ้าเกิดว่าหายดีแล้วเดี๋ยวฉันจะได้จับมันมาซ้อมต่อในคืนนี้ไปเลย”

 

“น่าจะเสร็จแล้ว… เธอไปดูเองได้เลย…”

 

คำตอบของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้ทำให้ไคเลอร์พยักหน้าตอบกลับไปอย่างพึงพอใจ แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ออกเดินไปตามหาตัวอิซานางิก็ได้มีเสียงของนูลิสดังขึ้นมาเบาๆ ให้เธอได้ยินเข้าซะก่อน

 

“ถ้าเป็นไปได้ท่านไคเลอร์ก็ช่วยเพลาๆ มือลงสักหน่อยก็ดีนะคะ…”

 

“หา?”

 

คำพูดของนูลิสนั้นได้ทำให้ไคเลอร์หยุดฝีเท้าลงและหันกลับไปจ้องมองนูลิสแบบแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเองก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปยืนก้มหน้ามองสำรวจดูนูลิสที่ตัวเตี้ยกว่าเธอค่อนข้างมากอยู่สักครู่หนึ่ง

 

“เดี๋ยวนี้เธอพูดมากขึ้นนะนูลิส… นี่คุณแม่ของเธอแอบจับเธอไปเปลี่ยนอะไรเล่นมาหรือเปล่าเนี่ย?”

 

“ทุกอย่างของนูลิสยังเหมือนเดิม… ฉันตรวจสอบดูหลายรอบแล้ว…”

 

ทางด้านเด็กสาวในชุดผ้าคลุมสีดำที่ได้ยินคำถามของไคเลอร์เองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน ในขณะที่ทางด้านนูลิสที่ตกเป็นเป้าความสงสัยของทั้งสองคนนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนกับที่เธอทำเป็นประจำ

 

“ที่ฉันเอ่ยปากเตือนท่านไคเลอร์นี่มันเป็นเพราะว่าในตอนนี้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การรักษาอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ แต่ว่ามันก็ยังจำเป็นที่จะต้องให้คุณแม่ไปควบคุมการรักษาให้… เพราะแบบนั้นฉันก็เลยเกรงว่าถ้าหากท่านไคเลอร์เผลอพลั้งมือจนเกินไปจนต้องทำการรักษาเป็นเวลานานมันอาจจะส่งผลกระทบกับภารกิจที่กำลังใกล้เข้ามาได้ค่ะ”

 

“อ่า… พอเห็นเธอพูดบ่นออกมาด้วยหน้านิ่งๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะยังเหมือนเดิมอยู่ล่ะมั้ง งั้นสรุปก็แค่ว่าอย่าให้กระดูกกับอวัยวะภายในพังก็พอใช่มั้ยล่ะ”

 

“ค่ะ…”

 

“ให้ตายสิ เรื่องมากจริง…”

 

ไคเลอร์พูดบ่นออกมาก่อนที่เธอจะเดินผ่านนูลิสที่กำลังค้อมหัวให้เธออยู่หายไปในความมืดโดยรอบ และในจังหวะเดียวกันนั้นเองกลุ่มสาวใช้ของฮานะก็ได้ช่วยกันยกร่างของซัมเมอร์ที่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้วขึ้นไปวางบนเปลและเดินหายไปในความมืดในทิศทางเดียวกันกับที่ไคเลอร์เดินหายไปอย่างรวดเร็ว

 

“กล้ามเนื้อทั้งแขนและขาฉีกขาด กระดูกร้าวไปเกือบจะทั่วทั้งตัว แล้วก็มีเลือดออกในอวัยวะภายในแทบจะทุกจุดที่เป็นไปได้ค่ะ”

 

“จะบอกว่าที่เด็กคนนั้นยังไม่ตายก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้วงั้นสินะ…”

 

“ค่ะ ถึงอาการบาดเจ็บของซัมเมอร์จะยังสาหัสไม่เท่าของอิซานางิ แต่ว่าสำหรับเด็กวัยเท่านั้นก็นับว่าเป็นอาการบาดเจ็บร้ายแรงจนอาจจะถึงแก่ชีวิตได้แล้วล่ะค่ะ”

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็หมายความว่าไคเลอร์เขาออมมือให้แล้ว… นูลิส เธอส่งหน่วยของเธอไปช่วยหน่วยของฮานะรักษาเด็กคนนั้นซะ…”

 

“รับทราบค่ะหัวหน้า…”

 

เด็กสาวในชุดผ้าคลุมไม่ได้พูดตอบอะไรนูลิสกลับไปและเดินตามหลังเหล่าสาวใช้สวมหน้ากากและไคเลอร์ไปในทิศทางเดียวกันโดยที่มีนูลิสค้อมหัวทำความเคารพไล่หลังเธอไป และเมื่อเด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้เดินหายไปในความมืดรอบกายแล้วนูลิสก็ได้เงยหน้ากลับขึ้นมาเอ่ยปากพูดกับฮานะที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ เธอ

 

“หน่วยของฉันได้รับมอบตัวซัมเมอร์ไปเพื่อทำการรักษาให้เรียบร้อยแล้วนะฮานะ… เธอจะตามไปเฝ้าดูอาการของเขาด้วยหรือเปล่า…?”

 

“ไม่ล่ะ ถึงอาการของเด็กคนนั้นจะหนักขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะตายแหล่มิตายแหล่แบบตอนที่ฉันไปเจออิซานางินี่ แล้วอีกอย่างนึง… เด็กนั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากสำหรับฉันอยู่แล้วด้วย”

 

“ทั้งๆ ที่ปากบอกว่าเป็นคนไม่สำคัญแต่เธอก็ยังพยายามทำเพื่อเด็กคนนั้นตั้งขนาดนั้นเนี่ยนะ…?”

 

“เธอพูดแบบนี้หมายความว่าไงหะนูลิส?”

 

“ก็ฉันเห็นว่าเธอถึงกับพยายามทดลองสร้างไม้เบสบอลผสมคริสตัลวิซเตรียมเอาไว้ให้เด็กคนนั้นหลังจากที่เขาฝึกเสร็จเลยไม่ใช่หรือไง… ถึงเธอจะพยายามเก็บพิมพ์เขียวเอาไว้เป็นความลับก็เถอะแต่ว่าเธอซ่อนอะไรจากฉันที่รับหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยมาแทนคุณแม่ไม่ได้หรอกนะ… แล้วถ้าเกิดเธอคิดจะบอกว่าแค่สร้างขึ้นมาลองใช้เล่นๆ ล่ะก็… มันจะไม่ฟังดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือเปล่า…”

 

สิ่งที่นูลิสพูดขึ้นมาได้ทำให้ฮานะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากอดอกและขมวดคิ้วมองดูเพื่อนร่วมงานของเธออยู่ชั่วขณะแล้วจึงพูดตอบสาวใช้ตัวน้อยกลับไป

 

“ที่ฉันทำไปนั่นก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้กับเด็กคนนั้นต่างหากล่ะ เพราะยิ่งซัมเมอร์กับอิซานางิทำตามเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จได้เร็วเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นผลดีกับแผนการของหัวหน้ามากขึ้นเท่านั้นไม่ใช่หรือไง”

 

“ถ้าเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ เธอก็แค่มอบหนึ่งในอาวุธของพวกเราที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่ผิดคำสัญญาไปให้สองคนนั้นใช้แก้แค้นก็น่าจะง่ายดายแล้วก็มีประโยชน์กับหัวหน้ามากกว่าการจับพวกเขามาฝึกฝนเพื่อให้ไปแก้แค้นด้วยพลังของตัวเองไม่ใช่หรือไง…?”

 

“ร–เรื่องนั้นมันก็… มันก็…”

 

ฮานะที่ถูกนูลิสพูดจี้จุดขึ้นมาตรงๆ ได้แต่พยายามคิดหาคำพูดเพื่อพูดเถียงกลับไป แต่ว่าเธอก็คิดหาคำพูดดีๆ ที่น่าจะฟังขึ้นไม่ได้จนทำได้เพียงแค่พูดอ้ำอึ้งออกมา ซึ่งทางด้านนูลิซที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้พูดต่อว่าอะไรฮานะออกมาและก้าวเดินถอยห่างออกไปเล็กน้อยพร้อมกับแผ่ปีกแสงสีฟ้ารูปร่างเหมือนกับปีกผีเสื้อออกมาจากแผ่นหลังเป็นสัญญาณว่าเธอจะจากไปแล้วนั่นเอง

 

“ฉันทำเรื่องโอนย้ายภารกิจเก็บกวาดและปกปิดร่องรอยให้กับท่านไคเลอร์ที่เธอได้รับไปก่อนหน้านี้มาเป็นภารกิจของฉันแล้ว… เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอสามารถกลับไปดูแลซัมเมอร์กับฮิซานางิเขาได้ตามสบายแล้วล่ะฮานะ”

 

“ห–หะ? ภารกิจที่ว่าให้ไปเฝ้าจับตาดูเด็กคนที่ท่านไคเลอร์เข้าไปเจอในร้านเหล้าก่อนที่ท่านไคเลอร์จะเผลอทำร้านระเบิดจนเด็กนั่นถูกทหารของกราวิทัสลากตัวไปนั่นน่ะนะ? ทำไมเธอถึง—”

 

“ก็เพราะฉันคิดว่าเธออาจจะมัวแต่กังวลเรื่องของซัมเมอร์จนอาจจะส่งผลให้ภารกิจที่เธอได้รับมอบหมายไปเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้… ฉันก็เลยเลือกวิธีการที่จะส่งผลดีต่อเป้าหมายของหัวหน้าที่สุดก็เท่านั้นแหล่ะ…”

 

“เพื่อเป้าหมายของหัวหน้างั้นหรอ…”

 

“ใช่… เพราะทุกการกระทำของพวกเรามีไว้เพื่อรับใช้หัวหน้าและคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาอยู่แล้วไม่ใช่หรอ…”

 

คำพูดของนูลิสได้ทำให้ซัมเมอร์กำหมัดแน่นและเอ่ยปากถามนูลิสที่กำลังลอยตัวขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“เธอกำลังจะบอกว่าเป็นเพราะฉันมัวแต่ทำตามใจตนเองก็เลยไม่เหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาแล้วหรือไงกันนูลิส?”

 

“จากการคำนวณของฉัน… ถ้าเธอยังอยากเล่นเป็นพี่สาวของซัมเมอร์อยู่ต่อไปแบบนี้มันก็อาจจะมีโอกาสเป็นไปได้อยู่ก็ได้… ส่วนเรื่องภารกิจ… มันไม่เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นคนทำมันหรอก… ขอแค่ให้ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนและกำหนดการได้ก็พอแล้วล่ะ… เพราะแบบนั้นตอนนี้เธอก็รีบๆ ไปดูแลการรักษาของซัมเมอร์ได้แล้ว…”

 

นูลิสพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวขึ้นไปบนฟากฟ้าและบินปะปนหายไปกับดวงดาวที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนโดยทิ้งให้ฮานะยืนนิ่งอยู่บนชายหาดเบื้องหลัง

 

“เล่นเป็นพี่สาวงั้นหรอ…”