บทที่ 69 ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้โบราณ
บทที่ 69 ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้โบราณ
ลึกเข้าไปในทางเดิน
จ้าวฉางชุนใช้กระดาษทิชชู่เช็ดเลือดที่มุมปากด้วยความหงุดหงิด ทันใดนั้นก็พบว่าหลินเวยมาพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาจึงกล่าวถามเสียงเคร่งขรึม “คุณไม่ได้ไปส่งแขกหรือ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ผมให้เธอพามาน่ะ”
โจวอี้ยิ้มอย่างสุภาพมองไปที่คางของจ้าวฉางชุนแล้วพูดว่า “กระดูกขากรรไกรหัก ไปโรงพยาบาลด่วน! คุณควรจะไปพบแพทย์จีนเพื่อรับการรักษา มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อโครงกระดูกในอนาคต”
“คุณคือใคร?” จ้าวฉางชุนถาม
“ผมแซ่โจว เป็นหมอในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีน ผมรู้จักเจ้านายของคุณ” โจวอี้หยิบบัตร VIP ออกมาโบกไปมาให้อีกฝ่ายดู
กุหลาบทอง?
บัตร VIP ระดับที่สอง?
ครั้นเห็นเช่นนั้น จ้าวฉางชุนจึงรีบเปลี่ยนท่าที “คุณหมอโจว เจ้านายของเรามีปัญหา เพื่อไม่ให้เดือนร้อนต่อผู้ไม่เกี่ยวข้อง เขาได้แจ้งแขกให้กลับไปก่อน คุณคิด…”
“โอเค!”
โจวอี้ส่ายหัวและหันไปเปิดประตูห้องโถง
บรรยากาศในห้องโถงตอนนี้ทั้งตึงเครียดและกดดัน
เมื่อโจวอี้กับหลินเวยเข้ามา ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่พวกเขา
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะ ได้ยินมาว่ามีการทะเลาะกันผมจึงคิดว่าคงได้ดูอะไรสนุก ๆ เอ~ แต่ไม่คิดว่าคุณจะยังไม่เริ่มสู้ …งี้ผมก็ไม่ได้ทำงานน่ะสิ” โจวอี้เดินไปที่ฝูงชนด้วยรอยยิ้มขี้เล่น จากนั้นค่อย ๆ ดึงเข็มเงินออกมาหมุนไปมา
“โจว…” เฉิงฮ่าวจำโจวอี้ได้และถูกใครบางคนขัดจังหวะทันทีที่อ้าปากพูด
“ไอ้เด็กน้อยไร้ขน ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ” เป็นเถี่ยหยางที่ก่นด่าสาปแช่งเสียงดัง
“คุณด่าผมเหรอ” โจวอี้แสร้งย้อนถามด้วยความประหลาดใจ
“ฉันด่าแกนั่นแหละไอ้ลูกหมา ถ้าไม่ไป ฉันจะฆ่าแกเสีย!” เถี่ยหยางตะโกนลั่น
“แน่จริงก็เข้ามา!” ชายหนุ่มดีดนิ้วกริก
แววตาของเถี่ยหยางเป็นประกายเย็นเยียบ และทันใดนั้นมีดบินก็พุ่งไปที่คอของโจวอี้
“ฮึ่ม…”
หลินเวยที่สวมชุดทำงานและดูอ่อนแอก้าวเท้าออกมาขวางหน้าโจวอี้ ขณะเดียวกันก็ยกแขนสะบัดนิ้วขึ้นปัดป้องมีดบินไว้ราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้วิถีของมีดบินเบี่ยงเบนไปปะทะเข้ากับผนังทางด้านซ้าย
หลังฉากนี้…
ดวงตาของผู้คนนับไม่ถ้วนหดเกร็งและใบหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างฉับพลัน
จ้าวฉางชุนที่ยืนอยู่ที่ประตูและคุ้นเคยกับหลินเวยยังอ้าปากค้างด้วยความตะลึง
โจวอี้ตบไหล่หลินเวยเบา ๆ และเดินไปรอบ ๆ “กับพี่สาวของผมคนนี้ คุณยังกล้าลงมืออีกเหรอ อย่าใจร้อนนักเลย”
“คุณคือใคร?” เถี่ยหยางถามอย่างเคร่งขรึม
หลินเวยไม่ได้พูดอะไร
โจวอี้หันศีรษะและยิ้มให้เฉิงฮ่าว “โอ้เป็นพี่เฉิง ผมนึกว่าพี่จะอยู่กับพี่สะใภ้ที่บ้านเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมามองหาดอกไม้สวยงามที่นี่”
“แค่ก น้องโจวล้อเล่นแล้ว” เฉิงฮ่าวหัวเราะแห้ง ๆ แต่แววตาเปล่งประกายบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
โจวอี้แสยะยิ้ม จากนั้นหันมองไปที่หลี่หงอี้และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชายหลี่เป็นอย่างไรบ้าง ผมมาอยู่ที่นี่สองสามวันน่ะ แต่ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องที่คุณมีปัญหา แต่ดูท่าแล้วงานนี้คงไม่ธรรมดาถึงกับชักปืนออกมา ผู้ชายคนนั้นมีปัญหากับคุณงั้นหรือ”
“น้องโจว คุณ…” หลี่หงอี้ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เจอชายหนุ่มในสถานการณ์เช่นนี้!
เขาซื้องานประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดของโจวอี้ด้วยเงินจำนวนมาก และมอบบัตร VIP ของคลับให้ เพราะเขาต้องการทำความรู้จักกับปรมาจารย์ด้านอักษรวิจิตรและการวาดภาพ แต่วันนี้สิ่งที่โจวอี้แสดงออกมานั้นเผยให้เห็นถึงตัวตนและภูมิหลังอันไม่ธรรมดา!
เขาไม่เพียงแต่รู้จักเฉิงฮ่าวเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสนิทกันมาก
นอกจากนี้ ผู้หญิงที่สวมชุดพนักงานของคลับคือพี่สาวของโจวอี้ เธอสามารถปัดมีดบินที่เถี่ยหยางใช้ นั่นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพลังของเธอแข็งแกร่งมาก
“ผมรบกวนคุณหรือเปล่า” โจวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม
“นี่…” หลี่หงอี้น้ำท่วมปากด้วยไม่รู้จะพูดอะไร
หากนี่เป็นการรบกวน เขาอยากให้โจวอี้อยู่ที่นี่ทุกวันเพื่อรบกวนตัวเอง
“โจวอี้หยุดเล่น แก้ปัญหาเสร็จแล้วฉันยังต้องไปทำงาน!” หลินเวยกล่าว
“ตกลง”
โจวอี้พยักหน้าและมองไปที่เถี่ยหยาง ใบหน้าของชายหนุ่มดำทะมึนและเค้นเสียงถามว่า “คุณอยากฆ่าผมเหรอ?”
“แกเป็นใครกันแน่” เถี่ยหยางโต้ตอบเสียงแข็งด้วยใบหน้ามืดมน
“คุกเข่าคำนับสามครั้งแล้วผมจะบอกคุณ” โจวอี้กล่าวสบาย ๆ
“ไอ้เวร อยากตายรึไงวะ!”
หลังจากเถี่ยหยางพูดจบ เขาก็ขว้างมีดสองเล่มพุ่งออกมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันพุ่งทะยานไปที่หลินเวยทันที
ในมุมมองของเขา หลินเวยเป็นศัตรูที่ควรกำจัดทิ้งก่อนคนแรก!
โจวอี้คว้าแขนของหลินเวยไว้ ขณะนั้นเข็มเงินสองอันปรากฏขึ้นบนมือของเขา ทำให้ปลายแหลมของมันกระทบกับมีดบินพอดี เขารวบรวมพลังปราณไว้ที่แขน จากนั้นชกกำปั้นใส่หมัดของฝ่ายตรงข้าม
แกร็ก…
โจวอี้ไม่แม้แต่จะหลบหลีกเมื่อหมัดกับหมัดปะทะกัน แต่แขนของอีกฝ่ายกลับบิดเบี้ยวผิดรูป กระดูกแขนหักและกล้ามเนื้อแขนถูกเจาะ เลือดพุ่งกระจาย โจวอี้ส่งลูกเตะเสยไปที่คางของเถี่ยหยาง
“คุณมันอ่อนแอ กล้าดียังไงมาก่อความวุ่นวาย ใครสั่งให้มา” โจวอี้สะบัดแขนที่ชาเล็กน้อยแล้วพูดพร้อมกับส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
อ่อนแอ?
เถี่ยหยางเป็นผู้สืบทอดมวยแห่งตะกูลเถี่ยในมณฑลซานซีตอนเหนือเชียวนะ!
ทำไมกัน?
เกาจ้านเหวินกำหมัดแน่นและมองไปที่โจวอี้ด้วยความกลัว
เขารู้ความแข็งแกร่งของเถี่ยหยางดีที่สุด กระนั้นก็ไม่อาจแม้แต่จะรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้ นั่นหมายความว่าอย่างไร? นี่แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มที่ชื่อโจวอี้ผู้นี้แข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะไม่ใช่ปรมาจารย์ แต่ไม่เป็นการพูดเกินจริงเลยถ้าจะบอกว่าเขามีฝีมือเทียบเท่าระดับนั้น
“คุณก็อยากฆ่าผมอีกคนเหรอ” โจวอี้มองไปที่เกาจ้านเหวิน
“เราไม่มีความเกลียดชังต่อกัน ผมไม่ได้ต้องการจะฆ่าคุณอย่างแน่นอน แต่ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้หรือ การก้าวเข้ามาแทรกแซงนั้น… คุณไม่เข้าใจกฎของศิลปะการต่อสู้โบราณเหรอไง?” เกาจ้านเหวินถามด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ
“ศิลปะการต่อสู้โบราณคืออะไร และกฎที่คุณพูดมา ผมไม่เห็นเข้าใจ” โจวอี้ส่ายหัว
“คุณไม่รู้เหรอ?” เกาจ้านเหวินตกตะลึง
คนรอบข้างก็ดูพิลึกไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“น้องชาย ฉันได้เรียนรู้หลังจากที่ลงจากภูเขาว่าเราไม่ใช่คนเดียวที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ โลกศิลปะการต่อสู้โบราณคือชื่อของคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้หรือการฝึกยุทธ์” หลินเวยกล่าว
“ฝึกยุทธ์?? ยุคนี้ยังมีการฝึกยุทธ์อีกงั้นเหรอ” โจวอี้ถามขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ
ทุกคนในห้องยิ้มอย่างขมขื่น
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้แบบโบราณ ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่รู้จักการฝึกยุทธ์? พวกผู้ใหญ่ไม่ได้บอกเขาเหรอ?
เฉิงฮ่าวเข้าใจภูมิหลังของโจวอี้จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องโจว ฉันคิดว่าคุณเป็นแค่หมอ งั้น… เอาไว้วันหลังถ้ามีเวลาฉันจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง”
ตกลง!
โจวอี้พยักหน้ามองไปที่เกาจ้านเหวินอีกครั้งและพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจกฎของโลกศิลปะการต่อสู้โบราณ ดังนั้นหวังว่าคุณจะยกโทษให้สำหรับสิ่งที่ฉันทำไม่ดี เราต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เช่นนั้นมายุติการทะเลาะวิวาทแบบเด็ก ๆ กันเถอะ”
“คุณยังไม่ได้บอกตัวตนของคุณมาเลย!” เกาจ้านเหวินกล่าว
“นามสกุลของฉันคือโจว ฉันเป็นแค่หมอธรรมดา” โจวอี้กล่าว
“ฉันจะจำไว้”
เกาจ้านเหวินพยักหน้าและช่วยพยุงเถี่ยหยางขึ้นและหันกลับมามอง หลี่หงอี้พร้อมกล่าวเยาะเย้ย “หัวหน้าหลี่ หม้อระงับวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่คุณครอบครองได้ หากฉลาดพอ โปรดติดต่อฉันกลับในภายหลัง”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงช่วยเถี่ยหยางออกไปข้างนอก
เมื่อมาที่ประตู เถี่ยหยางก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน สายตาจ้องไปที่โจวอี้ด้วยแววอาฆาตแล้วหันหลังกลับไป
“รอก่อนเถอะ!”