บทที่ 84 เจ้ามีท่านพ่อที่สุดยอดจริง ๆ
บทที่ 84 เจ้ามีท่านพ่อที่สุดยอดจริง ๆ
เจ้าอาวาสสัมผัสได้เพียงว่าเขาถูกพิษกู่ แต่ไม่รู้วิธีกำจัดมัน
เขาจึงหาวิธีทำให้พิษกู่ทุเลาลง ในที่สุดก็พบตำรับยาโบราณ ทว่าตัวยาสำคัญในตำรับยาดังกล่าวหาได้ยากยิ่ง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ยาสำคัญตัวนั้นยังหลงเหลือในใต้หล้านี้หรือไม่ เขาทำได้เพียงพยายามตามหามันสุดความสามารถ
นอกจากนี้ เขายังส่งคนออกตามหาอาจารย์กู่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างผู้อาวุโสชางที่อยู่ทางเขตใต้ เพราะคนผู้นั้นก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่อาจจะกำจัดพิษกู่ให้เขาได้
แต่จนถึงตอนนี้ เขาพบตัวยาสำคัญเพียงสองในห้าชนิด เบาะแสของตัวยาอีกสามชนิดนั้นคลุมเครือหรือแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
เจ้าอาวาสถอนหายใจ “เรือจะเทียบท่าเมื่อถึงเวลาของมัน*[1] ยามนี้ข้างกายฝ่าบาทมีองค์หญิงผู้สามารถช่วยให้อาการของพระองค์ไม่กำเริบอยู่ ฉะนั้นแล้วก็ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า ในขณะที่ดวงตากำลังจับจ้องเสี่ยวเป่า
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าคนตัวเล็กจะสามารถยับยั้งพิษกู่ในตัวเขาได้
ด้านเสี่ยวเป่านั้นยังคงมึนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางเข้าใจก็คือ ท่านพ่อกำลังป่วยหนัก!
นางมองท่านพ่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอันใดไป ท่านพ่อป่วยหรือ?”
หนานกงสือเยวียนลูบหัวปลอบประโลมนาง “ไม่เป็นไร อยากกินลูกท้อไม่ใช่หรือ? ไปกันเถอะ”
เขาเบี่ยงเบนความสนใจของเสี่ยวเป่าได้สำเร็จ
“ประเดี๋ยวก่อน ข้าจะไปด้วย ข้าเองก็มาที่นี่เพื่อเก็บลูกท้อ ข้าเคยลิ้มลองลูกท้อมาก็หลายที่ ทว่าลูกท้อจากวัดต้ากั๋วรสชาติดีที่สุด”
นักพรตเสวียนจียืนบิดขี้เกียจ ในมือเขามีน้ำเต้าสุราที่พกพาไปด้วยทุกแห่งหน และท่าทางเขาก็ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อสิ่งใดเหมือนใช้ชีวิตเตร็ดเตร่ไปวัน ๆ
“สุราของข้าหมดเสียแล้ว น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่มีสุรา…”
เขาเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ชอบอยู่ติดที่ ชอบเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วยุทธภพ บางครั้งก็ไม่ออกมาพบเจอผู้ใดตลอดทั้งปี
ปีนี้เขาเดินทางมาที่วัดต้ากั๋ว ก็เพื่อกินลูกท้อและเม็ดบัว
เพียงแต่ต้องรออีกพักหนึ่งกว่าเม็ดบัวในสระจะเติบโตเต็มที่
เสี่ยวเป่า เสี่ยวไป๋ และท่านพ่อมุ่งหน้าไปบนเขาที่อยู่ด้านหลัง
ป่าท้อบนเขาด้านหลังอารามนั้นค่อนข้างใหญ่ กลิ่นหอมหวานของลูกท้อลอยล่องปะทะจมูกตั้งแต่พวกเขายังไม่ทันเดินเข้าไป
บรรยากาศรอบ ๆ เงียบสงบ ถึงที่นี่จะมีป่าท้อ ทว่าผู้คนที่มาเก็บกลับมีไม่กี่คน
ส่วนใหญ่ก็เป็นสามเณรนุ่งห่มจีวรที่กำลังถือบาตรเก็บลูกท้อ
หนานกงสือเยวียนเห็นเสี่ยวเป่าทำหน้าสงสัยใคร่รู่ จึงอธิบายให้นางฟัง “วัดต้ากั๋วมีของดีสามอย่าง ป่าท้อหลังเขา เม็ดบัว และชาอู้ซานอวิ๋นอู้*[2] ทุก ๆ ปีจะมีผู้คนมากหน้าหลายตามาที่นี่เพื่อสามสิ่งนั้น ทว่าน้อยคนนักที่จะได้ของพวกนั้นกลับไป หลังจากเก็บลูกท้อเหล่านั้นแล้ว เจ้าอาวาสและภิกษุทั้งหลายจะมอบให้แก่ญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น”
แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ต้องมีคนลอบเข้าทางประตูหลัง ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรมในโลกนี้ ได้ชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะความสัมพันธ์กับตัวบุคคลหรือความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ แม้แต่กับพระภิกษุก็ไม่เว้น
เสี่ยวเป่า “เช่นนั้นเราเอาไปได้เท่าใดหรือเพคะ?”
เสี่ยวเป่าอยากเอาไปฝากพี่ ๆ รวมถึงพี่รองด้วย นางสามารถใช้พลังวิญญาณเก็บรักษาลูกท้อให้นานขึ้นเพื่อเก็บไว้ให้พี่รองกินด้วย
นักพรตเสวียนจีกระหยิ่มยิ้มย่อง “เอาไปได้เท่าใดก็เท่านั้น อย่างไรเสียพวกเขาก็กินไม่หมด เราจึงต้องมาช่วยกินอย่างไรเล่า”
หนานกงสือเยวียน “…”
กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเจ้าอาวาสเลยหรือ?
หนานกงสือเยวียน “เก็บไปเถอะ แล้วเราค่อยหาบางอย่างจากพระคลังมาแลกเปลี่ยนกับท่านเจ้าอาวาสก็ได้”
เสี่ยวเป่าเห็นลูกท้อผลใหญ่อวบอิ่มก็เกิดความโลภ “เสี่ยวเป่าก็แลกเปลี่ยนได้ เสี่ยวเป่ามีเฉ่าเหมยลูกใหญ่เบ้อเริ่ม เอามันมาแลกกับลูกท้อของท่านอาจารย์ได้!”
ลูกท้อในวัดต้ากั๋วออกผลดีทุกปี และได้ชื่อว่าเป็นลูกท้อที่หวานและอร่อยที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งเต็มไปด้วยพรศักดิ์สิทธิ์จากแสงพุทธะที่สามารถขจัดความมืดมนในจิตใจ ลูกท้อของที่นี่จึงหายากยิ่งขึ้นเพราะชื่อเสียงอันเลืองลื่อ
ฉะนั้นทุก ๆ ปีพอถึงฤดูกาลลูกท้อสุก ผู้คนจะหลั่งไหลมาที่วัดต้ากั๋วเพื่อขอลูกท้อไม่ขาดสาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงและเหล่าขุนนางน้อยใหญ่
ลูกท้อที่เหล่าสามเณรเก็บลงมาจากเขาด้านหลังนั้น จะนำมาเป็นของมงคลจากวัดต้ากั๋วมอบให้แก่ผู้แสวงบุญที่แวะเวียนมาที่วัด ทว่าแต่ละคนจะได้รับเพียงคนละนิดคนละหน่อยเท่านั้น
ส่วนผู้ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสให้ไปเก็บลูกท้อด้วยตนเองนั้น ช่วงหลังมานี้มีเพียงไม่กี่คน
องครักษ์นำตะกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่ห้าใบมาเก็บลูกท้อ
“ค่อย ๆ เก็บ”
ฮ่องเต้โบกไม้โบกมือสั่ง ไม่เกรงใจเลยสักนิด
เสี่ยวเป่ากวาดมองลูกท้อตาลุกวาว รีบสาวเท้าออกไปเก็บทันใด
แต่เจ้าก้อนแป้งตัวเตี้ยเกินไป แม้ว่านางจะเขย่งเท้าจนสุดก็ยังเอื้อมไม่ถึงลูกท้อที่อยู่ต่ำสุดของต้น
เสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยายามช่วยนาง สหายตัวน้อยทั้งสองพยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่เป็นผล
“ฮ่า ๆ!!!… ไม่ไหว ๆ เจ้าตัวเตี้ยเกินไป”
นักพรตเสวียนจีที่ยืนอยู่บนต้นท้อ นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว เขายังหัวเราะเยาะเจ้าก้อนแป้ง
เสี่ยวเป่าโมโหจนแก้มพอง แล้วเอามือเท้าเอวท่าทางหัวร้อน
“เตี้ยแค่ตอนนี้เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ!”
นักพรตเสวียนจีเอียงคอถามอย่างยียวน “อยากรู้วิธีขึ้นต้นไม้หรือไม่?”
ในขณะที่พูด นักพรตเสวียนจีก็เหาะขึ้นลงต้นไม้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาที่เริ่มวูบไหวของเสี่ยวเป่า
“เป็นอย่างไร? อยากเรียนหรือไม่?”
เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายทันที “อยาก!”
“เช่นนั้นเจ้าก็กลับสำนักกับข้า ข้าสัญญาว่าจะสอนวิชาทั้งหมดที่ข้ามีให้เจ้าดีหรือไม่?”
เสี่ยวเป่าหาได้โง่งมตามที่คนเขาบอก นางเอ่ยถามอย่างรอบคอบ “แล้วเสี่ยวเป่าต้องใช้เวลาเรียนนานเพียงใด?”
นักพรตเสวียนจี “ตามความสามารถของเจ้า แต่ปกติแล้วก็สามถึงห้าปี”
ทันใดนั้น เจ้าก้อนแป้งก็สะบัดหน้าหนีพร้อมเดินจากไป และไม่หันกลับมามองอีกเลย
นักพรตเสวียนจียืนอึ้ง “โธ่ถัง… เจ้าเพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่าอยากเรียนมิใช่หรือ?”
เสี่ยวเป่าพึมพำ “สามถึงห้าปี ถึงตอนนั้นเสี่ยวเป่าก็โตขึ้นตั้งเยอะ ไยต้องเรียนรู้จากท่านด้วย”
เจ้าก้อนแป้งเอ่ยเสียงหนักแน่น
นักพรตเสวียนจี “…”
สิ่งที่นางพูดก็ฟังดูมีเหตุผลมากเสียจนเขาไม่รู้จะสรรหาคำใดไปเถียง
แต่พอเขากำลังจะเอ่ยบางสิ่ง หนานกงสือเยวียนก็จ้องเขาตาเขม็ง
นักพรตเสวียนจียกขวดน้ำเต้าขึ้นมาดื่มแก้เก้อ ก่อนจะนอนลงบนกิ่งไม้ เก็บลูกท้อมาหนึ่งลูก ผิวปากเป็นทำนองที่เข้าใจยากพร้อมกัดกินลูกท้ออย่างสบายอารมณ์ ทำราวกับว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้กำลังจะลักพาตัวบุตรสาวของผู้ใด
หนานกงสือเยวียนเดินไปอุ้มธิดาตัวน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนด้วยแขนข้างเดียว
เจ้าก้อนแป้งเหนียวนุ่มวางแหมะอยู่บนแขนท่านพ่อ ทัศนวิสัยจึงสูงขึ้นเป็นพิเศษ ลูกท้อที่เคยเอื้อมไม่ถึงในตอนนั้น บัดนี้นางกลับเก็บได้เพียงเอื้อมมือออกไป
เสี่ยวเป่ามีความสุขมากจนต้องแกว่งเท้าไปมาเพื่ออวดสายตานักพรตเสวียนจีเหมือนกำลังภูมิอกภูมิใจเป็นที่สุด
“เสี่ยวเป่ามีท่านพ่อ!”
นักพรตเสวียนจี “เจ้ามีท่านพ่อที่สุดยอดจริง ๆ เลยนะ”
เสี่ยวเป่า “ต้องสุดยอดอยู่แล้ว ท่านไม่มีท่านพ่อก็เลยต้องปีนต้นไม้ขึ้นไปเก็บเอง แบร่!!!”
นักพรตเสวียนจีม้วนแขนเสื้อขึ้นทันที เขาไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้ในคราวนี้เด็ดขาด “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า ก็มีท่านพ่อเหมือนกันนั่นแหละ เจ้าก็แค่ได้นั่งบนแขน แต่ข้าได้ขี่คอท่านพ่อนู่น!”
ลูกตากลมโตดวงน้อยของเสี่ยวเป่าจับจ้องไปที่คอของท่านพ่อทันที
หนานกงสือเยวียน “…”
เขารีบพาธิดาตัวน้อยในอ้อมแขนเดินออกไปให้ห่างจากนักพรตเสวียนจีด้วยสีหน้าเรียบเฉย คนผู้นี้ยิ่งแก่ก็ยิ่งเหมือนเด็ก!
เสี่ยวเป่ามุ่ยหน้าไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ “ท่านพ่อของเสี่ยวเป่าดีกว่าท่านพ่อของท่านแน่นอน! ท่านพ่อเก่งกาจที่สุด”
“จะเปรียบท่านพ่อไปไย ตัวเจ้านั่นแหละถ้ามีความสามารถก็มาแข่งกับข้าสิ!”
“ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ท่านตัวโต เสี่ยวเป่าตัวเล็กนิดเดียว รังแกเด็กน่าอายจะตาย…”
“นี่เจ้าเด็กทึ่ม ข้าแก่ขนาดนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่เคารพเลย กระดูกข้าเก่าแล้วผุพังง่าย ส่วนกระดูกเจ้าก็ยังเปราะบาง เพราะฉะนั้นถือว่ากระดูกเรามิต่างกัน”
หนานกงสือเยวียนเหนื่อยหน่ายใจเต็มทน
แต่ละคนไม่มีใครยอมใคร ตั้งหน้าตั้งตาปะทะฝีปากกันอยู่ไกล ๆ
เขาเก็บลูกท้อจากต้นแล้วยัดใส่มือของเสี่ยวเป่า
“กินลูกท้อซะ”
เสี่ยวเป่าถูกลูกท้อแสนอร่อยเรียกความสนใจไปจนลืมโต้เถียงกับนักพรตเสวียนจีเสียสนิท นางกัดลูกท้อไปหนึ่งคำพลางทำหน้าเบิกบานใจ
[1] เรือจะเทียบท่าเมื่อถึงเวลาของมัน หมายถึง ปัญหาทุกอย่างมีทางออก
[2] ชาอู้ซานอวิ๋นอู้ แปลว่า ชาเมฆหมอกแห่งเขาอู้ซาน