หลังจากเยี่ยนหนิงลั่วเดินทางจากไปแล้ว ในจวนหย่งอันอ๋องก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดมากนัก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำที่เยี่ยนซู่กล่าวไว้เมื่อก่อนหน้าหรือไม่ กระทั่งโม่หานเยียนยังไม่ไปหาเรื่องเด็กสองคนที่เรือนสงบเงียบแม้แต่นิด

“คุณหนูหก คุณชายรอง ท่านหมออวิ๋นมาแล้วเจ้าค่ะ”

สิ้นเสียงประกาศจากสาวใช้ด้านนอกประตู ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวท่าทางอ่อนโยนสง่างามก็ปรากฏขึ้น เขาเดินตามหลังสาวใช้เข้ามา

อวิ๋นฉีคือหัวหน้านักปรุงยาหลวง อายุเพิ่งพ้นยี่สิบปีไปได้ไม่เท่าไหร่ หากแต่กลับเป็นนักปรุงยาขั้นทองคำชั้นหนึ่งแล้ว ว่ากันว่าฮ่องเต้ชิงหลานเคยช่วยเหลืออาจารย์ของเขาไว้เมื่อหลายปีก่อน และเพื่อตอบแทนบุญคุณ อาจารย์ของเขาจึงส่งลูกศิษย์มายังพระราชวังหลวงแคว้นชิงหลาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระงานขององค์ฮ่องเต้เป็นระยะเวลาสามปีโดยไร้เงื่อนไขใด

เมื่อเยี่ยนซู่ร้องขอ อวิ๋นฉีจึงเดินทางมาตรวจอาการชิงเป่ยทุกเดือนเพื่อให้เขาสามารถลุกขึ้นเดินได้อีกครั้ง

หลังจากเดินนำอวิ๋นฉีเข้ามาด้านในแล้ว สาวใช้ก็จากไปทันที

อวิ๋นฉียืนมือไพล่หลังนิ่ง นัยน์ตาอ่อนโยนจ้องมองไปยังเหล่าพืชพันธ์ุสีสันสดใสทั้งหลายที่ขึ้นอยู่ในสวน พวกมันเอนไหวไปตามแรงลม เป็นภาพงดงามตานัก

นกตัวน้อยตัวหนึ่งบินร่อนลงมา ดูท่าจะถูกต้นไม้สีสวยดึงดูดมา มันใช้จะงอยปากแหลมจิกไปที่ดอกไม้หน้าตาเหมือนจานกลมๆ ดอกหนึ่งด้วยความสงสัย

ทันใดนั้นเรื่องเหลือเชื่อก็ปรากฏ

ใจกลางดอกไม้รูปร่างเหมือนจานกลมๆ ดอกนั้นพลันปรากฏรอยแยกขึ้น จากนั้นแผ่ออกกลายเป็นปากเต็มไปด้วยฟันแหลมคม มันอ้าปากงับเข้าที่ขนหางของเจ้านกน้อยตัวนั้นทันที ส่งผลให้เจ้านกน้อยร้องเสียงดังด้วยความตกใจ สะบัดตัวอย่างแรงจนจะสามารถหนีไปได้ในที่สุด

ปากบนดอกไม้รูปร่างเป็นจานกลมพลันเบ้คล้ายเด็กไม่พอใจ มันถุยขนนกออก จากนั้นก็ซ่อนปากมันไว้อีกครา

อวิ๋นฉีนัยน์ตาเป็นประกายวาบ จ้องมองไปยังต้นไม้งดงามที่ปลูกเรียงแถวกันไว้

ต้นไม้หน้าตาไร้พิษภัยเหล่านี้ หรือว่า…..

“ท่านหมออวิ๋นสนใจสวนของข้าหรือ?” น้ำเสียงน่าดึงดูดเจือเสียงหัวเราะของเด็กสาวพลันดังขึ้น

อวิ๋นฉีชะงักไป หันไปมองยังต้นเสียง

พระอาทิตย์ลอยสูง เด็กสาวในชุดขาวกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู แสงสาดส่องลงมาราวกับนางเป็นผู้มอบแสงเหล่านี้ให้กับโลก มันสว่างจ้ามากจนไม่อาจมองนางชัดได้ ริมฝีปากเด็กสาวโค้งยิ้ม แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มหวานละมุน หากแต่ก็น่ามอง เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ไม่รู้สึกห่างเหิน

ครั้งก่อนที่อวิ๋นฉีมาที่นี่เขาไม่ได้พบชิงอวี่ ดังนั้นเมื่อเห็นเด็กสาวอีกคนในเรือนสงบเงียบเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “แม่นางคือ?”

“ข้าเป็นพี่สาวของเสี่ยวเป่ย ชื่อว่าเยี่ยนชิงอวี่”

จากนั้นเด็กสาวก็เดินลงจากขั้นบันได ใบหน้างามมีเสน่ห์เย้ายวนราวกับฉาบไปด้วยแสงบาง ๆ นัยน์ตาหงส์แฉลบขึ้นเล็กน้อยมองมา น่าหลงใหลสะท้านจิตใจนัก

อวิ๋นฉีชะงักค้างไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลุดออกจากภวังค์ในวินาทีต่อมา “แม่นางเยี่ยน ข้ามาตรวจอาการคุณชายรอง”

“รบกวนท่านแล้ว เชิญท่าน”

ที่ด้านในห้อง ชิงเป่ยกำลังหยอกเสี่ยวเสวี่ยเล่น

เห็นเช่นนี้น่าแปลกนัก เป็นเพราะแต่ก่อนเขาหลีกเลี่ยงเสี่ยวเสวี่ยมาโดยตลอด กระทั่งหน้าของคางคกเสี่ยวเสวี่ยก็ไม่กล้ามอง หากแต่ครั้งที่ชิงอวี่หายตัวไม่กลับเรือนไปหลายวัน เสี่ยวเสวี่ยคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอด ทั้งสองคนมีเพียงกันและกันในช่วงเวลานั้น ชิงเป่ยจึงมองเจ้าคางคกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่รังเกียจมันอีกต่อไป กระทั่งรู้สึกว่าเล่นด้วยแล้วสนุกด้วยซ้ำ

คางคกหิมะตัวจ้อยนอนแผ่อยู่บนโต๊ะราวกับไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

เห็นดังนั้นชิงอวี่รีบช่วยคางคกหิมะน้อยในทันที เจ้าเด็กนี่ดื้อขึ้นทุกวัน กล้ามาแกล้งสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของนางเช่นนี้ได้อย่างไร?

ชิงเป่ยกำลังจะเอ่ยบางอย่างในขณะที่สายตาเห็นคนผู้หนึ่งเดินตามชิงอวี่เข้ามา ท่าทางจึงแปรเปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่ายในพลัน “พี่อวิ๋น ท่านมาแล้ว ต้องขอรบกวนท่านอีกครั้ง”

“เป็นงานของข้าอยู่แล้ว” อวิ๋นฉีตอบน้ำเสียงอ่อนโยน ลากสายตาไปมองคางคกหิมะในมือเด็กสาวเล็กน้อย

แม้ชิงเป่ยจะนั่งบนเก้าอี้เข็นตลอด หากแต่สภาพจิตใจไม่เหมือนกับคนพิการเดินไม่ได้ที่ป่วยมายาวนานแม้แต่นิด อวิ๋นฉีค่อย ๆ ม้วนขากางเกงชิงเป่ยขึ้น แม้จะมีขาเล็ก หากแต่ก็มีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ปกติ ทั้งยังดูแข็งแรงมากอีกด้วย

คนที่ขาพิการทั้งสองข้าง ไม่ว่าจะร่างกายแข็งแรงถึงเพียงไหนก็ไม่สามารถมีขาที่ดูเป็นเหมือนกับคนปกติได้เช่นนี้

ครั้งแรกที่อวิ๋นฉีมาตรวจอาการเด็กหนุ่ม เขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจในความคิดนั้นมากกว่าเดิม

มุมปากเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนิ้วเรียวพลันกดลงยังจุดฝังเข็มที่ขาของเด็กหนุ่ม “รู้สึกอะไรบ้างหรือไม่?”

คันจัง…..

ในหัวชิงเป่ยมีเพียงความรู้สึกนั้น

หากแต่เขาแสดงสีหน้าออกมาไม่ได้ ใบหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่ดูหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่”

“งั้นหรือ?” อวิ๋นฉีเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นลองกดลงแรงขึ้นอีกหน่อย “ยังไม่รู้สึกอะไรอีกหรือไม่?”

คัน! คันมาก! คันสุด ๆ!

พี่ชายอย่าบีบตรงนั้นอีกเลย ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว อยากจะเอื้อมมือลงไปเกาจะตายแล้ว!

มือที่วางอยู่ข้างตัวของเด็กหนุ่มแอบหยิกเอวตนเองอย่างแรงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก “ไม่….. ไม่รู้สึก”

“แปลก” อวิ๋นฉีหยุดทรมานขาเด็กหนุ่ม ปล่อยมือออกมาในที่สุด

ชิงเป่ยพลันหายใจออกด้วยความโล่งอก

อวิ๋นฉีจึงหัวเราะเสียงเบาออกมา “คุณชายรองรู้หรือไม่? จุดฝังเข็มที่ข้ากดเมื่อครู่ หากเป็นคนที่ขาพิการทั้งสองข้างควรจะต้องมีความรู้สึก หากท่านไม่รู้สึกอะไรแสดงว่าขาทั้งสองข้างเป็นปกติดี”

เมื่อได้ยินเขาพูดจบ ชิงเป่ยก็เปลี่ยนคำพูดทันที “จริง ๆ แล้วเมื่อครู่ข้ามีความรู้สึกบางอย่าง มันคันมากเหมือนกับมีมดกัดขาอยู่”

พูดจบเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จากนั้นพลันเบิกตากว้าง “ท่านหลอกข้าหรือ?”

เมื่อครู่เขารู้สึกแน่นอน หากแต่อวิ๋นฉีกล่าวว่ามีเพียงคนที่ขาพิการทั้งสองข้างเท่านั้นถึงจะสามารถรู้สึกได้!

เขาหลอกข้าอยู่นี่?!

อวิ๋นฉีหัวเราะเสียงเบาอีกครา “ดูท่าชีพจรอ่อน ๆ ที่ข้าสัมผัสไปเมื่อคราวก่อนที่ข้ามาดูอาการคุณชาย คงจะเป็นเรื่องจงใจเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้?”

นัยน์ตาเด็กหนุ่มเย็นเยียบลงในพลัน จากนั้นพูดเสียงขรึม “ท่านทำเป็นไม่รู้ต่อไปย่อมได้ หากนำเรื่องไปบอกผู้อื่น ไม่เกรงกลัวหรือว่าวันนี้ท่านอาจจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่?”

“เสี่ยวเป่ย อย่าเสียมารยาทกับท่านหมออวิ๋น” เสียงเกียจคร้านของชิงอวี่ลอยข้ามมาจากนอกประตู “คิดหรือว่ากลลวงหลอกเด็กของเจ้าจะสามารถรอดพ้นสายตาของนักปรุงยาขั้นทองคำไปได้? ในเมื่อท่านหมออวิ๋นช่วยเจ้าแล้วครั้งหนึ่ง เช่นนั้นเขาย่อมช่วยเจ้าจนถึงที่สุด”

ได้ยินดังนั้นชิงเป่ยก็หันไปมองอวิ๋นฉีด้วยความแปลกใจ ราวกับไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะยอมช่วยเขาปิดบังเรื่องนี้ต่อ

อวิ๋นฉีไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจแม้แต่นิด หากแต่หันไปส่งยิ้มบางให้เด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านนอก “แม่นางเป็นนักปรุงยาระดับสูง ตัวข้าทำให้แม่นางต้องหัวเราะแล้ว สวนด้านนอกเต็มไปด้วยดอกไม้พืชพันธุ์ต่าง ๆ ช่างน่าอัศจรรย์นัก ทุกชนิดล้วนมีพิษร้ายแรง แตะเพียงนิดชีวิตอาจสูญหายไปในทันทีได้ หากแต่เมื่อพืชพิษหลากชนิดเหล่านี้มาอยู่รวมกัน พิษร้ายจะต้านกันเองจนลบล้างพิษจนสิ้น เป็นภาพที่เห็นได้ยากนัก เกรงว่าคงมีเพียงท่านอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่อาจมีฝีมือทัดเทียมวิชาแพทย์อันสูงส่งของแม่นาง”

“ท่านหมออวิ๋นนัยน์ตาเฉียบคมนัก” ชิงอวี่คลี่ยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย “หวังว่าท่านหมอจะสามารถทำเป็นไม่รู้ต่อไปได้ เด็กคนนี้ถูกกลลวงของคนชั่วตั้งแต่ยังเล็ก ไม่มีทางเลือกจึงต้องทำเช่นนี้ ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงรอยต่อที่อาจทำให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าท่านพ่อ ท่านหมอพูดเพียงว่าอาการของเขากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็พอ”

“ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นฉีพยักหน้า “ข้าจะถือว่าตัวข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น”

“ขอบคุณท่านหมอ” เด็กสาวคลี่ยิ้มที่ดูแล้วสดใสกว่าแสงตะวันด้านนอก

อวิ๋นฉีหลุบตาลง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว”

“ท่านหมอดูแลตนเองด้วย”

หลังจากชิงอวี่เดินออกไปส่งอวิ๋นฉีแล้ว เด็กหนุ่มจึงถามนางด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ “เหตุใดอวิ๋นฉีถึงช่วยเรา? เป็นเพราะพี่เป็นนักปรุงยา เขาเลยอยากประจบเอาใจท่านงั้นหรือ?”

ได้ยินคำถามเช่นนั้นนางก็หัวเราะออกมา ชิงอวี่ยกมือขึ้นขยี้หัวเด็กหนุ่มยิ้ม ๆ “เจ้าไม่เห็นกลิ่นอายมีคุณธรรมรอบตัวคนผู้นั้นหรือ? คนสุขุมเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาหวังประจบสอพลอข้างั้นหรือ?”

“เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด?” ชิงเป่ยไม่เข้าใจ “เขามองข้าออกตั้งแต่ครั้งแรกแล้วใช่หรือไม่? ข้าอุตส่าห์ทำชีพจรให้เหมือนกับคนป่วยหนักแล้วแท้ ๆ!”

“อย่างแรก อุบายที่เจ้าใช้ยังไม่ถึงขั้น อีกทั้งอวิ๋นฉีผู้นี้ไม่ใช่เพียงแจกันตั้งประดับให้งดงามเพียงเท่านั้น หากแต่เป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง เจ้าคิดว่าจะสามารถหลอกสายตานักปรุงยาได้หรือ?” ชิงอวี่เอ่ยแล้วมองหน้าเขา

ชิงเป่ยอดทำเสียงจิ๊ปากก่อนกล่าวขึ้นไม่ได้ “นักปรุงยาท่านนี้ไม่เลว!”

“ไม่เช่นนั้นเหตุใดนักปรุงยาเหล่านั้นถึงมีทรัพย์สมบัติร่ำรวยมหาศาลเช่นนั้นเล่า? ตราบเท่าที่มีชื่อนักปรุงยาห้อยอยู่ ไม่ว่าย่างกรายไปที่ใดก็ได้รับความเคารพ กระทั่งยาลำดับต่ำยังสามารถนำมาขายได้หลายร้อยตำลึง” สายตาชิงอวี่พลันทะมึนลง “หากแต่….. ก็ยังมีคนที่เรียกตนว่านักปรุงยาที่หลอกลวงผู้คนไปทั่วเช่นกัน”

แดนเมฆาสวรรค์มีเซียนแพทย์ แดนธาราขาวมีสมาคมนักปรุงยา และในแดนมุกหยกก็มีตระกูลนักปรุงยาลำดับต้น ๆ ที่ส่งต่อความรู้ด้านการแพทย์กันรุ่นต่อรุ่น นั่นคือตระกูลมู่

ผู้นำตระกูลมู่ในปัจจุบันคือมู่ชิงเทียน เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบสี่สิบปีไป

มู่ชิงเทียนเป็นผู้มีใจเป็นธรรมไม่เอนเอียงฝักใฝ่ฝั่งใด มีใจเมตตาต่อผู้คน ชื่อเสียงสูงส่ง หากแต่ไร้บุตรชายสืบสกุล มีเพียงลูกสาวที่รักและหวงแหนเพียงคนเดียวเป็นเครื่องเตือนความทรงจำระหว่างเขากับภรรยารักที่เสียชีวิตไปแล้ว หลายปีมานี้เขาไม่ได้แต่งงานใหม่ด้วยไม่ต้องการให้ลูกสาวต้องโศกเศร้าเสียใจ เป็นบิดาที่จิตใจอ่อนโยนนัก

ส่วนลูกสาวที่เขารักและหวงแหนนักก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังแต่อย่างใด

แม้จะเป็นสตรี หากแต่วิธีที่นางใช้จัดการปัญหาและเรื่องต่าง ๆ กลับไม่พ่ายแพ้บุรุษ ไม่มีใครในตระกูลไม่เห็นนางเป็นท่านหญิงของตระกูล

ในลานประลองทรงสี่เหลี่ยมตอนนี้ เด็กสาวร่างสูงผู้หนึ่งในชุดต่อสู้สีดำกำลังยืนอยู่ แส้อสรพิษในมือนางส่งเสียงปริแตกผ่านอากาศ ตัดต้นไม้ที่หนาเท่าเอวคนออกเป็นสองท่อนในพริบตา ท่อนบนของลำต้นค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้นเสียงดัง

“โอ้ ๆ! ช่วงนี้พลังบำเพ็ญของท่านพี่เพิ่มสูงขึ้นอีกแล้ว!” ที่ด้านหลังพลันมีน้ำเสียงหยอกล้อดังขึ้น

หญิงสาวจึงเก็บแส้ ก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น “เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ข้ากลับมาเมื่อคืน แต่ดึกมากแล้วจึงไม่อยากรบกวนท่าน” มู่ฉือเอ่ยตอบพร้อมอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน

“ได้ยินว่าเจ้าพ่ายแพ้ให้กับมู่เชียนชาง ทั้งยังแพ้แบบย่อยยับมากเสียด้วย”

ใบหน้ามู่ฉือพลันแข็งค้าง จากนั้นพ่นลมออกทางจมูกเสียงหยัน “ท่านจะโทษข้าเรื่องนั้นไม่ได้นะ เจ้าบ้านั่นแค่เรื่องธาตุอย่างเดียวก็เหนือกว่าข้าแล้ว ข้าไม่มีทางสู้เขาไหวหรอก”

“ข้ออ้าง เจ้ายังอ่อนแอเกินไปต่างหาก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเหยียดหยาม ก่อนจะหันกลับไป

นับเป็นใบหน้าที่งดงามน่ารักหากแต่ไม่โดดเด่นนัก หากแต่นางมีนัยน์ตาใสกระจ่างมีชีวิตชีวาที่สามารถโจมตีจิตใจคนได้ ช่วยเสริมให้ใบหน้าที่งามแบบทั่วไปนั้นดูเจิดจรัสขึ้นบ้าง