บทที่ 48 ฮองเฮาไม่สบาย
ตำหนักจงคุนของฮองเฮา
อ๋องฉีกับฉู่หมิงชุ่ยเข้ามาในวังก็เข้าไปคารวะฮองเฮาทันที
ฉู่หมิงชุ่ยเข้ามาในตำหนักก็เห็นสีหน้าฮองเฮาดูไม่ค่อยดีนัก พลางกุมหน้าอกตัวเองแล้วนั่งลง
ฉู่หมิงชุ่ยมักจะทำตัวเป็นคนจิตใจดีเวลาอยู่ต่อหน้าฮองเฮา พร้อมกับถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ฮองเฮากลับดูท่าทางไม่ประสบอารมณ์
ฉู่หมิงชุ่ยจึงดูออกว่าฮองเฮามีเรื่องกลุ้มใจ จึงหันไปยิ้มให้อ๋องฉีแล้วพูดขึ้น “ท่านอ๋องไม่ใช่ว่าอยากจะท่องบทกลอนที่แต่งใหม่ให้อ๋องลู่ฟังหรอกหรือ?ไปเถอะเพคะ”
อ๋องฉีไม่ชอบเขียนกลอน แต่ว่าอ๋องลู่ชอบ ทั้งอ๋องฉีและอ๋องลู่ล้วนเป็นบุตรชายของฮองเฮา มีแม่นมคนเดียวกัน เพื่อทำให้น้องชายที่อาภัพชอบ และเพื่อเป็นการลบล้างความผิด เขาจึงเริ่มเขียนกลอน
ตอนนี้เขียนบทใหม่เสร็จแล้ว จึงอยากจะมาอ่านให้อ๋องลู่ฟังมาก พอได้ยินฉู่หมิงชุ่ยพูดแบบนั้น เขาก็ยิ้มแล้วออกไปทันที
อ๋องฉีพึ่งออกไป ฉู่หมิงชุ่ยก็ไล่คนในตำหนักออกไปจนหมด แล้วเข้ามานั่งข้างๆ พลันถามขึ้น “ท่านน้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เพคะ?”
ฮองเฮาเห็นว่าบุตรชายไปแล้ว ถึงพูดขึ้น “ข้าอยู่กับฝ่าบาทมายี่สิบกว่าปี พอหลังจากเข้าพิธีอภิเษกสมรส ข้าก็ไม่เคยได้นั่งร่วมโต๊ะเสวยอาหารกับฝ่าบาทตามลำพังเลย แต่เย็นวันนี้พระองค์กลับรับสั่งให้หยวนชิงหลิงมาร่วมโต๊ะด้วย”
ฉู่อภิเษกมิงชุ่ยมีสีหน้าอึ้งทันที “หยวนชิงหลิงหรือ?ไม่ใช่ว่านางถูกนำตัวมาไต่สวนหรือเพคะ?ทำไมถึงไม่ถูกขังล่ะเพคะ?”
นางเข้ามาในวังไม่เคยถามเลย เพราะนึกว่าหยวนชิงหลิงถูกลงโทษแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดขังในคุก แต่ก็น่าจะโดนกักบริเวณ แล้วค่อยรอให้ไต่สวนเรื่องที่คิดจะแย่งตำแหน่งพระชายาอ๋องฉู่ของตัวเอง และสำหรับบทลงโทษนั้นก็ต้องใช้การลงโทษแบบสามัญชน
ฮองเฮาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห “ถูกขังหรือ?ตอนนี้นางไปนั่งเสวยอาหารกับฮ่องเต้ตามลำพัง และไม่รู้ว่าพูดอะไรต่อหน้าพระองค์บ้าง”
ฉู่หมิงชุ่ยรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที ช่วงนี้หยวนชิงหลิงดูฉลาดขึ้นมาก และถ้าหากนางพูดกับฝ่าบาทเรื่องที่สงสัยตัวเองอยู่ละก็ คงไม่อาจจะนึกถึงผลที่จะตามได้
นางหันมามองหน้าฮองเฮา พร้อมกับแววตาเป็นประกายอย่างมีเลศนัย “ท่านน้า ท่านรู้สึกมีอาการวิงเวียนศีรษะหรือไม่เพคะ?”
อาหารเย็นถูกเตรียมไว้ที่ตำหนักเฟยหลง ห่างจากห้องตำราแค่ตำหนักเดียว
หยวนชิงหลิงหวังว่าอ๋องชินลุ่ยจะมาร่วมเสวยด้วย อย่างน้อยก็เพิ่มมาอีกคน จะได้มีคนพูดเยอะขึ้น
แต่ว่า ตอนที่มู่หรูกงกงพานางมาที่ตำหนักเฟยหลงนั้น ความหวังของนางก็ได้ถูกไฟเผาในทันที
โต๊ะไม้กลมเล็กๆ ถ้าหากว่าไม่วางจานสำรับ หยวนชิงหลิงเกือบนึกว่าเป็นโต๊ะดื่มชา ไม่สิ โต๊ะชาเล็กไป อันนี้สามารถวางอาหารได้หนึ่งอย่าง
โต๊ะเล็กๆ นี้ ขนาดนั่งตรงข้ามกันยังรู้สึกว่าใกล้มากเลย
ตอนนี้ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ยืดหลังตรง พร้อมกับวางมือทั้งสองข้างที่หัวเข่า แล้วหันมามองนางด้วยสายตาแพรวพราว
บางทีเขาอาจจะกำลังพยายามทำตัวอ่อนโยน แต่ด้วยความที่ดูเป็นคนเคร่งขรึมมานาน การทำท่าทางอ่อนโยนนี้จึงดูไม่เหมือนเท่าไหร่ เพียงแค่พยายามยิ้มไว้ที่มุมปาก ท่าทางแบบนี้ใครเห็นก็ต้องรู้สึกเกร็งอย่างมาก
หยวนชิงหลิงค่อยๆ เดินเข้ามา พร้อมกับคำนับ ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงพูดขึ้น “ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถอะ”
หยวนชิงหลิงตอบรับทีหนึ่ง แล้วค่อยๆ ก้าวเล็กๆ เข้ามานั่งที่โต๊ะอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น ก็แค่การเสวยอาหารธรรมดา” ฮ่องเต้หมิงหยวนดูออกว่านางดูเกร็ง จึงพูดขึ้นเพื่อให้สบายใจ
หยวนชิงหลิงจึงคิดในใจ จะไม่ให้เกร็งได้ยังไง?เสวยอาหารธรรมดาแบบไหนที่มีแค่พ่อของสวามีกับลูกสะใภ้สองคน และยิ่งกว่านั้น ท่านเองก็เป็นถึงพระราชา
“เพคะ!” นางตอบ
ตอนที่นางมาที่นี่ก็ได้ไตร่ตรองมาก่อนแล้ว ที่ฝ่าบาทเรียกให้นางมาเสวยอาหารเย็นด้วย ต้องมีเรื่องอยากถามแน่นอน นางและหยู่เหวินเห้าต่างก็คิดเหมือนกัน ว่าต้องถามเกี่ยวกับเรื่องในจวนอ๋องฉู่ และก็ถามเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของหยู่เหวินเห้าว่ากำลังคบค้ากับใครอยู่
นางเองก็ได้เตรียมคำตอบไว้พอสมควร
แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไม่พูดอะไร เพียงแค่หันไปพูดกับมู่หรูกงกง “ตั้งสำรับได้!”
หยวนชิงหลิงหันไปมองขนาดของโต๊ะ สำหรับการตั้งสำรับนั้น ไม่รู้ว่าจะวางได้กี่อย่าง?
เมนูแรกคือ น้ำซุปใส
ถ้วยซุปเล็กๆ สองถ้วยถูกยกเข้ามาวางด้านหน้าฮ่องเต้หมิงหยวนและหยวนชิงหลิง ฝาครอบเล็กถูกเปิดออก กลิ่นหอมของน้ำซุปโชยออกมา และหอมเตะจมูกหยวนชิงหลิงทันที
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกอยากจะจับแล้วกินทันที
แต่ว่านางคิดว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น เวลาฮ่องเต้จะเสวย ก็ต้องตรวจพิษก่อน หลังจากนั้นก็ต้องล้างมืออะไรพวกนั้นก่อนไม่ใช่หรือ?
นางกำนัลเดินเข้ามาแล้วเทซุปลงในถ้วยเล็กๆ หลังจากนั้นก็วางช้อนเงินลงไป แต่ทางด้านฮ่องเต้นั้นมีมู่หรูกงกงเป็นคนดูแล
หยวนชิงหลิงไม่กล้าขยับ แล้วรอให้ฮ่องเต้หมิงหยวนหยิบช้อนขึ้นมากินซุปก่อน เธอถึงได้โล่งใจ แล้วยื่นมือออกไปแตะช้อน
ที่จริงนางหิวมากเลย อาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้า จึงทำให้ความตื่นเต้นของนางลดลงไปด้วย และครุ่นคิดแล้วว่า ไม่ว่าหลังจากนี้เขาจะถามอะไร ตัวเองก็มีคำตอบให้เรียบร้อย จึงไม่มีอะไรต้องกลัว
นางตักซุปขึ้นมากำลังจะถึงปาก แต่ยังไม่ทันได้กิน ข้างนอกก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ นางจึงวางช้อนลงแล้วหันไปมอง
มู่หรูกงกงมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย จึงรีบเดินออกไป แล้วไม่นานมู่หรูกงกงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ดีพลางพูดขึ้น “ฝ่าบาท ฮองเฮาไม่สบาย หมดสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนดูกังวลทันที พลางลุกขึ้น “เตรียมเกี้ยว!”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ฮ่องเต้ไปแล้ว แสดงว่านางก็จะสามารถกินได้อย่างสบายใจ
หิวมากเลยตอนนี้ เพราะต้องสำรวมตัวอยู่นานจึงไม่กล้ากิน
ฮ่องเต้หมิงหยวนหันมามองแล้วพูดขึ้น “เจ้ามากับข้า”
สายตาจองหยวนชิงหลิงที่ต้องย้ายออกจากอาหารนั้นดูน่าสงสารมาก “เพคะ!”
นางลุกขึ้น มู่หรูกงกงไปหยิบเสื้อคลุมมาหนึ่งตัว ฮ่องเต้หมิงหยวนหันหลังให้หยวนชิงหลิงเพื่อให้ฉางกงกงใส่เสื้อคลุมให้ และก็จัดการกับรอยยับบนเสื้อให้
หยวนชิงหลิงที่หิวมากจนไส้จะกิ่ว ก็ใช้โอกาสตอนที่ฮ่องเต้หมิงหยวนกับมู่หรูกงกงไม่เห็น รีบยกถ้วยซุปเข้าปากทันที นางกินไปสองอึก ซุปทั้งถ้วยก็หมดแล้ว ความร้อนของซุปลวกตั้งแต่ปากไหลลงไปที่คอแล้วก็ถึงกระเพาะ ร้อนจนนางน้ำตาเล็ดออกมาเลย
ฮ่องเต้หมิงหยวนหันมามองนาง ด้วยความประหลาดใจ
หยวนชิงหลิงที่น้ำตาซึมอยู่ก็พลันฉีกยิ้มออกมาทันที แล้วยืนขึ้นด้วยความประหม่า
อยู่ดีๆ ฮ่องเต้หมิงหยวนก็หันไปถามมู่หรูกงกง “วันนี้ อ๋องฉีกับพระชายาเข้าวังหรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท อ๋องฉีกับพระชายาพึ่งเข้ามาได้ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆ รัดเข็มขัดเสื้อคลุม แล้วครุ่นคิด
แล้วพระองค์ก็กลับมานั่งเหมือนเดิม “เชิญหมอหลวงไปดูอาการที่ตำหนักฮองเฮา เสวยต่อเถอะ”
หยวนชิงหลิงตกใจนิดหน่อย พลางหันไปมองหน้ามู่หรูกงกง มู่หรูกงกงกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?ฮองเฮาหมดสติแล้ว ทำไมฝ่าบาทถึงไม่ไปดูอาการล่ะ?
แล้วที่อ๋องฉีกับชายาเข้าวังมันเกี่ยวอะไรด้วย?
นางไม่กล้าถาม จึงค่อยๆ กินซุปต่อ หลังจากนั้นก็เก็บถ้วยซุปออกไป แล้วขึ้นสำรับต่อมา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ขึ้นทีละสำรับ นางเห็นฮ่องเต้หมิงหยวนกินแค่สำรับละสองคำเอง และจะไม่มีครั้งที่สามเลย
มีเมนูหนึ่งคือตุ๋นขาหมู หยวนชิงหลิงกินแล้วรู้สึกชอบมาก ฮ่องเต้หมิงหยวนกินไปคำหนึ่ง จากนั้นก็หันไปพูดกับมู่หรูกงกง “ตุ๋นขาหมูนี่ใช้ได้ เอาไปให้อ๋องชินลุ่ย”
“พ่ะย่ะค่ะ!” มู่หรูกงกงยกออกไปทันที แล้วสั่งให้ข้าน้อยเอาไปส่งให้อ๋องชินลุ่ย
หยวนชิงหลิงรู้ว่าฮ่องเต้ชอบมีนิสัยแบบนี้ ที่จะยกสิ่งที่ตัวเองชอบให้กับขุนนางใหญ่ๆ นี่ถือเป็นพระกรุณาธิคุณ ขุนนางทุกคนก็จะรู้สึกว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับของจากฮ่องเต้