บทที่ 78 ทักษะการแสดงของนางกำนัลได้รับการพัฒนาอย่างยิ่ง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 78 ทักษะการแสดงของนางกำนัลได้รับการพัฒนาอย่างยิ่ง

บรรยากาศดูเหมือนจะเงียบลง

หมี่ฉงเงี่ยหูฟังอย่างจริงจัง และเสียงแกะเปลือกเมล็ดแตงโมของหมี่โม่หรู่ก็เบาลงเล็กน้อย

“พวกนางไม่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่แรก ผู้ใดบอกว่าพวกนางได้รับบาดเจ็บเล่าเพคะ?” ฉินปู้เข่อตอบอย่างใจเย็นพลางถือเมล็ดแตงโมและเขย่าขา

“เป็นไปไม่ได้ ข้าเดินตามพวกนางไปจนสุดทาง ข้าเห็นว่าพวกนางทุกคน…”

“ท่านเห็นอะไร” ฉินปู้เข่อกะพริบตาและมองหมี่ฉงด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายสาม ท่านได้ถอดเสื้อผ้าของพวกนางออกดูแล้วหรือ?!”

“ไม่ใช่”

“เฮ้ เสี่ยวหวนหวน~” ซวงหวนเพิ่งเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำชา ฉินปู้เข่อเรียกนางแล้วถามว่า “ตอนที่เจ้าพบอู๋อวิ๋นและอู๋เยว่ในคืนนี้ พวกนางได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

ซวงหวนคุ้นเคยกับคำเรียกชื่อตนที่ฉินปู้เข่อเรียกบ่อย ๆ แล้ว นางวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะหินแล้วพูดว่า “ไม่นะเพคะ พวกนางเพียงแค่อ่อนล้าและเป็นลมไปเพคะ”

“พวกนางเป็นลมอย่างนั้นหรือ?!” หมี่ฉงส่ายหัวอย่างมั่นใจ “ข้าไม่เชื่อ”

หมี่ฉงมั่นใจมากว่าอู๋อวิ๋นและอู๋เยว่ได้รับบาดเจ็บ เพราะพวกนางแต่ละคนถูกฟันอย่างน้อยสองหรือสามครั้ง และพวกนางก็กลับมาพร้อมเลือดที่ไหลออกมาตลอดทาง

“เจ้าเป็นคนช่วยพวกนางไว้ใช่หรือไม่ หวนหวนของข้า?” ฉินปู้เข่อเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “หวนหวนของข้าเป็นผู้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางเองและเห็นว่าไม่มีผู้ใดบาดเจ็บ นอกจากนี้สาวรับใช้ทั้งสองก็ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีบาดแผล แล้วท่านจะยังไม่เชื่ออีกหรือเพคะ?”

“ใช่แล้วเพคะ เสื้อผ้าของสตรีสองคนนั้นสกปรก ข้าน้อยจึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากที่พวกนางหมดสติไปแล้ว และข้าน้อยก็ไม่เห็นบาดแผลบนร่างกายของพวกนางเลยเพคะ”

ด้วยการชี้นำของอาจารย์ ความสามารถในการลืมตาพูดเรื่องเท็จของซวงหวนจึงได้รับการพัฒนาอย่างยิ่ง

มุมปากของหมี่ฉงไม่อาจหยุดกระตุกได้ เขาเห็นด้วยตาของเขาเองอย่างชัดเจนว่าเป็นซวงหวนที่ทุบอู๋อวิ๋นและอู๋เยว่ที่ปีนข้ามกำแพงเข้ามาจนสลบ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นว่าพวกนางทั้งสองอ่อนแรงและเป็นลมหมดสติไปเอง

“หากพี่ชายสามไม่เชื่อก็ไปถามอู๋อวิ๋นด้วยตัวเองสิเพคะ” ฉินปู้เข่อแสดงท่าทีเป็นหมูไม่กลัวน้ำเดือด

“ข้าจะถามอย่างแน่นอน!”

หมี่ฉงสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดจู่ ๆ คนเลือดท่วมตัวทั้งสองถึงไม่มีบาดแผล

“หม่อมฉันเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืนและง่วงแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อยืนขึ้นและยืดตัว “เสี่ยวหวนหวนกลับไปนอนกันเถิด~”

หมี่โม่หรู่มองดูแผ่นหลังที่ขี้เกียจของนาง แล้วใส่เมล็ดแตงโมที่แกะเปลือกแล้วจำนวนหนึ่งลงในกล่องธัญพืชอย่างสงบ

“ท่านอ๋องทั้งสอง ข้าน้อยขอตัวก่อนนะเพคะ” ซวงหวนรีบตามไปพร้อมกับกล่องธัญพืช

หมี่ฉงเข็นหมี่โม่หรู่กลับไปยังสวนชิงอวี้และยังคงบ่นว่า “เจ้าเจ็ด ข้าเห็นว่าอู๋อวิ๋นและคนอื่น ๆ ได้รับบาดเจ็บจริง ๆ มีมีดยาวปักอยู่บนสะบักซ้ายของอู๋อวิ๋น ตอนที่พวกนางปีนกำแพง ข้าเห็นว่าเนื้อฉีกออกแล้วบาดแผลจะหายไปได้อย่างไร?”

“เข้าใจแล้ว” หมี่โม่หรู่ตอบกลับอย่างแผ่วเบา ร่องรอยของความไม่สบายใจปรากฏขึ้นในดวงตาสีเข้มของเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ

ความรู้สึกนั้นกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกไร้อำนาจที่เขาไม่อาจเข้าใจและควบคุมพระชายาตัวน้อยของเขาได้ผุดขึ้นอีกครั้งในหัวใจของเขา ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก

การลอบสังหารที่ล้มเหลวในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน ด้วยการสนับสนุนของหมี่ฉงแล้ว แม้ว่าองค์รัชทายาทจะมาถึงอย่างรวดเร็ว เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สองพี่น้องสกุลจานได้มาพบเจอ และเป็นเรื่องบังเอิญที่ช่วยให้เขาพลิกสถานการณ์ได้

น้อยครั้งนักที่หมี่โม่หรู่จะนอนไม่หลับยามค่ำคืน

เขาไม่ได้เป็นคนที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นมากนัก แต่คืนนี้เขากลับพลิกตัวไปมาหลายชั่วโมงเพราะสงสัยอาการบาดเจ็บที่หายไปของอู๋อวิ๋น

ตะวันโด่งฟ้าก็ยังไม่ลืมตา

ฉินปู้เข่อหรี่ตาแล้วซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มโดยไม่ขยับเขยื้อน

ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมแปลกประหลาด จนทำให้นางรู้สึกหนาวสั่น ผ่านไปสองสามเดือนแล้วตั้งแต่ที่นางเดินทางมาที่นี่ และนี่เป็นครั้งแรกที่นางมีประจำเดือน

เมื่อคืนนางยุ่งกับหมี่เซวียนจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ในช่วงครึ่งค่อนคืนให้หลัง ท้องส่วนล่างของนางก็เริ่มเจ็บแปลบ

มันทำให้นางม้วนตัวทั้งคืนยามครึ่งหลับครึ่งตื่น ในที่สุดบัดนี้นางก็ตื่นขึ้นและสมองของนางก็เริ่มปวดอีกครั้ง

มันเหมือนครอบครัวเปปป้าพิกกำลังปฏิบัติต่อสมองของนางราวกับเป็นบ่อโคลน พวกมันกระโดดไปมาอย่างมีความสุขอยู่ในนั้นและนางต้องการตัดหัวของนาง

นางยังคิดถึงความรู้สึกตอนที่หมี่โม่หรู่นวดให้นางเบา ๆ เมื่อคืนนี้

“หวนหวน ข้าหิวแล้ว” นางตะโกนสุดเสียง

ซวงหวนหยิบถาดแล้วเดินเข้าไปทันที “พระชายา ดื่มยาบำรุงร่างกายนี้ก่อนเพคะ”

ฉินปู้เข่อพยายามผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อดมกลิ่นยาต้มตรงหน้า และรีบถอยกลับไปทันที

“นี่มันอะไรกันเนี่ย ข้าอยากกินโจ๊กอร่อย ๆ”

ซวงหวนพยุงนางขึ้น “นี่เป็นยาต้มบำรุงลมปราณและเพิ่มเลือดที่ท่านอ๋องสั่งทำพิเศษให้พระชายานะเพคะ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พระชายาควรดื่มเมื่อไม่สบาย”

“แหวะ~ เอาออกไป” ฉินปู้เข่อผลักชามยาออก “ข้าเกรงว่ามันจะเป็นยาพิษสำหรับข้าแทน เพราะกลิ่นเหม็นของมันมาก เจ้าเอาโจ๊กแปดเซียนมาให้ข้าเถิด ข้าได้กินและดื่มก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

“พระชายาดื่มยาต้มก่อน แล้วข้าน้อยจะไปเอาโจ๊กมาให้เพคะ” ซวงหวนยืนกรานอย่างอดทน

หลังจากจนมุมไม่นาน ฉินปู้เข่อก็พ่ายแพ้

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าวางมันลงเลยแล้วข้าจะดื่มมันทีหลัง” ฉินปู้เข่อผลักนางอย่างแผ่วเบา “เร็วเถิด ข้าหิวนักจนแทบจะล้มลงไปแล้ว”

ซวงหวนวางยาต้มลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียงแล้วกำชับอีกครั้ง “ดื่มในขณะที่ยังร้อนอยู่นะเพคะ ข้าน้อยจะนำโจ๊กมาให้ท่าน”

เมื่อซวงหวนเดินออกจากห้องชั้นในก็มีเสียงเอี๊ยดที่ประตูด้านนอก แล้วฉินปู้เข่อก็พยายามลุกจากเตียง

“ให้ดื่มยาขมสีดำนี้แต่เช้า ใครจะไปดื่มได้ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ดื่ม” นางหยิบชามยาขึ้นมาแล้วเห็นกระถางดอกไม้ริมขอบหน้าต่าง นางจึงเดินไปเทยาลงในกระถางพลางบ่นพึมพำ

“พระชายากำลังทำอะไรอยู่?”

“ไอ้หยา~ ลูกแม่ข้า~” ฉินปู้เข่อตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นฉับพลันจนขาอ่อน

เมื่อหันหลังกลับไปนางก็เห็นหมี่โม่หรู่กำลังมองนางด้วยรอยยิ้มอ่อนอยู่บนรถเข็น

“ท่านอ๋องประทานยาต้มแก่หม่อมฉันไม่ใช่หรือเพคะ? เพื่อระลึกถึงความห่วงใยของท่านอ๋องและสร้างประสบการณ์การดื่มยาที่ดีขึ้น หม่อมฉันจึงดื่มยาไปพร้อมกับชื่นชมต้นไม้เพคะ”

ในมือของนางยังมียาต้มเหลืออยู่ครึ่งชาม ซึ่งบัดนี้มันทำให้นางอายและรู้สึกผิด

“ฮ่า ฮ่า หากเป็นเช่นนั้นพระชายาก็ดื่มต่อไปเถิด ข้ากำลังเฝ้ามองอยู่” หมี่โม่หรู่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับคางแล้วจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อยของนาง

ฉินปู้เข่อถือชามยาแล้วยกขึ้นจรดปากของตน จากนั้นก็มือสั่นและสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อชามยาเอียงในระดับหนึ่ง

นางอุทานออกมาด้วยความ ‘เสียใจ’ และ ‘ตำหนิตัวเอง’ ว่า “ไอ้หยา ยา…”

ก่อนที่คำว่า ‘ดอง’ จะถูกเอ่ยออกมา ชายหนุ่มรูปงามบนรถเข็นก็ปรากฏกายขึ้นข้างฉินปู้เข่อด้วยความเร็วที่เกือบจะมองเห็นได้อย่างพร่ามัว เขารับชามยาที่กำลังตกลงมากลางอากาศ โดยที่แม้แต่ยาเพียงครึ่งหยดก็ไม่หกเลยแล้วถือมันไว้ตรงหน้าฉินปู้เข่ออย่างมั่นคง

“พระชายา ระวังอย่าให้ยาต้มหกเลอะเทอะ”

ฉินปู้เข่อก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวตามสัญชาตญาณจนหลังของนางพิงกำแพง และลืมเอื้อมมือไปหยิบชามยา “ท่านอ๋องฝีมือล้ำเลิศนัก”

ชายผู้นี้มีฝีมือการต่อสู้สูงเพียงใด?! เพียงแวบเดียวก็เคลื่อนที่ไปมาได้

“ทำไม พระชายาต้องการให้ข้าป้อนหรือ?” หมี่โม่หรู่หัวเราะอย่างมีเลศนัยแล้วยื่นมือออกไป

[การพูดนอกเรื่องของผู้เขียน] เดาสิว่า… จะมีฉากจูบเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบทต่อไปหรือไม่…

…………………………………………………………………………….