ตอนที่ 157 เชิญคุณหนูใหญ่ทำนาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 157 เชิญคุณหนูใหญ่ทำนาย

ตระกูลจ้าวสร้างเรื่องใหญ่ให้มู่ซีปีศาจร้ายผู้นี้ นั่นคือความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่สุดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดอยู่บ้าง ต้องขีดเส้นแบ่งกับตระกูลจ้าวอย่างชัดเจน ตัดเขาออกไป ก็ใครใช้ให้เขาล่วงเกินมู่ซีลูกหลานชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งเล่า

มู่ซีไม่ได้สนใจว่ารองนายอำเภอจ้าวร่วมด้วยหรือไม่ ในเมื่อเขาเกี่ยวพันกับสะใภ้เจิ้งคนน้องผู้นั้น ก็ถูกกำหนดแล้วว่าต้องสูญเสีย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฝั่งที่เขาเข้าร่วมอยู่ในตอนนี้ ก็คือฝั่งตรงข้ามกับมู่ซี

ไม่ว่าจะเป็นส่วนรวมหรือส่วนตัว มู่ซีต่างสามารถลากเขาลงมาได้ ต่อให้เปลี่ยนรองนายอำเภอก็ไม่ใช่ปัญหา เขายินดีที่จะได้เห็นความสูญเสียของพระสนมเหมิง

ดังนั้น ตระกูลจ้าวจึงต้องพ่ายแพ้

ตระกูลฉินย่อมได้รับข่าวเช่นกัน ในตอนที่ฉินเหมยเหนียงกลับมาจากที่ทำงาน นางก็บอกเล่าเรื่องนี้ต่อหน้านางฉินผู้เฒ่า พวกสะใภ้หวังเองก็อยู่ด้วย

“เร็วเพียงนี้เลยหรือ” สะใภ้หวังตกใจ

นับตั้งแต่ตอนที่พวกเขาล่วงเกินตระกูลจ้าวจนมาถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปสองวันเอง แม้ฉินหลิวซีจะบอกไว้แล้วว่าตระกูลจ้าวเอาตัวไม่รอด แต่อย่างไรก็ยังไม่เห็น ดังนั้นพวกเขาจึงกังวลว่าตระกูลจ้าวจะวางแผนร้ายอะไรต่อตระกูลฉิน

แต่ตอนนี้ตระกูลจ้าวกลับล่วงเกินมู่ซีผู้มีอำนาจผู้นั้นแล้ว

มู่ซีเป็นใครกัน พวกนางที่มาจากเมืองหลวงรู้ดีกว่าใครทั้งนั้นว่านั่นเป็นผู้ใด แน่นอนว่าไม่ถึงกับขืนใจปล้นสะดมภ์ แต่ไม่ว่าเรื่องชั่วร้ายหรือเรื่องดีต่างก็เคยทำมาหมดแล้ว อีกทั้งยังทำได้ดีทีเดียว ในเมืองไม่รู้มีคนพลั้งพลาดให้เขามากเท่าใดก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนเท่านั้น

ทำไมน่ะหรือ นั่นคือซื่อจื่อเพียงหนึ่งเดียวจากจวนโหวทั้งสอง น้องชายแท้ๆ ของฮองเฮา น้องภรรยาของฝ่าบาท โดยเฉพาะคำว่าหนึ่งเดียวนั้น ใครจะกล้าทำให้เขาขุ่นเคือง หากมู่ซีปวดหัวตัวร้อนขึ้นมา ต่อให้พวกเขาตายก็คงไม่เพียงพอที่จะชดใช้ได้

ดังนั้น ไม่ต้องสนใจว่ามู่ซีทำอะไร ก็ทำได้เพียงอดทนเอาไว้ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งทำให้มู่ซีนับวันยิ่งโอหังมากขึ้น เหล่าคนในเมืองเมื่อได้ยินชื่อของมู่ซีสีหน้าพลันเปลี่ยนทันใด

นั่นคือผู้ที่ไม่อาจล่วงเกินทำได้เพียงหลีกเลี่ยงเท่านั้น

แต่ตอนนี้ ตระกูลจ้าวกลับล่วงเกินมู่ซีเช่นนี้ เพื่อน้องสาวภรรยาเพียงคนเดียว

“นั่นน่ะสิ ตอนข้าได้ยินยังตกใจมากทีเดียว” ฉินเหมยเหนียงเอ่ย “ไม่คิดว่ามู่ซีจะตามมาถึงเมืองหลีเพราะสตรีเพียงคนเดียว ตระกูลจ้าวนั่นได้รับความเสียหายโดยไม่ทันตั้งตัวเลยจริงๆ”

สะใภ้เซี่ยเอ่ยด้วยความสะใจเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุก “นับว่าเสียหายโดยไม่ทันตั้งตัวจริงๆ รองนายอำเภอจ้าวคนนั้นยังมีลูกกับสะใภ้เจิ้งคนน้องผู้นั้นด้วยมิใช่หรือ ไหนเลยจะเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ ข้ารู้ เพียงมองก็รู้ว่าสตรีนางนั้นไม่ใช่ผู้ที่จะอยู่อย่างสงบ ไม่คิดว่านางจะยุ่งเกี่ยวกับพี่เขยของตนเองได้ เปิดโลกแล้วจริงๆ เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คงน่าสนุกอย่างแน่นอน”

สะใภ้หวังกระแอมไอหนึ่งครั้ง มองไปยังนางฉินผู้เฒ่า เอ่ย “ท่านแม่ ซีเอ๋อร์ทำนายถูกต้องอีกแล้วเจ้าค่ะ”

นางฉินผู้เฒ่าและสะใภ้เซี่ยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีเพียงฉินเหมยเหนียงที่มีท่าทางไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าซีเอ๋อร์ทำนายถูกแล้ว หมายความอย่างไรหรือเจ้าคะ”

“เจ้าคงไม่รู้ สองวันก่อน ซีเอ๋อร์ได้ทำนายเอาไว้ว่าตระกูลจ้าวจะโชคร้าย ข้าว่านี่มากกว่าโชคร้ายเสียอีก ใกล้บ้านแตกไม่ไกลแล้ว” สะใภ้หวังยิ้มมุมปาก

รองนายอำเภอจ้าวนั้นไม่ซื่อสัตย์ ลักลอบคบชู้กับน้องสาวภรรยา อีกทั้งยังให้กำเนิดเด็กขึ้นมา เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องเสียหาย ยังไปล่วงเกินคนของฮองเฮาเข้า มู่ซีจะต้องสืบสาวสิ่งที่รองนายอำเภอลักลอบทำในยามดำรงตำแหน่งให้กระจ่างชัดอย่างแน่นอน

เช่นนี้ ตระกูลจ้าวจะไม่ล้มได้เยี่ยงไร

ฉินเหมยเหนียงตื่นตกใจ “ซีเอ๋อร์มีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ”

สะใภ้หวังยิ้มบาง “บอกว่าเล่าเรียนจากนักพรตชื่อหยวนมาเล็กๆ น้อยๆ”

นางไม่ได้ชื่นชมฉินหลิวซีต่อหน้านางฉินผู้เฒ่าเกินไปนัก เกรงว่านางฉินผู้เฒ่าจะไม่พอใจที่สตรีผู้หนึ่งกลับไปเล่าเรียนวิชาเหล่านี้

นางฉินผู้เฒ่าปรายตามองสะใภ้หวังเล็กน้อย เอ่ย “ท่านซื่อจื่อมู่มิได้มาเมืองหลีเพราะสตรีผู้นั้น ทว่ารู้สึกว่าตนถูกท้าทาย ถูกตบหน้า ด้วยนิสัยของเขานั้นคงไม่อาจทนได้ ถึงได้ตามหาตัวคนเพื่อเอาคืน”

“ท่านแม่เอ่ยถูกแล้วเจ้าค่ะ” สะใภ้หวังเอ่ยสนับสนุน

นางฉินผู้เฒ่าเอ่ย “รองนายอำเภอจ้าวเป็นพวกเดียวกับสกุลเหมิง เป็นศัตรูกับฝั่งของฮองเฮา ดูเหมือนตำแหน่งนี้ของเขาจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว พวกเราหลุดพ้นจากเรื่องทั้งหมดแล้วจริงๆ”

สะใภ้เซี่ยเอ่ย “นี่นับว่าเรายังมีโชคดีอยู่บ้าง”

นางฉินผู้เฒ่ามองด้วยสายตาไม่พอใจ เอ่ยเตือน “ครั้งนี้โชคดี ไม่ใช่ว่าครั้งต่อๆ ไปจะโชคดีเสมอไป หากล่วงเกินคนอย่างท่านซื่อจื่อมู่ขึ้นมา พวกเราก็คงเป็นเหมือนตระกูลจ้าวแล้ว”

สะใภ้เซี่ยรีบลุกขึ้น เอ่ย “ท่านแม่ ลูกสำนึกผิดแล้ว มิกล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ”

นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ครั้งนี้พวกเราพ่ายแพ้แล้วจริงๆ”

ทุกคนเงียบลง

“ท่านแม่เฒ่า คุณหนูใหญ่มาคารวะเจ้าค่ะ” ติงหมัวหมัวเลิกผ้าม่านขึ้น

ในยามที่ฉินหลิวซีก้าวเข้ามาความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่าน ทำให้ผู้คนที่อยู่ในห้องสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย

“ท่านย่า” ฉินหลิวซีคารวะแก่นางฉินผู้เฒ่าก่อน จากนั้นจึงหันมาคารวะเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ

สะใภ้หวังเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ซีเอ๋อร์รู้เรื่องของตระกูลจ้าวหรือไม่”

ฉินซีเอ๋อร์กะพริบตาปริบ แน่นอนว่ารู้ นางยังแทะเมล็ดแตงโมดูชมสถานการณ์ทั้งหมดอีกด้วย จึงเอ่ย “วันนี้ข้าไปยังร้านขายยาตำหนักอายุวัฒนะ ห่างจากจวนตระกูลจ้าวเพียงสองเส้นถนน เห็นแล้วเจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังชะงัก “เจ้าเห็นท่านซื่อจื่อมู่ไปเอาเรื่องตระกูลจ้าวด้วยหรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ท่านแม่วางใจ ยามนี้ตระกูลจ้าวกำลังชุลมุนวุ่นวาย ไม่มีเวลาว่างมาหาเรื่องตระกูลฉินหรอก”

ยามนี้ฉินเหมยเหนียงเอ่ยถามขึ้นมา “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าทำนายว่าตระกูลจ้าวจะเจอกับความยากลำบาก ซีเอ๋อร์เจ้าทำนายได้เก่งกาจเพียงนี้เลยหรือ”

ฉินหลิวซีมองนางเล็กน้อย เอียงคอ “ท่านอาหญิงใหญ่อยากดูดวงหรือเจ้าคะ”

ฉินเหมยเหนียงชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หยิบแผ่นทองแดงออกมาจากถุงเล็กข้างเอวยื่นไปให้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าช่วยทำนายให้อาหญิงใหญ่สักหน่อยได้หรือไม่”

ฉินหลิวซีรับแผ่นทองแดงจากมือนางมาสามแผ่น เอ่ย “อาหญิงใหญ่จะมีโชคลาภเล็กๆ น้อยๆ ในอนาคตอันใกล้นี้”

โชคลาภหรือ

ฉินเหมยเหนียงยังไม่ทำอะไร ดวงตาของสะใภ้เซี่ยพลันเปล่งประกายขึ้นมา

“นี่ เช่นนั้นก็ขอให้เจ้าสมพรปากแล้ว” นี่เป็นคำดี ต่อให้ไม่แม่นก็ไม่มีอะไรเสียกาย ฉินเหมยเหนียงยิ้มรับ

ฉินหลิวซีหันกลับไปหานางฉินผู้เฒ่าและสะใภ้หวัง เอ่ย “ข้ามีธุระค่อนข้างยุ่ง คงไม่อาจปลีกตัวมาได้ ยามเย็นคงไม่ได้มาคารวะท่านย่าและท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ”

สมุนไพรจากร้านขายยาตำหนักอายุวัฒนะคงมาถึงแล้ว นางต้องไปปรุงยาหยอดตานั่นสักหน่อย

สะใภ้หวังเอ่ย “มีธุระก็ไปทำเถิด”

ฉินหลิวซีขอตัวถอยออกไป

รอจนนางออกไปแล้ว สะใภ้เซี่ยจึงเบ้ปาก เอ่ย “นางสตรีคนหนึ่งเท่านั้น ยังยุ่งกว่านายท่านเสียอีก ไม่รู้ยุ่งอะไร”

นางฉินผู้เฒ่าเงียบไม่เอ่ยวาจา

สะใภ้หวังจึงเอ่ย “นางเป็นเด็กมีความคิดเป็นของตนเอง ขอเพียงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็พอแล้ว”

สะใภ้เซี่ยคิดอยากตอบโต้ แต่เมื่อนึกถึงความสามารถของฉินหลิวซี จึงพูดไม่ออกขึ้นมา

สะใภ้หวังเห็นว่านางสงบนิ่งแล้ว จึงมองไปยังฉินเหมยเหนียง เอ่ย “เหมยเหนียง เจ้าทำงานที่ร้านอาหารคุ้นชินแล้วหรือไม่ หากไม่คุ้นชินก็ให้ครอบครัวดูแลก็ได้ ยามนี้ที่บ้านก็ใช่ว่าจะยากจน อย่างไรก็มีข้าวพอกิน”

“เริ่มแรกยังไม่ชิน ตอนนี้ดีแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเหมยเหนียงส่ายศีรษะ เอ่ย “พี่สะใภ้ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าหรอกเจ้าค่ะ รอข้าได้รับเงินเดือน ไม่แน่ว่าอาจซื้อที่ดินส่วนตัวได้บ้าง เช่นนี้แล้วต่อไปแม่ลูกไม่กี่คนนี้ก็จะมีทรัพย์สินติดตัวแล้ว”

สะใภ้หวังมองสายตาของอีกฝ่าย นางกำลังดูถูกตนเอง ทว่ากลับไม่ใช่สายตาเศร้าสลดทั้งหมด จึงพยักหน้าปลอบใจ “คนลุกขึ้นได้ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”