บทที่ 69 ความซวยแบบต่อเนื่อง ตอนต้น
ทันทีที่พวกเขาวิ่งขึ้นรถ เขาก็เห็นหมาวิ่งมาเป็น 10 ตัว ฉู่เหินไม่รู้ว่ามันเป็นหมาจากบ้านไหนบ้าง แต่พวกเขาก็เห็นมันวิ่งกรูกันออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้น คนขับจึงไม่รีรอคำสั่งจากฉู่เหิน เขารีบเหยียบคันเร่งและขับรถไปอย่างรวดเร็ว
แม้คนมากฝีมืออย่างฉู่เหินจะสามารถจัดการกับหมาพวกนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เขาเชื่อว่าในช่วงที่ตัวเขากำลังดวงตกแบบนี้ มันคงไม่มีทางที่จะมีแค่หมาพวกนี้แน่ เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
เมื่อเขาสองคนปลอดภัยแล้ว พวกเขาก็มาถึงย่านเล็ก ๆ หน้าเมือง เมื่อมาถึง พวกเขาก็รู้ว่านี่คือเขตหนึ่งของจิงเหมินที่ชื่อว่ามณฑลเถาหยวน
ถึงแม้เถาหยวนจะเป็นเพียงเขตหนึ่ง แต่มันก็เป็นเขตร่ำรวยพอ ๆ กับเมืองชั้นสาม พวกเขาถึงกับตาลุกวาวเมื่อมาถึง เพราะเมื่อเงยหน้ามอง ทั้งคู่ก็เห็นเข้ากับร้านอาหารเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
น่าเสียดายที่พวกเขาจอดตรงนั้นไม่ได้ จึงต้องขับรถมาจอดในลานโล่ง ๆ ทั้งสองคนน่าจะมาถึงเช้าเกินไป จึงยังไม่มีรถมาจอดในลานมากมายนัก ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดรถตรงที่จอดว่าง ๆ นั่น
เมื่อเวลาผ่านไป ฉู่เหินที่ได้รู้จักชายคนนี้ไม่กี่ชั่วโมง เขาก็เริ่มรู้สึกประทับใจชายคนนี้ แท้จริงแล้วชายคนนี้ชื่อว่าเว่ยตงจื่อ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา แม้พวกเขาจะเพิ่งเจอกันไม่นาน แต่ก็คุยกันถูกคอ
เว่ยตงจื่อเป็นเจ้าของบริษัทตกแต่ง ถึงแม้จะไม่ใช่ธุรกิจใหญ่โตอะไร แต่เขาก็เป็นที่รู้จักของคนในวงการเป็นอย่างดี พวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้น หลังจากขับรถมาจอด ทั้งสองคนก็ตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขั้น แต่เขากลับรู้สึกหิวมาก
“ขุมทรัพย์แห่งตงเป่ย” ฉู่เหินเงยหน้ามองป้ายของร้านอาหาร
“พี่ตงจื่อ เราจะทานกันที่นี่เลยไหม?” หลังได้ยินคำถามของฉู่เหิน เว่ยตงจื่อก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเดินตรงเข้าไปใน “ขุมทรัพย์แห่งตงเป่ย” เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉู่เหินก็กลอกตา นี่มันหิวมากกว่าเขาอีกนะ
เมื่อทั้งสองเข้าไปในร้าน พวกเขาสั่งอาหารมามากกว่า 10 จานรวด พนักงานรีบจดแล้ววิ่งเข้าไปในครัว แม้ว่าร้านอาหารนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่การเสิร์ฟอาหารก็เร็วปานจรวดจานแล้วจานเล่า
แค่ดูก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยแน่ ๆ ทั้งสองมองหน้ากัน จะมัวรีรออะไรอีกล่ะ? รีบกินกันเลยสิ! ฉู่เหินรีบหยิบซี่โครงชิ้นโตขึ้นมาแทะอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเว่ยตงจื่อก็ไม่น้อยหน้า เขารีบฉีกขาหมูมาไว้ในชามและกิน
ระหว่างที่พวกเขากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อใหญ่ ทันใดนั้นเองก็เกิดไฟไหม้ในห้องครัว พวกเขาหันไปมองด้วยความตกใจ เกิดไฟไหม้ในครัวอย่างไม่มีใครคาดคิด ไฟเริ่มลามมายังห้องอาหาร ฉู่เหินเห็นพนักงานที่เพิ่งเสิร์ฟอาหารให้เขาสำลักควัน ลงไปนอนหมดสติอยู่บนพื้น เขาจึงรีบเข้าไปลากขาข้างหนึ่งของเธอมา แล้วใช้อีกมืออุ้ม ทำให้ตอนนี้เธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของฉู่เหิน
ฉู่เหินรีบอุ้มเธอออกไปจากร้านอาหารอย่างไม่รอช้า เว่ยตงจื่อที่วิ่งออกจากร้านอาหารไปก่อนหน้านั้นใจเต้นระรัวเมื่อเห็นฉู่เหินวิ่งหนีออกมา
รถพยาบาลแล่นมาถึงก่อนพวกเขาจะวิ่งออกมา โชคดีที่หน่วยกู้ภัยมาช่วยเหลือไว้ได้ทันกาล จึงไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่น่าเสียดายที่ร้านอาหารดี ๆ อย่างนี้กลับถูกไฟไหม้เสียหายอย่างหนัก ฉู่เหินก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ และที่น่าเสียใจที่สุดคือเขาเพิ่งทานอาหารบนโต๊ะไปได้แค่คำเดียว แค่คิดก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียดาย
ฉู่เหินเห็นเว่ยตงจื่อนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น เขาเองยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงลงไปนั่งเพื่อดูว่าเว่ยตงจื่อเป็นอะไร
“ฉันล่ะโมโหจริง ๆ โมโหจริง ๆ นะ” ฉู่เหินอดสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นเว่ยตงจื่อนั่งยองๆ แล้วเอามือทุบพื้น
“พี่ตงจื่อ พี่เป็นอะไร?”
“ทั้งขาหมู ทั้งเนื้อสะโพก ไหนจะซี่โครง อาหารทั้งโต๊ะเลย เพิ่งจะกินไปแค่คำเดียว มันน่าโมโหจริง ๆ!”
เมื่อได้ยินเว่ยตงจื่อกล่าวเช่นนั้น ความจริงฉู่เหินก็มีอารมณ์แบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเขาก็รู้ดีกว่ามันเป็นแบบนี้ก็เพราะดวงซวยของเขาเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ
ในเมื่อทานอาหารในโรงแรมนี้ไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ต้องเปลี่ยนร้าน แต่เหมือนกับเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่ว่าจะเข้าร้านไหน คนก็แน่นไม่มีที่นั่ง พวกเขาจึงต้องเปลี่ยนร้านอาหารไปเรื่อย ทั้งคู่หาร้านอาหารเป็นสิบๆ แห่ง จนสุดท้ายก็ได้เจอร้านอาหารที่มีที่นั่งว่างให้พวกเขาเสียที
แต่หลังจากที่ทั้งสองสั่งอาหาร ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาบอกว่า ร้านอาหารแห่งนี้เลี่ยงภาษีจึงต้องปิดบริการ อาหารกลิ่นหอมมากแต่พวกเขาก็ไม่ได้กิน มาถึงตอนนี้ ฉู่เหินที่เป็นคนใจเย็นมาตลอดกำลังอยากจะด่าใครสักคน
แถวนี้ไม่มีร้านอาหารอื่นแล้ว แล้วจะทำอย่างไรดีละฮะ? แต่เว่ยตงจื่อเป็นคนมีพรรคพวกเยอะ เขาโทรหาเพื่อนและจะได้ไปทานมื้อเย็นที่บ้านเพื่อนของเขา
พวกเขาเดินไปขึ้นรถแล้วขับไปที่บ้านเพื่อนของเว่ยตงจื่อ เมื่อพวกเขาขับรถมาจอด แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู ฉู่เหินก็รู้สึกว่าท้องฟ้าเหนือหัวของเขาเริ่มมืดครึ้ม เมื่อเงยหน้ามอง เขาก็เห็นอะไรบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่เหินรีบคว้าเว่ยตงจื่อวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ยังไม่ทันจะตั้งหลักได้ เขาก็ได้ยินเสียงโครมจากข้างหลัง เมื่อหันกลับไปมอง เขารู้สึกโง่มากที่เห็นขนมปังก้อนหนึ่งที่ร่วงลงมากองอยู่กับพื้น
ฉู่เหินส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ “อย่าบอกนะว่านี่เป็นคือผลของคำสาปที่ว่านะ มันรังแกกันเกินไปแล้วนะ ถ้าไม่ใช่ฉันฉู่เหินรู้ตัวก่อน คงได้ตายแน่ๆ”
เว่ยตงจื่อตาค้าง เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเฉียดไหล่กับยมทูตไปใกล้ขนาดนี้ ถ้าหากไม่ใช่ฉู่เหินที่คว้าเขาไว้ได้ทัน ตอนนี้ตัวเองก็ได้เป็นเนื้อเละ ๆเป็นแน่ แต่แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงตะโกนออกมาด้วยความโมโห “โถ่เว้ย ข้าวไม่ได้กินก็ช่างมันแล้ว ยังจะเอาไอ้นี่มาทำร้ายกันอีก นี่กลัวว่าวันนี้ฉันจะซวยไม่พอใช่ไหม?”
เมื่อฉู่เหินมองอีกครั้ง เขาเห็นว่ามันเป็นเครื่องร่อนขนาดใหญ่ที่หล่นลงมาทับรถของเขา ปกติแล้วเครื่องร่อนไม่ได้อันตรายอะไร แต่มันร่วงลงมาจากบนฟ้าได้อย่างไรกัน! พอเห็นแบบนี้แล้วฉู่เหินก็อดคิดไม่ได้ว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับคำสาปของเขา
สิ่งที่ฉู่เหินไม่รู้ก็คือถึงแม้คำสาปนี้จะร้ายกาจก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย เขามองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคำสาป แต่ถ้าเว่ยตงจื่อไม่ได้เจอฉู่เหิน เขาก็คงไม่ได้เข้าไปทานมื้อเย็นในร้านนั้น และก็คงไม่ได้จอดรถในลานจอดนี้
เรื่องทั้งหมด แม้ฉู่เหินจะไม่ใช่ต้นเหตุ แต่มันก็จะต้องเกิดขึ้นภายในวันนี้ แต่ด้วยความที่ฉู่เหินเป็นคนชักนำให้ทุกอย่างมารวมกัน ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นชายที่โชคร้ายที่สุดในโลก
เมื่อเว่ยตงจื่อเห็น เขาก็เริ่มโกรธ เขาเคยเห็นการรังแกคนมามากมาย แต่ไม่เคยเห็นการรังแกแบบนี้!
Next