หลังจากที่นากาได้มายะช่วยเสกม่านน้ำเพื่อป้องกันตัวจากสายฝนให้จนสามารถกลับมายังตึกเรียนได้สำเร็จ เด็กสาวผมสีม่วงทวินเทลก็ได้เดินพาเขาไปยังห้องสภานักเรียนที่นากาเคยมาเยือนแล้วถึงสองครั้งด้วยกันก่อนที่เธอจะเดินหลบออกไปข้างๆ เพื่อให้นากาได้เดินเข้าไปพบกับผู้มาเยือนที่มาขอพบตัวเขาในระหว่างช่วงบ่ายที่ควรจะเป็นช่วงของกิจกรรมชมรมนี้
“ยังไงก็ขอบใจที่อุตส่าห์ลงไปรับกันนะมายะ”
“อ…อื้อ…”
ซึ่งนากาก็ได้หันกลับไปพูดขอบคุณมายะที่อุตส่าห์เดินพาเขามาส่งถึงที่แบบนี้ก่อนที่เขาจะชะงักไปเล็กน้อยในจังหวะที่กำลังจะยื่นมือไปเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปด้านในห้องและเปลี่ยนใจไปเป็นการเคาะประตูเพื่อขออนุญาตก่อนแทน เพราะว่าในครั้งนี้ผู้ที่เรียกตัวเขามาไม่ใช่ไดเอน่าที่เป็นเจ้าของห้องแต่ว่าเป็นใครก็ไม่รู้ที่สั่งให้มายะไปตามตัวเขามาพบ อีกทั้งผู้มาเยือนคนนั้นเองก็คงจะรอให้เขาเดินทางมาถึงที่นี่อยู่ในห้องด้วยเช่นกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ผมนากาเองครับ!”
“เข้ามาได้เลยจ้ะ”
เสียงพูดอนุญาตของไดเอน่าที่ดังขึ้นมาจากภายในห้องสภานักเรียนได้ทำให้นาการู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้างเมื่อมีคนที่เขารู้จักอยู่ในห้องกับคนปริศนาที่มาติดต่อขอพบเขาด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากามีความกล้าที่จะยื่นมือออกไปเปิดประตูห้องและก้าวเดินเข้าไปด้านในด้วยความมั่นใจ
แต่ว่าเมื่อนากาได้เห็นสภาพที่เกิดขึ้นด้านในห้องสภานักเรียนแล้วเขาก็ถึงกับชะงักไปในทันที เพราะว่านอกจากไดเอน่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งประธานนักเรียนแล้ว ที่โซฟาสำหรับรับแขกเองก็ยังมี ปู่แม็กซ์ ชายชราสูงวัยที่ดูมีอายุราวๆ หกสิบปีที่เป็นปู่ทวดของไดเอน่ากำลังนั่งเล่นอยู่อย่างสบายใจอยู่อีกด้วย
แต่สิ่งที่ให้นาการู้สึกตกตะลึงนั้นกลับไม่ใช่การที่ปู่แม็กซ์มาปรากฏตัวในห้องนี้ แต่ว่ากลับเป็นร่างของบุรุษในชุดเกราะอัศวินสีขาวเต็มยศสวมหมวกเกราะปิดหน้าปิดตาที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ปู่แม็กซ์จนดูราวกับอัศวินที่กำลังนั่งคุกเข่ารอคำสั่งอยู่เคียงข้างเจ้านายนั่นต่างหาก
“ค—คุณปู่แม็กซ์กับผู้อำนวยการ—!?”
“อ้าว มาแล้วหรอนากาคุง…”
ปู่แม็กซ์ที่ได้ยินเสียงของนากาได้ละสายตามาจากท่านผู้อำนวยการเพื่อหันมาพูดทักทายเด็กหนุ่มเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันกลับไปพูดกับท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมโดยไม่มีทีท่าว่าจะต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองต่อหน้าเด็กนักเรียนอย่างนากาเลยแม้แต่น้อย
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันรบกวนเธอช่วยออกไปรอข้างนอกก่อนนะ… พอดีว่าฉันมีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องคุยกับนักเรียนของเธอหน่อยน่ะ”
“ครับ… ถ้าเกิดว่าท่านแม็กซิสมีอะไรก็เรียกตัวผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
ท่านผู้อำนวยการเงยหน้าขึ้นมาพูดตอบปู่แม็กซ์กลับไปก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและเดินผ่านนากาที่รีบหลบทางให้กับเขาออกไปด้านนอกห้องและปิดประตูห้องไล่หลังลงไป
และเมื่อไดเอน่าเห็นว่าท่านผู้อำนวยการเดินออกไปจากห้องแล้ว เธอก็ได้เอ่ยปากเรียกนากาที่กำลังมองไล่หลังท่านผู้อำนวยการไปด้วยสายตาตกตะลึงอยู่ให้เข้าไปนั่งบนโซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามปู่แม็กซ์ในทันที
“ถ้ายังไงนายก็เข้ามานั่งก่อนสินากาคุง จะได้กับท่านปู่ได้สะดวกๆ ไง~”
“อ่ะ—อ่า ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ…”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่รีบตั้งสติและเดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับปู่แม็กซ์แต่โดยดี ซึ่งเมื่อไดเอน่าเห็นว่าในห้องนี้เหลือแต่คนสนิทของเธอแล้วเธอก็ได้สลัดมาดประธานนักเรียนแสนเคร่งขรึมทิ้งไปแบบไม่ไยดีและเดินตัวปลิวมานั่งลงข้างๆ นากาบนโซฟาตัวเดียวกัน
ส่วนทางด้านปู่แม็กซ์ที่เห็นว่าหลานสาวของเขาได้มานั่งรวมกลุ่มกันแล้วก็ได้บังคับให้สายลมจำนวนหนึ่งหอบหิ้วชุดถ้วยชาออกมาจากตู้เก็บของและหยิบเอากาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมารินน้ำชาให้กับเด็กๆ ทั้งสองคนพร้อมกับพูดทักทายเด็กหนุ่มเบื้องหน้าขึ้นมาไปด้วย
“เป็นยังไงบ้างล่ะนากาคุง…ถึงจะไม่ได้เจอกันแค่สักพักเดียวก็เถอะ แต่ว่าพอดูจากสายตาของเธอแล้วก็ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วนี่นา”
“อ่า… ครับ มันก็ราวๆ นั้นนั่นแหล่ะครับ”
ถึงแม้ว่าสำหรับนากาแล้วช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ที่เขาได้ไปเจอปู่แม็กซ์ที่คฤหาสน์เซมฟิร่ามาจะเป็นช่วงเวลาที่นานพอตัวอยู่ แต่ว่าสำหรับปู่แม็กซ์ที่ดูเหมือนว่าจะมีอายุยืนยาวกว่าสภาพร่างกายของเขามาก ช่วงเวลาหนึ่งเดือนก็อาจจะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่เล็กน้อยก็ได้
ซึ่งนากาที่คิดได้แบบนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะพูดขัดอะไรชายสูงวัยเบื้องหน้าออกมา ในขณะที่ทางด้านไดเอน่าที่เพิ่งจะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบก็ได้หันมาหานากาที่นั่งอยู่ข้างๆ กันและเอ่ยปากพูดขอโทษที่เธอเรียกตัวเขามาพบแบบกะทันหันขึ้นมา
“ถ้ายังไงฉันก็ขอโทษที่ใช้ให้มายะไปตามตัวนายมาแบบนี้ด้วยนะนากาคุง แต่พอดีว่าท่านปู่ทวดเขาต้องการจะมาพบตัวนายให้ได้ไวที่สุดน่ะ แถมที่ผ่านมาท่านปู่ทวดเขาก็ไม่เคยขออะไรฉันแบบนี้มาก่อนเลย ฉันก็เลยไม่อยากจะขัดอะไรเขามากสักเท่าไหร่น่ะ~”
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ไม่เป็นไรหรอก จริงๆ แล้วตอนช่วงบ่ายนี่ฉันก็ว่างจนได้แต่ฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ นั่นแหล่ะเพราะว่าฉันยังไม่ได้เข้าชมรมไหนเลยน่ะ”
“งั้นหรอ…”
ไดเอน่าพยักหน้าตอบนากากลับไปเบาๆ โดยไม่ได้พูดถามอะไรขึ้นมามาก เพราะว่าหลังจากที่เธอเคยได้ยินนากาเล่าถึงปัญหาเรื่องวิซของเขาให้ฟังเมื่อคราวก่อนเธอก็คาดเอาไว้แล้วว่าเด็กหนุ่มผมดำคนนี้จะต้องมีปัญหาในการเลือกชมรมอย่างแน่นอน
“ว่าแต่นี่คุณปู่แม็กซ์มีเรื่องอะไรถึงมาหาผมถึงที่โรงเรียนนี่ล่ะครับ จริงๆ แล้วถ้าเกิดว่าคุณปู่แม็กซ์อยากจะเจอผม จะเรียกให้ผมไปหาที่คฤหาสน์เหมือนครั้งที่แล้วก็ได้นะครับ คุณปู่แม็กซ์จะได้ไม่ต้องลำบากเดินทางมาถึงโรงเรียนนี่น่ะครับ”
“ฮะฮะ เธอไม่ต้องคิดมากหรอก พอดีว่าวันนี้ฉันกะจะออกมาสูดอากาศข้างนอกแล้วก็บังเอิญนึกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมาได้พอดีน่ะ… เอาเป็นว่าไว้วันหลังฉันจะหาโอกาสเชิญเธอไปเยี่ยมที่บ้านแทนก็แล้วกันนะ…”
ปู่แม็กซ์หัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับท่าทีเกรงใจของนากาและทำท่าเหมือนกับว่าจะหยิบสิ่งของอะไรบางอย่างออกมาจากห่อผ้าที่อยู่ข้างกาย แต่ว่าทันใดนั้นเองปู่แม็กซ์ก็ชะงักไปเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่ด้านหน้าประตู ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นการกระทำของมายะที่กำลังพยายามแอบฟังว่าไดเอน่าของเธอกำลังพูดคุยอะไรอยู่กับนากานั่นเอง
“ไหนไดเอน่า… หลานลองใช้เจ้านั่นกั้นประตูเอาไว้ให้ปู่หน่อยสิ…”
“อ่ะ ได้เลยค่ะ”
“…เจ้านั่น?”
ฟู่ววววววว—
ไดเอน่าไม่ได้พูดตอบอะไรนากากลับไปและใช้วิซของเธอสร้างลูกบอลเรืองแสงสีเขียวจางๆ ขึ้นมาก้อนหนึ่ง ซึ่งปู่แม็กซ์ที่เห็นว่าหลานสาวของเขาสามารถทำตามขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหาก็ได้ค่อยๆ พูดแนะนำเธอไปด้วย
“แบบนั้นล่ะ… แล้วทีนี้ก็ค่อยๆ ปลดปล่อยสายลมที่อยู่ภายในออกมา…”
“ค่อยๆ ปล่อยมันออกมา”
ฟู่ววววว…
เสียงของสายลมที่ค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมาจากลูกบอลแสงสีเขียวของไดเอน่าได้ดังขึ้นมแว่วๆ ให้นากาได้ยิน และเมื่อนากาได้ลองสำรวจดูสิ่งที่ไดเอน่ากำลังทำอยู่แล้วเขาก็ได้พบว่าตัวลูกบอลแสงของไดเอน่านั้นมีสภาพเหมือนกับว่ามันกำลังถูกบีบอัดเข้าไปจากทุกทิศทุกทางอยู่จนลูกบอลที่เคยมีลักษณะกลมมนบิดเบี้ยวไปมาเล็กน้อย
“อ–เอ่อ… นี่ผมควรจะกังวลอะไรเรื่องลูกบอลนี่มั้ยครับเนี่ย…?”
“เธอไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกนะนากาคุง… นั่นมันก็แค่ก้อนสุญญากาศที่ฉันเคยสอนให้ไดเอน่าฝึกใช้เอาไว้น่ะ… แต่ถ้าเธอกังวลล่ะก็จะจับพนักโซฟาเอาไว้ให้แน่นๆ ก็ได้นะ เพราะถ้าเกิดว่าไดเอน่าเขาพลาดทำมันแตกขึ้นมาล่ะก็ระวังจะโดนดูดเข้าไปซะล่ะ… หึหึ”
“โธ่เอ๊ย ท่านปู่นี่ล่ะก็… ตอนนั้นหนูก็แค่ทำพลาดไปนิดเดียวเองนะคะ จะเอามาพูดให้นากาคุงเขาฟังทำไมกันล่ะคะเนี่ย”
ไดเอน่าที่ถูกปู่แม็กซ์พูดถึงเรื่องเมื่อตอนที่เธอฝึกใช้พลังพลาดขึ้นมาได้รีบสั่งให้ลูกบอลสุญญากาศลอยไปทางประตูและแผ่มันออกเป็นแผ่นกว้างๆ คลุมทับบานประตูเอาไว้พร้อมกับแอบเหลือบมองไปยังนากาเล็กน้อยว่าเขาจะมีท่าทีผิดหวังอะไรหรือเปล่าที่คนที่ถูกเรียกว่าเป็นสุดยอดประธานนักเรียนอย่างเธอไม่ได้เก่งกาจไร้ข้อผิดพลาดอย่างที่ทุกคนพูดกัน
แต่ไดเอน่าก็ได้พบว่าบัดนี้นากากำลังจ้องมองไปทางประตูห้องที่ถูกแผ่นสุญญากาศของเธอปกคลุมเอาไว้ด้วยความสงสัยจนทำให้ไดเอน่าได้ฉวยโอกาสนี้ในการพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาในทันที
“อันนั้นเห็นท่านปู่ทวดเรียกมันว่าลูกบอลสุญญากาศน่ะ วิธีการสร้างมันก็แค่ใช้วิซสร้างลูกบอลที่ห้ามไม่ให้อากาศไหลผ่านขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆ ปล่อยอากาศข้างในออกมา… เอาจริงๆ ที่ยากมันก็มีแค่ตอนปล่อยอากาศออกมาเนี่ยแหล่ะที่ต้องระวังไม่ให้ลูกบอลมันแตกหรือว่าเผลอปล่อยให้อากาศไหลเข้าไปข้างในแทนน่ะ”
“อื้ม… แล้วว่าแต่เธอสร้างมันขึ้นมาอุดประตูเอาไว้ทำไมล่ะนั่น?”
“ก็เอาไว้กันไม่ให้คนแอบมาดักฟังไงล่ะ เห็นท่านปู่เคยอธิบายเอาไว้ว่าเสียงพูดคุยของคนเรามันจำเป็นต้องมีสื่อกลางเป็นอากาศหรือว่าอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ แล้วพอฉันสร้างพื้นที่ที่ไม่มีอากาศอย่างลูกบอลสุญญากาศนั่นกั้นเอาไว้ตรงกลาง คนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็จะไม่ได้ยินเสียงพวกเราคุยกันไง”
“จุ๊ๆ ถ้าหลานอยากจะอธิบายให้นากาคุงฟังปู่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ… แต่ถ้าเป็นไปได้ทั้งสองคนก็อย่าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังล่ะกัน… เอาล่ะ ในเมื่อเตรียมการกันเสร็จแล้วถ้างั้นก็…”
ปู่แม็กซ์ที่นั่งอมยิ้มมองดูเด็กๆ คุยกันได้เอ่ยปากเตือนนากาและหลานสาวของเขาขึ้นมาเล็กน้อยแบบไม่ได้จริงจังอะไรสักเท่าไหร่นักก่อนที่เขาจะล้วงมือเข้าไปห่อผ้าและหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้า
“นี่มัน… ซากอาวุธหรอครับ?”
สิ่งของที่ถูกปู่แม็กซ์หยิบออกมาวางไว้บนโต๊ะนั้นก็คือก้อนอะไรสักอย่างบิดๆ งอๆ ที่ดูแล้วน่าจะเคยเป็นใบมีดโลหะสีดำที่ถูกคล้องเอาไว้กับโซ่โลหะที่ถูกฟันจนขาดสะบั้นจนเหลือติดอยู่เพียงไม่กี่ข้อมาก่อน ซึ่งด้วยสภาพที่ยับเยินของมันนั้นก็แทบจะทำนากาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเพราะสาเหตุใดมันถึงพังยับได้ขนาดนี้
“ใช่แล้วล่ะ มันคืออาวุธที่เพื่อนของฉันเคยสร้างขึ้นมาให้ฉันใช้ในสมัยยังหนุ่มๆ น่ะ…”
คำตอบสั้นๆ ที่แทบจะไม่ได้อธิบายอะไรเลยจากปู่แม็กที่มีท่าทางเหมือนกับว่าจะกำลังรำลึกความหลังอยู่ได้ทำให้ไดเอน่าตัดสินใจที่จะพูดอธิบายขึ้นมาให้นากาฟังแทน
“พอดีว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนที่บ้านของฉันเพิ่งจะมีการทำความสะอาดครั้งใหญ่กันน่ะ แล้วฉันก็บังเอิญไปเจอเจ้านี่โดนหมกเอาไว้อยู่ด้านในสุดของห้องเก็บของเข้า ทีนี้พอฉันลองเอามันไปถามท่านปู่ทวดดูท่านปู่เขาก็ตัดสินใจว่าจะเอามันมามอบให้กับนายน่ะ”
“ให้ฉัน? แต่ว่าเรื่องนี้มัน—”
“มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย… งั้นสินะ…”
ปู่แม็กซ์ที่เหมือนจะหลุดออกมาจากภวังค์ได้พูดต่อคำของนากาออกมาด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองไดเอน่าจะพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“แต่เรื่องนี้หนูเองก็สงสัยเหมือนกันนะคะว่าทำไมท่านปู่ทวดถึงได้คิดจะเอามันมาให้กับนากาคุงน่ะ”
“นั่นสินะ…ถ้าจะให้พูดจริงๆ ล่ะก็… มันก็คงจะเป็นความฝันเฟื่องของคนแก่ล่ะมั้ง…”
ปู่แม็กซ์ที่ได้ยินคำถามจากหลานสาวของตนได้หันไปพูดตอบคำถามของเธอด้วยรอยยิ้มที่มุมปากก่อนที่เขาจะเลื่อนมือไปดันซากอาวุธที่วางอยู่บนโต๊ะไปทางนากาพร้อมกับพูดขึ้นมา
“ถ้าเกิดว่าเธอไม่คิดอะไรมากจะช่วยรับมันไปเก็บรักษาต่อให้คนแก่ๆ สติไม่ดีคนนี้สักหน่อยได้มั้ยล่ะ นากามูระคุง”
“เอ่อ… แบบนั้นมันจะดีหรอครับ”
นากาที่ได้ยินว่าปู่แม็กซ์ต้องการที่จะให้เขารับช่วงต่อซากอาวุธที่ดูเหมือนว่าจะเคยเป็นอาวุธประจำตัวของชายชราเบื้องหน้าได้พูดตอบกลับไปด้วยความลังเล เพราะว่าตามปกติแล้วมันควรจะถูกส่งต่อให้กับลูกๆ หลานๆ อย่างเช่นไดเอน่าซะมากกว่า
“หืม? นายไม่ต้องคิดมากเรื่องของฉันหรอกน่าเพราะต่อให้ฉันได้มันไปฉันก็ไม่รู้ว่าจะเอามันไปทำอะไรดีอยู่ดีนั่นแหล่ะ เพราะงั้นถ้าท่านปู่ทวดอยากจะให้นายรับเอาไว้นายก็รับๆ ไปเถอะ~”
ไดเอน่าที่ไม่มีท่าทีว่าอยากจะได้รับซากอาวุธที่พังเละเทะจนดูแล้วน่าจะเกินความสามารถในการซ่อมแซมของช่างตีอาวุธทุกคนในโลกใบนี้ไปเลยแม้แต่น้อยได้พูดตอบนากากลับไปแบบไม่คิดอะไรมากนักจนทำให้นากาได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาแก้มของตัวเองและหันกลับไปพูดถามปู่แม็กซ์ขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ถ้ายังไงก่อนที่ผมจะรับมันเอาไว้…คุณปู่แม็กซ์ก็ช่วยบอกให้ฟังหน่อยได้มั้ยล่ะครับว่าทำไมถึงต้องเป็นผมน่ะ”
“มันก็แค่… ความฝันเฟื่องของคนแก่ล่ะมั้ง… เธอจำเมื่อครั้งที่แล้วที่เธอได้พบกับฉันได้มั้ยล่ะที่ฉันจำเธอสลับกับเพื่อนเก่าคนนึงน่ะ… อาวุธชิ้นนี้มันเป็นอาวุธที่ฉันอยากจะมอบคืนให้กับเขาคนนั้นแต่ก็คงจะไม่มีโอกาสแล้วน่ะ…”
นากาที่ได้ยินคำตอบจากปู่แม็กซ์ได้นึกถึงเรื่องของเพื่อนของปู่แม็กซ์ที่มีชื่อและหน้าตาคล้ายกับเขาขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ปู่แม็กซ์ได้ตัดสินใจที่จะมอบซากอาวุธชิ้นนี้ให้กับเขาเพราะว่ามันคงจะรู้สึกเหมือนกับว่าได้ส่งคืนมันให้กับเพื่อนเก่าคนนั้นนั่นเอง
“งั้นเองหรอครับ… ถ้าเกิดว่ามันทำให้คุณปู่แม็กซ์สบายใจงั้นผมจะรับมันเอาไว้ก็ได้ครับ”
นากาพูดตอบปู่แม็กซ์กลับไปพร้อมกับหยิบเอาซากอาวุธเบื้องหน้าขึ้นมาส่องมองดูใกล้ๆ ซึ่งทันใดนั้นเองตัวใบมีดสีดำที่บิดงอจนแทบจะดูไม่ออกว่ามันเคยมีหน้าตาเป็นยังไงมาก่อนก็ได้เรืองแสงสีขาวออกมาจางๆ จนทำให้นากาถึงกับต้องชะงักไปเล็กน้อย
“หืม…?”
แต่ว่าแสงสว่างสีขาวจางๆ ที่ส่องสว่างออกมาจากตัวซากอาวุธนั้นก็ได้ดับลงไปในชั่วพริบตาจนทำให้นากาได้แต่คิดว่ามันคงจะเป็นแสงสะท้อนจากแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่ด้านหลังโต๊ะทำงานของไดเอน่านั่นเอง
“หึหึ…”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของปู่แม็กซ์ที่ดังขึ้นมาให้นากาได้ยินได้ทำให้นากาละสายตาจากซากอาวุธไปมองยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและได้พบว่าบัดนี้ปู่แม็กซ์กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ด้วยสีหน้ามีเลศนัยจนทำให้นากาชักจะเริ่มไม่แน่ใจสักเท่าไหร่แล้วว่าแสงสว่างที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นี้คือแสงสะท้อนจริงๆ หรือเปล่า
“เมื่อกี้นี้เธอเห็นอะไรแปลกๆ บ้างหรือเปล่าน่ะไดเอน่า”
“หื้ม? ก็เห็นท่านปู่กำลังยิ้มอยู่อย่างมีความสุขแบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยๆ ยังไงล่ะ~”
“อ–อื้อ… นั่นสินะ”
นากาที่ได้ยินไดเอน่าตอบกลับมาคนละเรื่องกับที่เขาต้องการจะถามนั้นได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองอย่างจนปัญญาก่อนที่ทันใดนั้นเองปู่แม็กซ์จะกระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง
“อะแฮ่ม… เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงอีกเรื่องนึงที่ฉันอยากจะได้ยินคำตอบจากเธอด้วยตัวเองน่ะนากาคุง… จำก่อนหน้านี้ที่ฉันสอบถามเธอถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเวก้าคนนั้นได้หรือเปล่าล่ะ?”
“เอ๋… ก—ก็ต้องจำได้อยู่แล้วสิครับ”
คำถามของปู่แม็กซ์ได้ทำให้นากาถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยและรีบตอบกลับไปอย่างร้อนรนเพราะถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาจะตอบคำถามของปู่แม็กซ์ไปตามตรงจริงๆ ก็ตาม แต่ว่ามันก็มีอยู่อีกหลายเรื่องที่เขาจงใจแอบปิดบังมันเอาไว้จากชายวัยกลางคนเบื้องหน้า
“อื้ม… คือว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้คนของฉันที่เมืองแพนเทร่าได้ส่งข้อมูลมาว่ามีคนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะขออนุญาตเข้าไปสำรวจตัวเมืองใต้ดินของแพนเทร่าที่เป็นเขตหวงห้ามน่ะ…”
“เมืองใต้ดินงั้นหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ… ถึงเรื่องนี้มันจะไม่ใช่ความลับอะไรก็เถอะ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนพยายามปกปิดมันเอาไว้อยู่เหมือนกัน… ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือว่าที่จริงแล้วตัวเมืองแพนเทร่ามันตั้งอยู่เหนือซากเมืองโบราณที่จมลงไปใต้ดินเมื่อนานมาแล้วน่ะ… แล้วทีนี้สมัยที่ฉันยังหนุ่มๆ อยู่ฉันก็ดันเคยไปซื้อที่ดินส่วนที่เป็นทางเชื่อมลงไปยังเมืองใต้ดินที่ว่านั่นเอาไว้น่ะสิ…”
“มีที่ดินอยู่ต่างเมืองแถมยังเป็นทางเชื่อมลงไปเมืองโบราณด้วยงั้นหรอครับ… ฟังดูสุดยอดไปเลยนะครับนั่น”
“ต้องบอกว่าน่ารำคาญมากต่างหากล่ะ~ แถมท่านปู่ทวดเองก็ไม่ยอมขายบ้านหลังนั้นไปทั้งๆ ที่มีขุนนางของแพนเทร่ามาติดต่อขอซื้อตั้งหลายรอบแล้วด้วยอีกตะหาก”
ไดเอน่าที่นั่งฟังอยู่ด้วยได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยใจเพราะว่าในช่วงหลังๆ มานี้มันก็เป็นตัวเธอเองนี่แหล่ะที่ต้องมาเป็นคนคอยรับหน้าขุนนางจากต่างเมืองพวกนั้น ซึ่งนี่ถ้าเกิดไม่ติดว่าตระกูลของเธอเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในเมืองรีมินัสนี่แล้วล่ะก็ขุนนางพวกนั้นก็คงจะไม่ได้ทำเพียงแค่มาติดต่อเจรจาขอซื้อที่ดินกับท่านปู่ทวดของเธอดีๆ อย่างแน่นอน
“หึหึ ก็เมื่อก่อนหน้าที่รับหน้าขุนนางพวกนั้นมันเป็นของพ่อแม่ของหนูนี่นะ…เอาจริงๆ ปู่เองก็ไม่ได้อยากจะเก็บบ้านหลังนั้นเอาไว้หรอกนะ… แต่ว่าปู่ก็ทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าขุนนางพวกนั้นจะซื้อบ้านหลังนั้นไปเพื่อที่จะได้เพิ่มการป้องกันทางลงเมืองใต้ดินจริงๆ อย่างที่พวกนั้นพูดมาน่ะ…”
“มันก็…พอจะเข้าใจได้อยู่แหล่ะครับ ฮะฮะ…”
นากาที่เพิ่งจะรู้พิษสงของเหล่าขุนนางมาจากเมืองกราวิทัสในตอนที่ขุนนางพวกนั้นพยายามที่จะหลอกให้พวกเขาเซ็นเอกสารเบิกเงินจำนวนมากโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแถมยังสามารถพูดจาบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องได้ไวเหมือนปลาไหลจนพวกเขาแทบจะตามไม่ทันได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมาเล็กน้อย ในขณะที่ทางด้านปู่แม็กซ์ก็ได้ล้วงเอาภาพถ่ายขาวดำภาพเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อให้นากาดู
“ถ้ายังไงก็กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ… เธอพอจะจำคนในรูปนี้ได้หรือเปล่าน่ะนากาคุง?”
“คนในรูปนี้หรอครับ— อ่ะ… หมอนี่มัน…”
นากาที่ได้ยินคำถามของปู่แม็กซ์ได้ก้มลงไปมองดูภาพถ่ายที่อีกฝ่ายยื่นออกมาก่อนที่เขาจะชะงักไปในทันทีที่เห็นภาพของชายคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีน้ำตาลและสวมใส่ผ้าปิดตาสีดำบดบังดวงตาข้างซ้ายเอาไว้ อีกทั้งครึ่งล่างของภาพถ่ายในมือของนากายังถูกบดบังเอาไว้ด้วยศีรษะของใครบางคนที่มีเส้นผมสีดำกับหูแมวบ่งบอกว่าชายในรูปถ่ายไม่ได้พยายามลงไปยังเมืองใต้ดินของแพนเทร่าด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน
“ที่ตอนนั้นเธอบอกว่า ‘จัดการกับเวก้าไปแล้ว’ นั่นน่ะ เธอไม่ได้หมายความว่าจัดการจบชีวิตเขาไปแล้วงั้นสินะ…”
“ค—ครับ”
นากาที่เห็นว่าปู่แม็กซ์มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายก็ได้แต่พูดตอบกลับไปตรงๆ แบบไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก แต่ถึงอย่างนั้นปู่แม็กซ์ก็กลับไม่ได้มีท่าทีถือสาอะไรสักเท่าไหร่นักอีกทั้งยังมีท่าทางโล่งใจเล็กน้อยอีกด้วย
“เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะนากาคุง… แถมการที่เธอไม่ได้ตัดสินใจที่จะฆ่าเขาไปแบบนั้นเองก็นับว่าเป็นเรื่องดีอีกด้วย… ที่ฉันมาถามเธอนี่ก็เพราะว่าอยากจะได้รับคำยืนยันจากเธอจะได้เตรียมการรับมือได้ถูกน่ะ…”
“ง…งั้นหรอครับ…”
“เอาล่ะ ถ้ายังไงวันนี้ฉันก็ขอตัวก่อนละกันนะ… เธอเองก็รักษาสุขภาพด้วยล่ะนากาคุง”
ปู่แม็กซ์พูดอำลานากาออกมาก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉงจนทำให้ไดเอน่าจำเป็นต้องรีบร้อนลุกขึ้นเพื่อเดินเข้าไปช่วยพยุงเขาในทันที
“เฮ้อ… แต่ว่าคุณเวก้าเขาก็เลือกเป้าหมายได้ยิ่งใหญ่ตลอดเลยนะคะ ต่อจากการทดลองเพื่อเลียนแบบพระเจ้าผู้สรรค์สร้างก็ไปต่อที่เมืองหวงห้ามใต้ดินแบบนั้นน่ะ… ท่าทางว่าการที่เขาเสียตาไปข้างนึงจะไม่ได้ทำให้เขาเรียนรู้อะไรขึ้นมาบ้างเลยนะคะนั่น”
“ก็นะ… นิสัยคนเรามันแก้กันยากนี่นา”
“จะไปทางไหนก็มีแต่คนเฝ้าทุกทางเลยอ่ะ!!”
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ที่ตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่งในเมืองแพนเทร่าเองก็มีเสียงโวยวายของเด็กสาวหูแมวในชุดเดรสสีชมพูอ่อนที่มีชื่อว่าทีเอร่าดังขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่สวมผ้าปิดตาที่ยืนอยู่ข้างๆ กันขึ้นมา
“แล้วนี่พี่ชายมีแผนสำรองมั้ยอ่ะ หนูว่าพวกเราลองดูทุกช่องทางที่จะสามารถลงไปได้โดยไม่ต้องแอบลอบเข้าไปในวังหลวงจนครบแล้วนะ”
“อื้ม… นั่นสินะครับ…”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลพูดรับคำของทีเอร่ากลับไปก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงไปนึกอะไรบางอย่างอยู่ชั่วขณะและเอ่ยปากเสนอแผนการที่ฟังดูสุดแสนจะอันตรายขึ้นมา
“ถ้างั้นพวกเราจะลองบุกฝ่าเข้าไปกันดูเลยมั้ยล่ะครับ…”