ตอนที่ 51 เมล็ดพันธุ์
เขารู้อยู่แล้ว

ตอนนั้นมัวแต่พยายามปกปิดต่อหน้าเขา กลับลืมถามว่าเขามาตั้งแต่เมื่อใด อาจเป็นวินาทีนั้นหรืออาจมานานแล้วก็เป็นได้

เขาเห็นความลำบากทั้งหมดของนาง แต่เขาไม่เปิดโปง กลับใช้วิธีอ้อมค้อมเช่นนี้เพื่อไม่ให้นางอับอายต่อหน้าผู้ใด รวมถึงตัวเขาเอง

การพาเด็กๆ ไปกินขนมเป็นเพียงอุบายเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการจะมอบให้จริงๆ คือเงินจำนวนสามสิบตำลึงนี้

สามสิบตำลึงบังเอิญเท่ากับจำนวนเงินค่ารักษา ค่าที่พักและค่าอาหารที่นางจ่ายในวันออกจากเมืองหลวงพอดี ราวกับว่านำเงินของนางมาคืนโดยไม่แตะต้อง ไม่เกินสักอีแปะให้รู้สึกเหมือนเป็นการทำทาน

ใส่ใจถึงเพียงนี้เชียว

บอกไม่ถูกว่าในหัวใจรู้สึกเช่นไร เหมือนความขมขื่นอันยากจะพรรณนากำลังแผ่ลามทั่วร่าง แต่แล้วความอบอุ่นดุจแสงตะวันก็แทรกเข้ามา ความรู้สึกอันท่วมท้นพาให้กระบอกตาร้อนผ่าว

“ท่านแม่ เหตุใดท่านไม่กิน”

เสียงเจื้อยแจ้วของวั่งซูดึงเฉียวเวยออกมาจากห้วงความคิด

เฉียวเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์ นางลูบศีรษะของบุตรสาวแล้วคลี่ยิ้ม “แม่จะกินเดี๋ยวนี้”

พูดจบก็กัดขนมเปี๊ยะปูคำหนึ่ง เค็ม แต่กลับแฝงรสหวานประหนึ่งน้ำผึ้ง

“อร่อยหรือไม่เจ้าคะ” วั่งซูยิ้มจนตาหยี

เฉียวเวยยิ้มตอบ “อร่อยมาก!”

วั่งซูหัวเราะอย่างเบิกบานใจกว่าเดิม “ข้าก็คิดว่าอร่อยเหมือนกัน! ขนมที่ท่านลุงหมิงซื้อมาอร่อยทุกอย่าง!”

เฉียวเวยมองบุตรสาวด้วยสายตาอ่อนโยน “วั่งซูชอบลุงหมิงหรือ”

“เจ้าค่ะ!” วั่งซูพยักหน้าโดยไม่หยุดคิด นางมองจิ่งอวิ๋นแล้วพูดอีกว่า “ท่านพี่ก็ชอบเหมือนกัน!”

จิ่งอวิ๋นปากแข็ง “ข้าเปล่า!”

วั่งซูยืนกราน “ท่านชอบ ข้าเห็นหมดแล้ว ท่านแอบดูท่านลุงหมิงตลอด”

“ข้า…ข้า…นั่นมัน…” ดวงตาของจิ่งอวิ๋นทอประกายวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ตอบอย่างขึงขังราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “ข้ามองหน้ากากของเขาต่างหาก!”

วั่งซูทำหน้าทะเล้น “ท่านพี่โกหก”

“ข้าเปล่า!”

เด็กน้อยสองคนเถียงกันไปมา ทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง

สุดท้ายเฉียวเวยก็ตัดใจกินขนมเปี๊ยะปูไม่ลง เมื่อเห็นสงครามระหว่างเด็กน้อยสองคนทวีความรุนแรงขึ้นจนใกล้จะเริ่มลงไม้ลงมือ นางจึงจับแขนแยกไปอยู่คนละข้าง ทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสันติ “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ทะเลาะกันแล้ว แม่จะพาไปซื้อเมล็ดพืช”

วั่งซูเอ่ยอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ต้องการพี่จิ่งอวิ๋นแล้ว เขาทะเลาะกับข้า ข้าอยากได้พี่ชายคนใหม่”

หากมีอีกก็ต้องเป็นน้องชาย ไม่ใช่พี่ชายสิ!

เฉียวเวยปวดเศียรเวียนเกล้ากับคำถามว่า ‘ทำไม’ ไม่จบไม่สิ้นของบุตรสาวอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เดินมาถึงร้านขายธัญพืช ศีรษะของนางแทบจะมีควันลอยขึ้นมาแล้ว!

“เถ้าแก่! มีเมล็ดข้าวฟ่างหรือไม่!”

เพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตู นางก็ปรี่เข้าไปที่โต๊ะคิดเงินอย่างอดใจรอไม่ไหว

บุรุษอาภรณ์สีเขียวหลังโต๊ะคิดเงินได้ยินเสียงจึงหันกลับมา พอเห็นเฉียวเวยก็ตกใจ “เจ้าเองหรือ”

เฉียวเวยประหลาดใจ “พี่จ้าว”

พี่จ้าวขยับยิ้ม “เจ้าจะซื้อเมล็ดข้าวฟ่างสินะ”

เฉียวเวยพยักหน้า นางมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างประหลาดใจ “พี่จ้าว ท่านไม่ได้เปิดร้านน้ำชาอยู่ถนนตะวันออกหรือ ร้านขายธัญพืชร้านนี้ก็เป็นของท่านด้วยหรือ”

พี่จ้าวยิ้มพลางส่ายศีรษะ “มิใช่ นี่เป็นร้านของพี่น้องข้า เขามีธุระชั่วคราว ข้าจึงมาดูแลร้านให้เขา” กล่าวจบ ดวงตาของเขาก็เคลื่อนไปมองเด็กน้อยผิวขาวผ่องดั่งหยกแกะสลักสองคน “ช่างเป็นเด็กน้อยที่งดงามนัก พวกเขาเป็น…”

เฉียวเวยเอ่ยตอบ “ลูกชายกับลูกสาวของข้าเอง จิ่งอวิ๋น วั่งซู เรียกลุงจ้าวเร็ว”

ทั้งสองเรียกตามอย่างเชื่อฟัง “ลุงจ้าว”

พี่จ้าวชอบอกชอบใจ หยิบถั่วตัดสองชิ้นใส่กระเป๋าเสื้อของเด็กทั้งสอง

ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ

หลังจากนั้นพี่จ้าวกับเฉียวเวยจึงเริ่มคุยเรื่องสำคัญ “เจ้าจะซื้อเมล็ดข้าวฟ่างไปทำไม จะปลูกเองหรือ”

เฉียวเวยพยักหน้า

พี่จ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าปลูกข้าวไม่ดีกว่าหรือ ตอนนี้หลายคนเลิกปลูกข้าวฟ่างแล้ว มันไม่หวานเท่าอ้อย ผลผลิตไม่ดี แล้วยังจัดการพวกแมลงศัตรูพืชยากอีก”

เฉียวเวยรู้ว่าสิ่งที่พี่จ้าวพูดเป็นความจริง นางจำได้ว่าสมัยยังเด็ก นางเคยกินข้าวฟ่างหวาน เปลือกของข้าวฟ่างหวานคมมาก หากไม่ระวังก็จะบาดมือเป็นแผลยาว แต่นางชอบรสชาติเช่นนั้นมากกว่าอ้อย

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มหยุดปลูก สาเหตุก็อาจเป็นเพราะเรื่องที่พี่จ้าวพูด

แต่ที่นาดินเค็มผืนนั้นปลูกพืชชนิดอื่นไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีพืชชนิดอื่นที่ทนต่อดินเค็ม ต้นหมาหวง ต้นหลิว ต้นซิ่งล้วนปลูกได้ ทว่าหากต้องการพืชที่โตเร็ว ขายง่ายและเป็นพืชที่นางคุ้นเคย ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้วนอกจากข้าวฟ่างหวาน

เฉียวเวยจึงอธิบายว่า “แต่เดิมที่นั่นเป็นทุ่งร้าง ไม่เก็บค่าเช่า ภาษีก็ลดให้ครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าปลูกสิ่งใดก็คงไม่ขาดทุน”

เมื่อบอกเช่นนี้ พี่จ้าวจึงวางใจ “เจ้าต้องการเท่าใด”

เฉียวเวยไม่เคยปลูกตั้งแต่เริ่มมาก่อน จึงตัดสินใจไม่ถูกอยู่บ้าง “ที่ดินประมาณสิบหมู่ พี่จ้าวคิดว่าต้องใช้เท่าใดจึงจะพอ”

พี่จ้าวคิดครู่หนึ่ง “ถ้าเจ้าจะปลูกข้าวฟ่าง หนึ่งหมู่น่าจะต้องใช้สองถึงสามชั่ง หากเจ้ามีเงินมากหน่อยก็ซื้อไปสักสามสิบชั่ง ช่วงหลายปีนี้คนปลูกข้าวฟ่างน้อย เมล็ดพันธุ์ที่รับมาขายก็น้อยตาม หากโชคดีก็ตกเป็นของเจ้าทั้งหมด หากโชคร้ายขายหมดก็คงไม่มีของแล้ว”

ตอนนี้เฉียวเวยคือเศรษฐีนีน้อยผู้ครอบครองเงินสามสิบตำลึง แน่นอนว่านางไม่ขาดแคลนเงินเพียงเท่านี้ นางซื้อเมล็ดพันธุ์สามสิบชั่งอย่างใจป้ำ ใช้เงินไปหนึ่งตำลึง

โดยไม่ต่อรองราคา

แต่ไหนแต่ไรนางถือคติบุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ ตอนอยู่บ่อนพนัน พี่จ้าวพยายามช่วยนางครั้งแล้วครั้งเล่า นางจดจำความดีของเขาได้เสมอ

ก่อนจาก พี่จ้าวก็เรียกเฉียวเวยเอาไว้ “เกือบลืมเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องใดหรือ” เฉียวเวยถาม

สีหน้าของพี่จ้าวกังวลเล็กน้อย “วันนี้มีคุณชายจากเมืองหลวงไปบ่อนพนันเพื่อตามหาเจ้า เจ้าไม่รู้จักมักคุ้นกับต้าจิน อาจไม่ทราบเบื้องหลังของเขา เขามีคนหนุนหลังอยู่ในเมืองหลวง ตอนถูกจับเข้าคุกครั้งก่อน คนผู้นั้นใช้เส้นสายปล่อยตัวเขาออกมาก่อนกำหนด บางทีพวกเขาอาจแค้นเคือง มาตามหาเจ้าเพื่อชำระแค้น”

แก้แค้นเพราะเรื่องเท่านี้ ใจแคบเกินไปหน่อยแล้วกระมัง อู๋ต้าจินเป็นคนหาเรื่องนางก่อน อีกทั้งนางมิเคยใช้แผนสกปรกเล่นงานอู๋ต้าจินลับหลังสักครั้ง แม้แต่ครั้งนั้นในบ่อนพนัน นางก็อุตส่าห์อดใจไม่ใช้กลโกง

“หน้าตาเป็นเช่นไรหรือ” นางถาม

พี่จ้าวตอบว่า “เป็นคุณชายที่หล่อเหลายิ่งนัก สวมชุดสีแดง ถือพัดเล่มหนึ่ง”

อ๋อ หนุ่มหล่ออาภรณ์แดงสุดแสนสะดุดตาคนนั้น ที่เป็นสหายของหมิงซิว

เฉียวเวยอมยิ้ม “ขอบคุณพี่จ้าวที่เตือน เขามิได้มาแก้แค้น แต่มาชมเรื่องสนุก”

“เจ้ารู้จักหรือ” พี่จ้าวตกตะลึง

เฉียวเวยยิ้ม “รู้จักสหายของเขา”

กล่าวกันว่าสิ่งที่คล้ายกันมักอยู่ด้วยกัน คนพวกเดียวกันก็ย่อมอยู่ด้วยกัน คุณชายชุดแดงผู้นั้นดูเหมือนชนชั้นสูงในเมืองหลวง สหายของเขาก็คงฐานะสูงส่งไม่แพ้กัน หญิงสาวชาวบ้านางนี้กลับรู้จักคนสูงศักดิ์เช่นนั้น เห็นชัดว่านางเองก็ไม่ธรรมดา

พี่จ้าวรู้สึกโชคดีที่ตนไม่ได้เข้าข้างอู๋ต้าจิน แต่ทำด้วยความยุติธรรม ทั้งยังดูแลนางอย่างเต็มความสามารถของเขา

ไม่ว่านางจะยอมรับน้ำใจของตนหรือไม่ อย่างน้อยตัวเขาก็มิได้ทำให้นางขุ่นเคือง

หลังจากซื้อเมล็ดพืชแล้ว เฉียวเวยก็จ้างรถม้าไปส่งที่หมู่บ้าน เด็กๆ เหนื่อยจนผล็อยหลับในอ้อมแขนของเฉียวเวย วั่งซูที่เมื่อครู่โวยวายว่าไม่ต้องการพี่ชาย ตอนนี้กลับจับมือน้อยๆ ของเขาแน่น จิ่งอวิ๋นก็จับมือนางไม่ปล่อยเช่นกัน เด็กน้อยสองคนคืนดีกันเหมือนปาฏิหาริย์!

เฉียวเวยพิงรถม้าและหลับตาลงอย่างง่วงงุน

เฉียวเวยกำลังหลับสบายนัก ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ปลุกให้นางตื่น นางตกใจสะดุ้ง ลืมตาขึ้นเห็นว่าลูกน้อยในอ้อมแขนยังอยู่ดีจึงถอนหายใจอย่างโล่งใจ หลังจากนั้นนางก็เปิดม่านและพบว่ารถม้าเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว

ใต้ต้นไหวเก่าแก่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน มีคนยืนออกันอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือป้าหลัว เสียงเมื่อครู่ดังออกมาจากปากของนาง

นางคว้าคอเสื้อของหญิงชราคนหนึ่ง พูดพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟาย “เจ้าจะทิ้งไปเช่นนี้ไม่ได้นะ! ถ้าเจ้าไปลูกสะใภ้ของข้าจะทำเช่นไร”

หญิงชราคนนั้น เฉียวเวยเคยพบหน้าหนหนึ่งตอนงานเลี้ยงฉลองสอบผ่านเป็นบัณฑิตถงเซิงของน้องชายชุ่ยอวิ๋น นางคือป้าหวังจากหมู่บ้านถัดไป แล้วนางก็เป็นหมอตำแยเพียงคนเดียวในละแวกนี้

ป้าหวังเอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้าก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ! สภาพนางเป็นเช่นนั้น คลอดไม่ไหวหรอก! พวกเจ้าเตรียมจัดงานศพเสียเถิด!”