บทที่ 68 ทะลวงต่อ ติดตามพิเศษ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 68 ทะลวงต่อ ติดตามพิเศษ
หานเจวี๋ยมองเห็นตัวเลือกทั้งสามตรงหน้า กลับไม่ได้ลังเลอะไรมากนัก

ตัวเลือกที่สามครอบคลุมสองตัวเลือกแรก ชัดเจนว่าดีกว่ามาก

อีกทั้งหนทางของตัวเลือกที่สามก็เยอะกว่า

ไม่เพียงแต่จะสามารถไปแดนเซียนกับเมืองยมบาลได้ แต่อยากจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น!

เพราะอย่างนั้นหานเจวี๋ยจึงเลือกตัวเลือกที่สามทันที

[ท่านเลือกเส้นทางแห่งเซียนกระบี่หวนคืน ได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง รากวิญญาณหกสายกับมรรคกระบี่ล้วนฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด ขณะนี้สามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับพลังวิเศษ–ปราณกระบี่ฟ้าดิน]

[ปราณกระบี่ฟ้าดิน: พลังวิเศษมรรคกระบี่ หลอมปราณกระบี่ฟ้าดินในแก่นปราณ พ่นปรานกระบี่ออกมา พลังการสังหารแข็งแกร่งมาก]

พ่นปราณกระบี่?

ไม่เลวนี่ ยอดเยี่ยมไม่หยอก!

หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพอใจ

เขามองสวินฉางอันอีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “กราบตัวเป็นศิษย์ข้า ต่อไปนี้ก็ไม่อาจออกไปจากเขาลูกนี้ได้ นอกเสียจากเจ้าจะกลายเป็นเซียน เจ้ายินยอมหรือไม่”

สวินฉางอันได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

สมกับเป็นผู้มานะบำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งในต้าเยี่ยน!

[สวินฉางอันเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]

แค่ 3 ดาวเอง?

หานเจวี๋ยแอบไม่พอใจเล็กน้อย

ดูท่าเจ้าหมอนี่จะไม่ชอบผู้ชายสินะ

สวินฉางอันตอบกลับ “ศิษย์ก็แค่อยากจะปิดด่านบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอด ห่างไกลจากโลกมนุษย์ ดังนั้นถึงได้มาหาท่าน”

หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว “เจ้าหาที่นั่งฝึกฝนข้างๆ ก่อนเถอะ รอเจ้าบรรลุระดับรวมแก่นปราณแล้ว อาจารย์ค่อยถ่ายทอดวิชาเวทให้”

ได้ยินเช่นนี้ สวินฉางอันก็รีบลุกขึ้นทันที

แต่ผลปรากฏว่า พอลุกขึ้นเขาก็เกือบจะล้มลง

หานเจวี๋ยได้ยินเสียงได้เสียงข้อต่อกระดูกดังก๊อบแก๊บอย่างชัดเจน

เขาส่ายหน้าหลุดยิ้ม และไม่ได้สนใจสวินฉางอันอีก แต่กลับเริ่มสืบทอดวิชาปราณกระบี่ฟ้าดิน

……

เวลาล่วงเลยผ่านไปช้าๆ

เวลายี่สิบปีก็ผ่านไปแล้ว

หานเจวี๋ยทะลวงระดับสุญตาขั้นสี่สำเร็จ

ตั้งแต่สวินฉางอันเข้ามา พลังวิญญาณภายในถ้ำเทวาก็เพิ่มขึ้นมากจริงๆ

สวินฉางอันเองก็ทะลุระดับรวมแก่นปราณแล้ว หานเจวี๋ยให้เขาไปรับเคล็ดหยกพิสุทธิ์

หลังจากนักพรตเต๋าจิ่วติ่งกลับมา ก็ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเคล็ดหยกพิสุทธิ์ ตอนนี้สามารถฝึกฝนได้สูงสุดถึงระดับสุญตา

จากการตรวจสอบดูค่าความสัมพันธ์ หานเจวี๋ยก็สังเกตเห็นว่าในที่สุดตบะของผู้อาวุโสในสำนักหยกพิสุทธิ์ก็เริ่มก้าวหน้าขึ้นแล้ว

นอกจากวิชายุทธ์แล้ว หลังผ่านการปรับปรุงของล้ำค่าฟ้าดินมาหลายสิบปี พลังวิญญาณในสำนักหยกพิสุทธิ์ก็เพิ่มระดับขึ้นมาก พลังวิญญาณดุจดังหมอก สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ปกคลุมหมู่ยอดเขาดูราวกับแดนเซียนในตำนาน งดงามและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นสำนักฝ่ายในหรือว่าฝ่ายนอก ตบะของเหล่าศิษย์ล้วนพัฒนาขึ้นอย่างมาก สามารถที่จะพูดได้ว่าได้เสพสุขกันทั่วทั้งสำนัก

สำนักหยกพิสุทธิ์มุ่งหน้าสู่สำนักอันดับหนึ่งในต้าเยี่ยน

ในที่สุดอาการบาดเจ็บของกวนโยวกังก็หายเป็นปกติ

แต่เขาดูราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่หยิ่งยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่อีก ทั้งยังปิดด่านฝึกฝนอยู่บ่อยๆ

ที่ควรกล่าวถึงก็คือ หลายปีมานี้ระดับความประทับใจที่กวนโยวกังมีต่อหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นถึง 2.5 ดาว

หานเจวี๋ยไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแค่กวนโยวกังไม่มาก่อกวนเขาก็พอแล้ว

วันนี้เอง

เซียนซีเสวียนมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยรีบให้สวินฉางอันออกไปทันที และให้เซียนซีเสวียนเข้ามา

ได้เห็นดวงหน้างดงามของเซียนซีเสวียนกับตา สวินฉางอันก็จิตใจล่องลอยไปชั่วขณะ กระทั่งออกมานอกถ้ำแล้วก็อดรู้สึกคิดถึงนางในดวงใจขึ้นมาไม่ได้

ใจที่เงียบสงบมานานเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง

สวินฉางอันถอนหายใจเพียงครั้ง

เขาเดินไปใต้ต้นไม้ ทอดสายตามองออกไปไกลอย่างเหม่อลอย

ไม่ได้เจอเซียนซีเสวียนนาน พอหานเจวี๋ยได้เจอนางอีกครั้ง ก็ยังคงรู้สึกตื่นตะลึงในความงามเช่นเดิม

เซียนซีเสวียนเป็นสตรีสวยงามที่สุดที่เขาเคยพานพบ

โดยเฉพาะคุณสมบัติประจำตัวของนาง

มิน่าเล่า หลี่ชิงจื่อ หลี่เฉียนหลงและกวนโยวกังถึงได้ต่อสู้เพื่อนางถึงขนาดนั้น

“สหายเต๋าหาน ไม่เจอกันนานเลยนะ” เซียนซีเสวียนเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงห่างเหินกับข้าถึงเพียงนี้เล่า”

เซียนซีเสวียนถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญระดับสุญตาแล้ว สูงกว่าข้าถึงสองระดับใหญ่ๆ อีกทั้งเดิมทีข้าก็ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาให้เจ้า ไม่อาจนับว่าเป็นอาจารย์ของเจ้าได้ ระหว่างพวกเรามีสถานะกันแค่ในนามเท่านั้น หากรักษาสถานะในนามนี้ต่อไป ข้าก็ไม่อาจรับได้ มันจะขัดลาภได้ง่าย”

หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้โต้แย้งอีก

“ครั้งนี้ท่านเซียนมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

เซียนซีเสวียนเอ่ยปากกล่าว “สำนักหยกพิสุทธิ์เตรียมส่งผู้อาวุโสระดับปราณก่อกำเนิดเจ็ดท่านไปสนทนาธรรมที่แดนศักดิ์สิทธิ์เขตแก่นประจิม เจ้าไปหรือไม่”

หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าวทันที “ข้าก็ไม่ไปแล้วกัน ไม่จำเป็นสำหรับข้า”

นี่ก็คือเรื่องจริง

เซียนซีเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค

พูดคุยกันไม่นาน เซียนซีเสวียนก็จากไป

บทสนทนาของทั้งสองเป็นไปอย่างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกราวการแลกเปลี่ยนของวิญญูชนจืดดังเช่นวารี

หานเจวี๋ยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกสบายใจเป็นยิ่งนัก

อยู่กับเซียนซีเสวียน ต่อให้ไม่มีบทสนทนา จิตใจของเขาก็สงบเป็นอย่างมาก

“เขตแก่นประจิม? ก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้เจ้าเด็กนั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง”

หานเจวี๋ยพึมพำขึ้น

เขาเปิดค่าความสัมพันธ์เพื่อตรวจสอบดูจดหมาย

ผู้ที่เกิดความประทับใจต่อเขามีมากมายเกินไป ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคนของสำนักหยกพิสุทธิ์ ทำให้เขาอ่านดูจดหมายจนตาลาย

ทันใดนั้นหานเจวี๋ยก็สังเกตเห็นว่าที่ด้านข้างของรูปก็สามารถตั้งค่าติดตามพิเศษได้

เขารีบตั้งค่าคนที่เขาสนใจให้เป็นการติดตามพิเศษทันที

จากนั้นจึงเปิดจดหมายดูอีกครั้ง รายการกดติดตามพิเศษได้ปรากฏขึ้นมา

หานเจวี๋ยเลือกไปที่รายการติดตามพิเศษ ทำให้จำนวนจดหมายลดลงไปมาก

[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญร่วมสำนัก] x75

[ซูฉีศิษย์ของท่านเผชิญกับการไล่ล่าของเจ็ดสำนัก]

[นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสหายของท่านซาบซึ้งในธรรมชาติ อายุขัยเพิ่มขึ้นสามร้อยปี]

[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายมาร] x641

[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายหลัก] x377

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายหลัก] x983

[โจวฝานสหายของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ถูกสำนักย่ำหิมะจับเป็นเชลย]

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ปีศาจ] x3782

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านตระหนักในสายเลือดเทพปีศาจ ตบะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว]

……

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

ไม่ไหวแล้ว!

เพิ่งสิบกว่าปีเอง คนพวกนี้ก็ถูกโจมตีนับพันครั้งแล้ว

ที่เกินไปมากที่สุดคือเจ้าหนูหยางเทียนตง เขาถูกโจมตีถึงสามพันกว่าครั้ง

หรือตัวเลขที่อยู่ข้างหลังจะแสดงถึงจำนวนคนที่โจมตีเขา

หานเจวี๋ยคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้

ในเวลาสิบกว่าปี ไหนเลยจะเผชิญกับการโจมตีถึง 3,782 ครั้งได้!

มันเกินจริงไปแล้ว!

ผู้ใดกันจะแบกรับไหว

หยางเทียนตงทำอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดออกไปแล้วถึงไม่กลับมาสักที

เป็นราชาปีศาจแล้วก็เลยไม่อยากจากไปอย่างนั้นหรือ

หรือว่าจะกลายเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์แล้ว จะเป็นประมุขเผ่าปีศาจหรืออย่างไร

พอเห็นว่าหยางเทียนตงตระหนักในสายเลือดเทพปีศาจแล้ว หานเจวี๋ยก็วางใจลง

เจ้าเด็กนี้ไม่ตายง่ายๆ!

ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก

ยังมีโจวฝาน…

ตัวเอกผู้นี้กลับถูกจับเป็นเชลยแล้ว ไม่ได้เรื่องจริงๆ เลย!

แล้วสำนักย่ำหิมะคือสำนักอะไร

เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

หรือว่าจะไม่ใช่สำนักในแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยน

ขณะที่หานเจวี๋ยครุ่นคิด ตาก็ดูจดหมายไปด้วย

ยิ่งเลื่อนลงไปดูด้านล่างเรื่อยๆ มรรคจิตของเขาก็ยิ่งแน่วแน่

ฝึกฝนอยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์อย่างสบายใจเห็นจะดีกว่า

……

ยามดวงตะวันใกล้จะลาลับ

อาทิตย์อัสดงดังโลหิต ท้องนภามืดหม่น

ท่ามกลางหมู่เขา ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขี่กระบี่เหินเวหาอยู่บนฟ้า เป็นภาพฉากที่อลังการยิ่งนัก

เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายต่างจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่ง

เห็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่บนเนินเขา

เขาก็คือซูฉีนั่นเอง

ใบหน้าของซูฉีเต็มไปด้วยโลหิต ผมเผ้ารุงรัง ดูกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก

เขากัดฟันกรอด และมองดูรอบด้านกับศัตรูที่อยู่กลางอากาศ

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่บนกระบี่บินชี้นิ้วมาทางซูฉี ตะคอกขึ้นด้วยความโมโห “เจ้าคนชั่วช้า เจ้าจะหนีไปไหน! วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”

ผู้บำเพ็ญคนอื่นก็พากันตะโกนด่าทอเขาไปตามๆ กัน

ที่ซูฉีถูกตามล่าสังหารนั้น เป็นเพราะว่าสมบัติบนตัวเขามีมากเกินไป

หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เขาสังหารผู้บำเพ็ญไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ของล้ำค่าเหล่านั้นล้วนถูกเขาเก็บไปหมด ก่อนหน้านั้นไม่นานเขาแสดงความมั่งคั่งของตัวเองในงานประมูลโดยไม่ตั้งใจ จึงได้ถูกคนจับจ้อง และเขาก็สังหารคนผู้นั้นไป แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมีสถานะไม่ธรรมดา

ผู้อาวุโสของผู้ตายมาตามไล่สังหารเขา ขณะที่ชีวิตของซูฉีแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น โชคดีที่อาจารย์ในใจของเขาช่วยไว้ และแอบช่วยเขาสังหารผู้อาวุโสท่านนั้น

เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ไม่จบไม่สิ้น นับวันยิ่งทวีความร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

แหวนเก็บสมบัติของซูฉีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัญหาที่ตามมาก็มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ครั้งนี้สำนักเจ็ดฝ่ายร่วมมือกัน ตั้งมั่นว่าจะต้องสังหารเขาให้จงได้

ซูฉีมีตบะเพียงแค่ระดับรวมแก่นปราณ ไหนเลยเขาจะสามารถลุยสังหารได้

เมื่อเห็นผู้บำเพ็ญเหล่านี้เตรียมสำแดงวิชาเวทโจมตีเขาพร้อมกัน ซูฉีก็จะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหว “อาจารย์! รีบช่วยข้าด้วย!”

……………………………………….