เฉินลั่วนอนอ่อนแรงไปทั้งร่างอยู่ในผ้าห่ม มองแสงแห่งค่ำคืนที่ค่อยๆ ถูกอาบย้อมให้เป็นสีขาวด้วยลำแสงรุ่งอรุณทีละนิดๆ

บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลานั้นเขาเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ประกอบกับอยากพูดคุยกับใครสักคนแต่ก็หาตัวเลือกที่เหมาะสมไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียวกระมัง

เฉินลั่วหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองอยู่ในใจ

เขาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ รู้สึกว่าตัวเองเริ่มปวดศีรษะตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินอวี้บ่าวชายคนสนิทของเขาเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า เรียก ใต้เท้า เบาๆ เสียงหนึ่งเป็นการหยั่งเชิง

นับตั้งแต่เฉินลั่วมีตำแหน่งในราชสำนักเป็นต้นมา ก็ไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกเขาว่า ‘คุณชาย’ อีก คนข้างกายเขาล้วนเปลี่ยนคำเรียกขานตามที่เขาต้องการ ยกเว้นแต่คนแก่ๆ ในจวนเจิ้นกั๋วกง

พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของเฉินอวี๋มากกว่า

เฉินลั่วไม่ขยับ

เฉินอวี้คิดครู่หนึ่ง กำลังจะหมุนกายจากไป

เฉินลั่วกล่าว เจ้ากลัวส่งเสียงดังทำให้ข้าตื่นแล้วจะมีประโยชน์อะไร ข้าไม่ไปฟังท่านกั๋วกงอบรมที่ห้องหนังสือของเขาได้อย่างนั้นหรือ

ข้างกายเขามีบ่าวชายคอยปรนนิบัติรับใช้เรื่องในชีวิตประจำวันของเขาอยู่หลายคน หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เฉินอวี้จะไม่มาเรียกเขาด้วยตัวเอง

เฉินอวี้ยืนนิ่ง ดวงหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เฉินลั่วได้แต่รู้สึกหนาวเหน็บในใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย

เขาลุกขึ้น สั่งการเฉินอวี้อย่างเหนื่อยอ่อนว่า ให้พวกเขาตักน้ำเข้ามาปรนนิบัติข้าเปลี่ยนอาภรณ์เถอะ!

เฉินอวี้ก้มศีรษะด้วยดวงตาขุ่นแค้นแทนเจ้านายออกจากประตูไป

เฉินลั่วขดตัวอยู่บนหัวเตียงคิดถึงเรื่องที่เฉินเจวี๋ยกลับมาที่บ้าน ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดธารความคิดกลับเลี้ยวไปหาหวังซีได้

เด็กสาวผู้นั้นมีดวงตาที่พูดได้คู่หนึ่งจริงๆ รู้ว่าเฉินเจวี๋ยวิ่งมาโหวกเหวกส่งเสียงดังที่ศาลากวางร้องยังเผยสีหน้าไม่สบายใจออกมาให้เห็น แต่บิดาของเขากลับไม่เคยถามเขาอย่างละเอียดมาก่อนเลยว่าเหตุใดเขาถึงทะเลาะกับพี่สาวคนโตของบ้าน แม้แต่เพื่อนบ้านคนหนึ่งพ่อของเขาก็ยังสู้ไม่ได้

บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ตอนนั้นเขาวางความระแวดระวังตัวลงอย่างกะทันหัน?

เฉินลั่วคิด หลังจากล้างหน้าล้างตารอบหนึ่งแล้ว ตามเฉินอวี้ออกจากประตูไป

เวลายังเช้า เพียงแต่ว่าดูจากสีท้องฟ้าแล้วไม่ค่อยดีนัก ลำแสงรุ่งอรุณบางเบาที่ซ่อนตัวอยู่ทางทิศตะวันออกนั่นเผยตัวออกมาให้เห็นเพียงหนึ่งเส้นเท่านั้น ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย คล้ายจะมีฝนตกลงมาก็ไม่ปาน

ระหว่างเดินผ่านตัวเรือนแถวตะวันออกของจวนจ่างกงจู่ เขาอดถามไม่ได้ว่า จ่างกงจู่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเลยหรือ

ว่า…ว่าแล้วขอรับ! เฉินอวี้กล่าว แต่นิสัยของท่านกั๋วกงนั้นท่านก็ทราบดี จ่างกงจู่ไม่ช่วยพูดให้ท่านยังดี หากนางช่วยพูดให้ท่าน ท่านกั๋วกงจะต้องตำหนินางไปด้วยเป็นแน่ จ่างกงจู่ก็เลยแล้วแต่ท่านกั๋วกง อย่างไรเสียท่านกั๋วกงก็ไม่กล้าตีท่านเหมือนสมัยท่านเป็นเด็กแล้ว…

…ตอนนี้ท่านโตแล้ว เป็นนายทหารขั้นสามบน ไม่แน่ว่าวันใดอาจได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ หากเขากล้าแตะต้องท่าน ฮ่องเต้ย่อมทรงตำหนิเขาแน่…

…ท่านกั๋วกงอารมณ์ไม่ดี อยากอบรมว่ากล่าวท่าน ก็ให้เขาต่อว่าให้พอใจเถิด ท่านมิได้สูญเสียเนื้อหนังสักชิ้น!…

…ปล่อยให้ท่านกั๋วกงพูดจนพอใจ พอคลายความโกรธลงแล้ว เรื่องนี้ก็จะผ่านพ้นไปเอง!

เฉินอวี้รู้ปมในใจของเขาดี ตั้งใจปลอบโยนเขา ทว่าไม่มีหลักการ จึงทำให้เฉินลั่วรู้สึกว่าตัวเองยิ่งน่าสงสารแทน

เฉินลั่วนึกถึงหวังซีขึ้นมาอีกครั้ง

นางกล่าวคำพูดประจบประแจงคนได้อย่างจริงใจและน่าฟัง

หากนางอยู่ที่นี่ ต้องเอาเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจมาพูดได้อย่างมีสีสัน สวยงามประหนึ่งผ้าไหมถักทอลายงดงาม ทั้งไม่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ และหยอกเย้าให้เขาเบิกบานใจได้ด้วย

นี่อาจเป็นความสามารถที่ต้องเป็นบุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าถึงมีได้

กล่าวได้ว่าการหลอกล่อเอาเงินจากกระเป๋าของผู้อื่นไปไว้ในกระเป๋าของพวกเขา ก็มิใช่เรื่องง่ายดายเลย

เมื่อคิดเช่นนี้ การที่กูไหน่ไนรองของจวนหย่งเฉิงโหวแต่งเข้าสกุลหวังก็อาจเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

อย่างน้อยบุตรที่ให้กำเนิดออกมาก็เป็นคนสดใสร่าเริงมองโลกในแง่ดี เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ไม่เหมือนคนอื่นๆ ของตระกูลฉังที่เสแสร้งน่าเบื่อหน่าย

เฉินลั่วพยักหน้า เข้าจวนเจิ้นกั๋วกงไป

***

เพียงไม่กี่วัน เรื่องของเฉินเจวี๋ยก็แพร่กระจายออกมา

ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินลอบพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างเงียบๆ นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าถามโหวฮูหยินอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า เจิ้นกั๋วกงลงมือตีเฉินลั่วจริงๆ หรือ ปีนี้เขาอายุสิบเก้า ใกล้สวมกวนแต่งภรรยาแล้ว นี่ช่างเป็นการทำลายหน้าตาของบุตรเกินไปแล้ว!

ถูกต้องที่สุดเจ้าค่ะ! โหวฮูหยินเองก็ทอดถอนใจเล็กน้อย ถอนใจกล่าวว่า ว่ากันว่ารบกวนไปถึงในวังหลวง นอกจากฮองเฮาเหนียงเหนียงจะให้กงกงมากความสามารถข้างวรกายพาคนของสำนักหมอหลวงมาตรวจดูอาการแล้ว ฮ่องเต้เองก็ทรงเรียกเจิ้นกั๋วกงไปสอบถามที่ห้องถวายฎีกาด้วย ท่านว่าหญิงสาวดีๆ ผู้หนึ่งอย่างเฉินเจวี๋ย เหตุใดถึงไม่รู้จักอดทนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากันนะ…

…ไม่ต้องพูดถึงเรื่องส่งบุตรเขยติงไปเฉิงโจวว่าเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ทางด้านโน้นมีโจรสลัดแคระ[1] ฮ่องเต้มีพระประสงค์ส่งเสริมให้เขามีผลงาน จึงไม่เกี่ยวข้องกับเฉินลั่วเลย แต่ต่อให้เรื่องนี้เป็นเฉินลั่วที่ลงมืออยู่เบื้องหลัง เจ้าเป็นบุรุษใหญ่ผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ที่สอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหาร แรกเริ่มตอนหมั้นหมายกันนั้นเจิ้นกั๋วกงยังให้คำมั่นอย่างขึงขังว่าเขาเป็นบุรุษที่ดีผู้หนึ่ง ถึงเวลาเจ้าจัดการโจรสลัดแคระได้แล้ว ผู้ใดจะกล้าพูดว่าเจ้าทำไม่ถูกต้องได้?…

…การให้ภรรยากลับมาหาเรื่องน้องชายของตัวเองเช่นนี้ อย่างไรก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้กระมัง…

…นางสู้ตอนเป็นเด็กไม่ได้จริงๆ!…

…หลายปีมานี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งถดถอยลงเรื่อยๆ แล้ว!

เพราะฉะนั้นถึงได้กล่าวกันว่า บุตรสาวคนโตที่ไร้ซึ่งมารดานี้ไม่อาจแต่งด้วยได้ ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วส่ายศีรษะไม่หยุด แม้แต่คนอย่างจ่างกงจู่ยังไม่อาจอบรมสั่งสอนนางได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อื่นแล้ว

ขณะที่กล่าว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า แล้วตอนนี้เฉินลั่วเป็นอย่างไรบ้าง ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงรับตัวไปอยู่ในวังหลวงหรือเปล่า หรือว่าพักฟื้นอยู่ที่บ้าน? มิใช่ว่าเจ้าสามของบ้านรองเคยติดหนี้บุญคุณเขาหรอกหรือ ให้เจ้าใหญ่กับเจ้าสามไปด้วยกัน นำของบำรุงไปเยี่ยมเยียนสักหน่อยถึงจะถูก…

…ให้เจ้าสี่ตามไปด้วยเป็นดีที่สุด…

…เขาอายุไม่น้อย ใกล้จะต้องแต่งงานแล้ว หากทำให้เฉินลั่วช่วยแนะนำหน้าที่การงานให้สักงานหนึ่งได้ก็คงดี…

…ด้านจวนเซียงหยางโหวนั้นไม่มีหวังแล้ว ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาอยากให้คุณชายสี่ของพวกเขาไปกองพลทองคำ ก็ถูกกรมกลาโหมปฏิเสธอย่างสุภาพมาแล้ว บอกว่าเป็นเพราะทุกกองพลล้วนต้องใช้ทหาร ช่วงนี้กองพลส่วนพระองค์ยังไม่รับคน ต้องรอสงครามสงบลงก่อนค่อยว่ากันอีกที…

…แต่ข้าคิดว่า เรื่องประเภทนี้ก็เหมือนการต่อแถว บอกกล่าวล่วงหน้าเอาไว้ก่อนสักคำอย่างไรก็ย่อมดีกว่าหาคนช่วยจัดการให้ในนาทีสุดท้าย…

…เจ้าเองก็ต้องเอาใส่ใจสักครั้งถึงจะถูก

โหวฮูหยินเห็นฮูหยินผู้เฒ่าใส่ใจบุตรชายของตัวเอง ย่อมอารมณ์ดีเป็นธรรมดา กล่าวยิ้มๆ ว่า เฉินลั่วพักฟื้นอยู่ที่จวน! ที่ท่านบอกมาข้าล้วนจำเอาไว้แล้ว ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า กระทั่งหวังซีและคนอื่นๆ มาคารวะนาง นางยังคงกล่าวถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การแต่งงานครั้งที่สองล้วนสู้การแต่งงานแรกไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสมรสพระราชทานอีก ดูเฉินลั่วก็รู้ เป็นเด็กดีมากผู้หนึ่ง แต่คนเป็นพ่อไม่ชอบ คนเป็นแม่ก็ทำอะไรไม่ได้ หากคนเป็นเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ยังไม่สนใจ ไหนเลยจะมีทางเดินให้ชีวิตได้!

ซือจูไม่เห็นด้วย กล่าวว่า หากข้ามีลุงอย่างฮ่องเต้คอยดูแล ข้ายอมให้ท่านพ่อข้าตีทุกวัน ท่านดู พอเจิ้นกั๋วกงลงมือ เฉินลั่วไร้ความดีความชอบ ก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารส่วนกลางแล้ว การที่เขาถูกตีครั้งนี้ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่ปรารถนาอยากได้แต่ไม่ได้มา!

ไม่ต้องพูดถึงหวังซี แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ชอบน้ำเสียงการพูดของนาง ขมวดคิ้วมุ่นกล่าวว่า เจ้าเด็กคนนี้ พูดเหลวไหลอะไรกัน ผู้ใดจะอยากมีเรื่องบาดหมางกับบิดาของตัวเอง ผู้ใดจะอยากถูกทุกคนมองเป็นเรื่องขบขันเหมือนดูงิ้วเช่นนี้ ถ้อยคำนี้ของเจ้าพูดแค่ในบ้านก็พอ อย่าเอาไปพูดต่อหน้าคนนอกเป็นอันขาด หาไม่ผู้อื่นจะคิดว่าเจ้าจิตใจแข็งกระด้าง ซึ่งมิใช่เรื่องดีอะไร

ปากซือจูกล่าว ทราบแล้วเจ้าค่ะ ก็จริง ทว่าสีหน้ากลับเป็นการทำไปอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่ามิได้เก็บเอาคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ามาใส่ใจ แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นคนที่เคยกอดกระบอกเก็บลูกธนูของเฉินลั่วยืนอยู่กลางหิมะมาก่อน

จากนั้นนางถามถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาอย่างฉุนเฉียวเล็กน้อย องค์หญิงฟู่หยางบอกว่าจะมาเป็นแขกที่บ้านในวันที่ยี่สิบสี่เดือนหก งานเลี้ยงของที่บ้านในครั้งนี้ต้องเริ่มเตรียมการแล้วกระมัง

ก่อนหน้านี้ซือจูคิดว่าการย้ายเข้าสวนร่มหลิวเป็นเรื่องง่ายดาย คิดไม่ถึงว่า หวังซีไม่ส่งเสียงโวยวายใดๆ ทว่ากลับกีดกัดนางไว้นอกประตูอย่างไม่โอนอ่อน

ฮูหยินผู้เฒ่าอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้

หวังซีทำเป็นมองไม่เห็น

ถ้าฮูหยินผู้เฒ่ากล้าเอ่ยเรื่องขอยืมสวนร่มหลิวกับนาง นางก็กล้าเอ่ยเรื่องย้ายออกเช่นกัน

แน่นอน ต่อให้นางย้ายออกไป ซือจูอยากเข้าไปอยู่ เกรงว่าก็ต้องใช้ความพยายามสักหน่อย

มองจากมุมของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ยามพี่สาวน้องสาวในบ้านมีเรื่องยากลำบาก เจ้ายืมกระโปรงของข้าตัวหนึ่ง ข้าก็ยืมเครื่องประดับเจ้าชิ้นหนึ่ง นี่เป็นการแบ่งปันธรรมดาระหว่างพี่สาวน้องสาว แต่นับตั้งแต่ที่ซือหมัวมัวคอยทอดถอนใจกล่าวข้างหูนางบ่อยๆ ว่าซือจูกตัญญูสู้หวังซีไม่ได้เป็นต้นมา นางก็รู้สึกไม่ค่อยอยากสนใจเรื่องของซือจูแล้ว

นางกล่าว หรือว่า ข้าให้คนไปทำความสะอาดลานหลังของจวนตระกูลซือ เจ้าใช้ที่นั่นรับรององค์หญิงฟู่หยางดีหรือไม่ ที่นั่นนอกจากจะกว้างขวางแล้ว ยังไม่มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย น่าจะสะดวกกว่า!

ซือจูโกรธจนไม่ตอบอะไรไปครู่ใหญ่

จวนตระกูลซือกว้างขวางกว่าจวนหย่งเฉิงโหวแล้วก็ไม่มีคนคอยกำกับควบคุมจริงๆ แต่การจะทำความสะอาดที่นั่นหากไม่มีบ่าวไพร่ร้อยกว่าคนและใช้เวลาสามถึงห้าวันแล้วละก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้จวนตระกูลซืออยู่เขตหวงหวา ประตูฉงเหวินทางด้านโน้น ออกไปอีกนิดก็เป็นชานเมืองฝั่งตะวันออกแล้ว ด้านข้างล้วนแล้วแต่เป็นผืนนา เทียบกับจวนหย่งเฉิงโหวแล้วที่หนึ่งอยู่ทิศตะวันตกอีกที่หนึ่งอยู่ทิศตะวันออก คล้ายออกจากเมืองไปชนบทก็ไม่ปาน

จะเหมือนกันได้อย่างไร

สีหน้าของนางไม่น่าดูยิ่ง สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของโหวฮูหยิน

โหวฮูหยินเพียงทำเป็นมองไม่เห็น

คุณหนูพานกลับลุกขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน

นางกล่าวอย่างเอียงอายว่า หรือก็รับรององค์หญิงฟู่หยางที่สวนร่มวสันต์ดีหรือไม่

เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ที่ไหน โหวฮูหยินโพล่งออกมา

คุณหนูพานกล่าวยิ้มๆ ว่า อยู่รบกวนท่านป้าและฮูหยินผู้เฒ่าที่นี่มานาน ข้ากับพี่ชายหารือกันแล้ว ช่วงนี้กำลังดูบ้านตามที่ต่างๆ กันอยู่ หากหาหลังที่เหมาะสมได้แล้วพวกข้าจะย้ายออกไปอยู่ระยะหนึ่งก่อน จะได้ถือโอกาสเป็นเจ้าบ้าน เชิญท่านป้า ฮูหยินผู้เฒ่าและพี่สาวน้องสาวทั้งหลายไปเป็นแขกสักครั้ง ดื่มน้ำชากันสักถ้วย

นี่ต่างหากคือหลักของการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างญาติพี่น้อง!

หวังซีลอบชูนิ้วโป้งให้คุณหนูพานอยู่ในใจ

โหวฮูหยินกลับเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็รู้สึกว่าซือจูบีบคั้นผู้คนเกินไปแล้ว

ซือจูขมขื่นแต่พูดออกมาไม่ได้ ถลึงตาทั้งคู่ใส่คุณหนูพาน ดูดุร้ายยิ่งนัก

หวังซีลอบยิ้มไม่หยุด จึงทำตัวเป็นคนใจกว้างด้วยอีกคน กล่าวยิ้มๆ ว่า คุณหนูพานกล่าวเช่นนี้ เป็นการเตือนสติข้าด้วยแล้ว ข้าว่า คุณหนูพานก็อย่าเพิ่งรีบย้ายออกไปเลย ที่พี่ชายของเจ้าต้องเช่าบ้านอยู่ข้างนอก โดยมากก็เพราะอยากหาสถานที่สำหรับให้เจ้าออกเรือนสักที่หนึ่ง คราวก่อนข้าได้ยินโหวฮูหยินกล่าวว่า กำหนดงานแต่งของคุณหนูพานกับตระกูลหลิวคือปีหน้า จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเวลานี้…

…ข้าว่าข้าย้ายเข้าสวนร่มหลิวก่อนกำหนดดีกว่า…

…แม้นกล่าวว่าสวนร่มหลิวยังซ่อมแซมได้ไม่เรียบร้อยดี แต่ทาสีสักหน่อยก็เข้าไปอยู่ได้แล้ว ส่วนสวนหิมะงามทางด้านนั้น ไม่ไกลจากเรือนเจ้าบ้าน ข้าย้ายออกไปเพียงต้องทำความสะอาดสักหน่อยก็เข้าอยู่ได้แล้ว ข้าว่า ข้าย้ายไปอยู่สวนร่มหลิวน่าจะสะดวกกว่า ทุกคนจะได้ไม่ต้องโยกย้ายสถานที่กันทั้งหมด!

ทุกคนต่างขบคิดพิจารณาอยู่ในใจ

นี่ย่อมดีที่สุดแล้ว

ย้ายหวังซีเพียงคนเดียว ก็แก้ปัญหาทั้งหมดที่มีได้

ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวซือจูไม่ยินยอม รีบกล่าวว่า ข้าว่าเช่นนี้ดี!

โหวฮูหยินเองก็ไม่อยากให้คุณหนูพานต้องได้ชื่อว่าสละที่ให้ผู้อื่นเลยต้องย้ายออกไป เช่นนั้นต่อไปนางที่เป็นอาหญิงผู้นี้จะมองหน้าคนจากบ้านเดิมได้อย่างไร

จำต้องทำผิดต่อคุณหนูสกุลหวังแล้ว! นางกล่าวอย่างจริงใจ หากทางด้านโน้นเจ้าขาดเหลืออะไรก็บอกข้า ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง!

หวังซียิ้มแย้มพยักหน้า แล้วก็ได้รับการชื่นชมจากคนจวนหย่งเฉิงโหวทั้งบนและล่างอีกคำรบใหญ่

แต่ไป๋กั่วและอีกสองสามคนยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อกลับมาถึงสวนหิมะงาม มองลานบ้านที่พวกนางจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้นไม้ดอกไม้งอกงามอุดมสมบูรณ์ และมองบ้านที่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราแล้ว กล่าวอย่างไม่ยินยอมว่า พวกเราจะย้ายออกไปเช่นนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ

แน่นอนว่าไม่ใช่! หวังซียิ้มกล่าว พวกเราจะย้ายบ้าน ก็ย่อมต้องย้ายของของพวกเราไปด้วย!

ไป๋กั่วและคนอื่นๆ เข้าใจเรื่องราวขึ้นมา พากันป้องปากหัวเราะ

เรือนครัวนั้นพวกนางเป็นคนสร้างเพิ่มเข้ามา ห้องหนังสือพวกนางก็เป็นคนจัดเอง ตอนนี้พวกนางกำลังจะไปแล้ว อย่างไรก็ต้องจัดสถานที่ให้กลับไปสู่สภาพเดิมให้ผู้อื่นด้วย!

ไร้ของพวกนี้แล้ว เมื่อคนขององค์หญิงฟู่หยางมาถึง เกรงว่าแม้แต่ห้องน้ำชาสักห้องหนึ่งก็ไม่รู้จะตั้งตรงไหนดีกระมัง

ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ไปเก็บข้าวของกันอย่างเบิกบานมีความสุข

หวังซีกลับครุ่นคิด ตอนนี้เฉินลั่วพักฟื้นอยู่ที่บ้าน นางควรจะส่งของอะไรไปให้ดี

……………………………………………………………………..

[1] โจรสลัดแคระ โจรสลัดญี่ปุ่น

ตอนต่อไป