ตอนที่ 345 – พุทธและเต๋า
“ผู้อาวุโสโม่ สรุปว่าท่านอายุเท่าไหร่เจ้าคะ”
โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ กูเหนียงน้อยสกุลลวี่ลวี่ชยงอิงที่เท้าคางมองนาง ถามอย่างนี้ขึ้นมาปุบปับ
โม่เทียนเกอลืมตา ยิ้มบาง ๆ “ทำไมถามคำถามนี้เล่า”
ลวี่ชยงอิงเอียงคอ สายตาฉงน “ข้ารู้สึกว่าผู้อาวุโสดูเยาว์วัย ไม่คล้ายกับเป็นเพราะกินโอสถประเภทรักษารูปโฉม แต่ท่านปู่บอกว่า ผู้อาวุโสสร้างฐานพลังขั้นปลายแล้ว ไม่แน่ว่าจะยังอายุมากกว่าเขาอีก……”
กูเหนียงน้อยคนนี้คำพูดเยี่ยงนี้ถึงกับยังพูดออกมาได้ บริสุทธิ์ไร้เดียงสาหรือไร
โม่เทียนเกอเหลือบมองนาง เอ่ยว่า “เจ้าช่างสายตากระจ่างชัดนัก สามารถแยกแยะได้ด้วยหรือว่าคนอื่นเคยกินโอสถรักษารูปโฉมหรือไม่”
ลวี่ชยงอิงแตะศีรษะอย่างขัดเขิน “ผู้อาวุโสอย่าได้เห็นว่าประหลาดไปเลยเจ้าค่ะ ในยามปกติข้าพบเห็นท่านป้าท่านยายหลายท่าน รู้สึกเสมอว่าถึงรูปลักษณ์จะอ่อนเยาว์ การกระทำกลับไม่เป็นธรรมชาติมาก……แต่ผู้อาวุโสสักนิดก็ดูไม่ออก!”
นั่นก็แน่นอน ถึงโม่เทียนเกอจะเคยกินยารักษารูปโฉม แต่นางเพิ่งจะร้อยปี ด้วยอายุขัยของผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เดิมก็เป็นคนหนุ่มสาว
แต่นางเพียงยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็เคยกินยารักษารูปโฉมนะ ปัจจุบันนี้เกินร้อยปีแล้ว เพียงแค่ว่าอายุขัยยังเหลือเกินครึ่ง ดังนั้นเจ้าจึงดูไม่ออกก็เท่านั้นเอง”
“อ้อ เป็นอย่างนี้เอง……” ลวี่ชยงอิงหมดความสนใจ สายตากลอกวูบ กลับเริ่มไล่ถามอย่างกระตือรือร้นว่า “ผู้อาวุโสเคยไปสถานที่มากมายเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ มีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างเจ้าคะ”
คำถามนี้ทำให้โม่เทียนเกอชะงักไปหน่อย นางคิดแล้วเอ่ยว่า “ตอนข้าเป็นเด็กติดตามท่านอาท่องไปทั่วหล้า ถึงสถานที่ที่เคยไปจะมากมาย แต่เวลานั้นระดับการฝึกตนยังต่ำ ทุก ๆ วันล้วนคิดแต่จะหาศิลาวิญญาณมาฝึกตนให้พอ ไหนเลยจะมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจ หากสามารถฝึกตนอย่างปลอดภัยมั่นคง มีศิลาวิญญาณไปซื้อโอสถกิน ก็พึงพอใจมากแล้ว”
ลวี่ชยงอิงฟังแล้วกะพริบตา “ที่แท้แต่ก่อนผู้อาวุโสลำบากอย่างนี้หรือ……”
“นี่นับว่าลำบากอะไรเล่า ท่านอาข้าถึงอย่างไรเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง พวกเราสองคนยังมีสถานที่ที่สามารถพักอาศัย นับว่าไม่เลวมากแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนเล็ก ๆ มากมายที่คิดจะเช่าถ้ำพำนักที่มีพลังวิญญาณยังไม่ง่ายดาย……” พูดถึงตรงนี้ นางคิดถึงเรื่องไม่ยุติธรรมมากมายที่เคยพบเห็นกับท่านอารองในปีเหล่านั้น อดตะลึงลานไปไม่ได้ สุดท้ายถอนหายใจ “ผู้ฝึกตนอิสระไม่ง่ายเลย……”
นางไม่ได้คิดถึงเรื่องราวเหล่านี้มานมนามแล้ว ปัจจุบันนี้ระดับการฝึกตนนางสูงส่งลึกล้ำ ศักดิ์ฐานะไม่สามัญ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ที่ดิ้นรนอยู่ชั้นต่ำสุดของโลกฝึกเซียนในปีนั้นอีกแล้ว ปัจจุบันนี้หวนคิดขึ้นมากลับยิ่งคิดถึงท่านอารองมากขึ้นเรื่อย ๆ หากท่านอารองสามารถมองเห็นวันนี้จะดีแค่ไหน
ดึงความคิดกลับมาจากในความทรงจำ นางเหลือบมองยาโถวน้อยนางนี้ จู่ ๆ หัวเราะขึ้นมา เอ่ยช้า ๆ ว่า “ข้ารู้ว่าท่านปู่เจ้าส่งเจ้ามาทำอะไร เจ้าที่เป็นกูเหนียงน้อยที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์โลกอย่างนี้มาทำเรื่องเช่นนี้เลี่ยงไม่ได้ที่จะลำบากเจ้าจนเกินไป ช่างเถอะ จะพูดตรง ๆ กับเจ้านะ หากข้าอยากจะทำร้ายสกุลลวี่ของพวกเจ้า ด้วยระดับการฝึกตนของข้าไม่จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นมีมารยาทเลย แน่นอนว่า การผูกมิตรกับพวกเจ้า ข้ามีแผนการจริง ๆ ในเมื่อพูดกันเข้าใจแล้ว มิสู้พูดกันตรง ๆ จะดีกว่า”
ลวี่ชยงอิงเห็นว่าสายตาของนางถึงจะสงบนิ่งแต่กลับซ่อนความแหลมคม จึงได้ตกตะลึงอยู่ในใจ ท่านปู่เรียกนางมาคืออยากจะทดสอบจริง ๆ ว่าผู้อาวุโสโม่ท่านนี้มีแผนการอื่นหรือไม่ หากว่าไร้แผนการ เช่นนั้นก็ฉวยโอกาสให้นางชี้แนะอย่างสองอย่าง หากว่าน่าสงสัย เช่นนั้นสกุลลวี่ก็ควรเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ หน่อย
นางฉลาดเฉียบแหลมมาแต่เด็ก ในสกุลได้รับความรักทะนุถนอมเสมอมา รู้สึกว่าตนเองแกล้งทำเป็นไร้เดียงสาน่าจะหลอกลวงผู้อาวุโสท่านนี้ได้ง่ายมาก แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองสุดท้ายแล้วเพียงแค่สิบเจ็ดปี ไหนเลยจะเทียบได้กับผู้อาวุโสที่มีชีวิตมาเป็นร้อยปีท่านนี้? นางในขณะนี้เสียใจภายหลังนิด ๆ ผู้อาวุโสท่านนี้หากมีจิตใจชั่วร้ายอะไรขึ้นมาจริง ๆ นางที่แค่หลอมรวมพลังวิญญาณขั้นเจ็ด ไหนเลยจะรักษาชีวิตไว้ได้?
“ผู้……ผู้อาวุโส……”
โม่เทียนเกอยิ้มบาง ๆ ยังคงเป็นมิตรอย่างเมื่อครู่ “เจ้าก็ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้วางแผนใส่สกุลลวี่ของพวกเจ้าอะไรหรอก เพียงจะถามเรื่องราวสักหน่อยเท่านั้น หากเจ้าตอบได้ดี ข้าก็จะไป”
“ผู้อาวุโส!” ได้ยินวาจานี้ ลวี่ชยงอิงลนลานขึ้นมาหน่อย ท่านปู่สั่งการมาว่าขอเพียงผู้อาวุโสท่านนี้ไม่คิดร้ายจะต้องรั้งตัวเอาไว้ ถึงอย่างไรพวกเขายากนักที่จะได้พบผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นปลาย!
โม่เทียนเกอไม่หวั่นไหว ยกมือขึ้นขัดคำพูดของนาง แล้วกล่าวว่า “เจ้าตอบดี ๆ หากพึงพอใจ ข้าย่อมจะมอบของดีให้เจ้าบ้าง”
ลวี่ชยงอิงรีบกลืนคำพูดตามหลังกลับไป ถึงในใจจะลนลาน แต่นางก็ทราบว่าตนเองไม่อาจตอแยผู้อาวุโสท่านนี้ อีกทั้งอีกฝ่ายยังสัญญาว่าจะมอบของดีให้นาง……
“ผู้อาวุโสอยากถามอะไรเจ้าคะ ผู้เยาว์หากรู้แล้วจะต้องบอกแน่” เวลานี้ ท่าทีของลวี่ชยงอิงเคารพนอบน้อม สลัดน้ำเสียงกูเหนียงน้อยที่ไร้เดียงสาอย่างจงใจเมื่อครู่ไป คล้ายกับท่าทางของผู้ฝึกตนแล้ว
โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางเป็นอย่างนี้ยังดูรื่นตาหน่อย จึงยิ้มขึ้นมา ยังคงเอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “เจ้าบอกสถานการณ์โดยทั่วไปของอวิ๋นจงมาก่อนเถิด”
ในดวงตาลวี่ชยงอิงเกิดแววฉงนวูบผ่าน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้วเกิดเรื่องอันใด แต่ยังกล่าวว่าสัตย์ซื่อว่า “ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสโม่อยากรู้อะไรเจ้าคะ”
“สำนัก, เส้นเลือดวิญญาณ, อาณาจักร…… จะอะไรก็ล้วนพูดมาให้หมด” โม่เทียนเกอเอ่ยว่าชืดชา “เจ้ารู้เท่าไหร่ก็พูดเท่านั้น พูดมาก ข้าก็ตกรางวัลให้มาก” ว่าแล้วนางล้วงมือเข้ากระเป๋าเอกภพ หยิบขวดหยกหนึ่งใบออกมา โยนให้ลวี่ชยงอิง
ลวี่ขยงอิงรับมา เปิดออกดู ถึงกับเป็นยารวบรวมปราณ เต็มทั้งขวดมีเป็นสามสิบห้าสิบเม็ด!
นางลิงโลดอยู่ในใจ ถึงแม้นางจะเป็นผู้เยาว์ที่ได้รับความเมตตาที่สุดของสกุลลวี่ ในยามปกติสิ่งที่กินก็เป็นยาฟื้นฟูปราณ ยารวบรวมปราณทุกปีก็ได้รับเพียงหนึ่งขวดเล็ก ประมาณห้าเม็ดเท่านั้น ผู้อาวุโสโม่ท่านนี้ยื่นมือออกมาถึงกับใจกว้างขนาดนี้เลย!
คิดถึงตรงนี้ นางยิ่งนอบน้อมขึ้นไปอีก “เจ้าค่ะ”
ลวี่ชยงอิงผู้นี้ก็เป็นกูเหนียงที่เฉียบแหลม ได้ยินคำพูดของโม่เทียนเกอก็คาดเดาว่าผู้อาวุโสท่านนี้คงจะไม่ใช่คนอวิ๋นจง เริ่มอธิบายจากภูมิศาสตร์ของอวิ๋นจงโดยละเอียด แล้วค่อย ๆ อธิบายถึงสำนักและอื่น ๆ
โม่เทียนเกอเพียงฟังเงียบ ๆ
อวิ๋นจงแผ่นดินกว้างใหญ่ ขยายไปทั้งสี่ทิศแปดทาง อาณาจักรก็มาก แต่ว่าอาณาจักรใหญ่กลับมีเพียงสาม อาณาจักรตงถัง, อาณาจักรหนานโจว, อาณาจักรเป่ยหลิน สามอาณาจักรนี้ครอบครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของอวิ๋นจง สิ่งที่ไม่เหมือนกับเทียนจี๋คือ เบื้องหลังสามอาณาจักรนี้ล้วนมีสำนักฝึกเซียนสนับสนุน อาณาจักรตงถังและอาณาจักรหนานโจวเป็นเขตแดนของสายธรรมะ ส่วนอาณาจักรเป่ยหลินเป็นเขตแดนของสายอธรรม
ในยามปกติ สามอาณาจักรนี้ก็สงบสันติไร้เรื่องราว ถึงอย่างไรอวิ๋นจงไม่มีแนวคิดที่ว่าธรรมะอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมกันเลย ไม่ว่าจะเป็นสายธรรมะหรือว่าสายอธรรมล้วนยึดถือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักการสูงสุด นอกเสียจากจะเกิดความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จึงจะต่อสู้กัน
อาณาจักรตงถังหลัก ๆ แล้วเป็นผู้ฝึกเต๋าเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในสามอาณาจักรใหญ่ สำนักขนาดเล็กและกลางมีจำนวนนับไม่ถ้วน ที่นับว่าเป็นสำนักใหญ่มีทั้งสิ้นห้าสำนัก : สำนักจิ่วเยี่ยน, สำนักตานเสีย, โรงเรียนจิ้งซวี, โรงเรียนผูฝ่า, หุบเขาเบญจธาตุ*
ในห้าสำนักใหญ่นี้ สำนักจิ่วเยี่ยนทรงอิทธิพลที่สุด ว่ากันว่า ภายใต้สำนักอาจารย์ของบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักมีศิษย์เก้าคน ศิษย์เก้าคนนี้โดดเด่นถึงสิบส่วน ร่วมกันก่อตั้งสำนัก บูชาอาจารย์ของพวกเขาเป็นบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก ด้วยเหตุนี้เรียกว่าสำนักจิ่วเยี่ยน
สำนักตานเสียเดิมเป็นรองเพียงสำนักจิ่วเยี่ยว ก็เป็นสำนักใหญ่ แต่ในหลายปีมากนี้ตกต่ำลงแล้ว ในห้าสำนัก เพียงแกร่งกว่าหุบเขาเบญจธาตุอยู่หน่อย
โรงเรียนจิ้งซวีและโรงเรียนผูฝ่าอำนาจพอ ๆ กัน ในนี้โรงเรียนจิ้งซวีเนื่องจากบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเป็นสตรี ศิษย์สตรีเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้หุบเขาเบญจธาตุนั้นกลับเป็นสำนักที่ฝึกฝนม่านพลังเป็นหลัก ลือกันว่าศิษย์ในสำนักความสำเร็จด้านวิชาม่านพลังแต่ละคนไม่สามัญเลย แต่สำนักที่เน้นที่วิชาเสริมประเภทนี้จะไม่เจริญรุ่งเรืองสักเท่าไรเสมอนั่นล่ะ ดังนั้นหุบเขาเบญจธาตุเป็นสำนักที่อ่อนแอที่สุดในห้าสำนักใหญ่ แต่ว่า ถึงจะเป็นเช่นนี้ สำนักอื่นกลับไม่กล้าหลอกลวงกันสักนิด ถึงอย่างไรเครื่องกีดขวางที่ใหญ่ที่สุดของประตูภูเขาแต่ละสำนักล้วนเป็นม่านพลังใหญ่คุ้มครองภูเขา หากว่าตอแยหุบเขาเบญจธาตุ ตอนที่ต่อสู้กันจะยุ่งยากแล้ว
อาณาจักรหนานโจวเป็นขงจื้อที่ควบคุมการเมือง พุทธคุมศาสนาประจำอาณาจักร ประชาชนของอาณาจักรหนานโจวส่วนใหญ่นับถือพุทธ ทุกแห่งหนล้วนเป็นวัดพุทธ ควันธูปโชยชาย ส่วนขงจื้อควบคุมอำนาจของอาณาจักร ใช้การเล่าเรียนสั่งสอนราษฎร เพราะว่าขงจื้อและพุทธเสาะแสวงหาไม่เหมือนกัน คำสอนยังมีส่วนร่วม ด้วยเหตุนี้ทั้งสองปรองดองกันมาก
โม่เทียนเกออยากรู้อยากเห็นต่อเรื่องนี้ถึงสิบส่วน ถึงนางจะรู้ว่าที่อื่นมีเรื่องอย่างการฝึกพุทธ แต่ไม่เคยเห็นที่เทียนจี๋เลย ขณะนี้อดไม่ได้ที่จะสอบถามเพิ่มขึ้นหลายประโยค น่าเสียดายที่ลวี่ชยงอิงไม่เคยออกไปท่องเที่ยวภายนอก เกาะหนานจี๋ยังอยู่ไกลจากแผ่นดินใหญ่ สำหรับสำนักฝึกพุทธนางก็ไม่ได้รู้นัก
แต่ลวี่ชยงอิงจะไม่ทราบชัดอีกสักแค่ไหน การฝึกพุทธกลับเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยที่อวิ๋นจง ก็เลยทราบคร่าว ๆ
ที่เรียกว่าฝึกพุทธ บรรลุธรรม ลือกันว่าเป็นคำสั่งสอนที่ถ่ายทอดลงมาจากยุคโบราณกาล พวกเขามุ่งเน้นที่เหตุและผลกรรม ควบคุมตนเองอย่างเข้มงวด เชื่อว่าความคิดชั่วร้ายทั้งหมดเกิดจากจิตใจ ตัดขาดความปรารถนาของมนุษย์ บำเพ็ญทุกรกิริยาสำเร็จเป็นพุทธ
นี่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกพิสดารอยู่บ้าง เหตุและผลกรรมที่ว่ากันนางย่อมจะเข้าใจ ในคัมภีร์เต๋าของผู้ฝึกเต๋าก็มีเนื้อหาอย่างนี้ เพียงแต่ไม่ได้เข้มงวดอย่างเช่นผู้ฝึกพุทธ
วิถีการฝึกตนของผู้ฝึกพุทธไม่เหนือไปกว่าสามประโยค : ทุกสิ่งไม่เที่ยง, ทุกธรรมาไร้ตัวข้า, นิพพานเงียบงัน ที่เรียกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยงคือชี้ว่าทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง, ทุกธรรมาไร้ตัวข้าต้องการให้ผู้ฝึกพุทธปล่อยวางความยึดติดในใจ ค้นหาตัวตนแท้จริง, นิพพานเงียบงันก็คือสถานที่ที่ผู้ฝึกพุทธเสาะหาเป็นแห่งสุดท้าย ไม่เกิดไม่ดับ ชีวิตนิรันดร์
โม่เทียนเกอค่อย ๆ ตระหนักรู้ในใจ สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งว่าการฝึกพุทธที่ว่ากันอันที่จริงแล้วก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกับพวกเขาผู้ฝึกเต๋า อย่างเช่นเหตุและผล อย่างเช่นเรื่องบนโลกไม่เที่ยงแท้ อย่างเช่นละทิ้งความยึดติด แต่ในอีกด้านหนึ่ง คำสอนของผู้ฝึกพุทธกลับไม่เหมือนพวกเขาผู้ฝึกเต๋าอย่างมาก
คัมภีร์เต๋าพูดว่า ฟ้าดินไร้เมตตา ใช้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลเป็นผักหญ้า ก็คือพูดว่า ฟ้าดินไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเมตตาหรือไร้เมตตา สิ่งมีชีวิตทั้งมวลเกิดเองดับเอง ต่างมีกรรม ดังนั้นแล้ว ผู้ฝึกเต๋าของเทียนจี๋ไม่เคยมีแนวคิดด้านความเมตตา การฝึกเซียนเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม พวกเขาต้องการฝึกไปถึงเซียนแท้จะต้องเข่นฆ่าเป็นทางโลหิตสายหนึ่ง ฆ่าสายอธรรม ฆ่าอสูรปีศาจ แม้กระทั่งฆ่าพวกเดียวกัน ฟังจากวาจาของลวี่ชยงอิง ผู้ฝึกเต๋าของอวิ๋นจงกับเทียนจี๋ไม่ได้ต่างกันเลย
แต่ผู้ฝึกพุทธกลับไม่เป็นอย่างนี้ พวกเขาฝึกจิตใจฝึกตัวตน น้อยมากที่จะคิดถึงการเข่นฆ่า นอกเสียจากหมดสิ้นหนทางจึงจะฆ่าเพื่อหยุดการฆ่า
ดังนั้นที่อวิ๋นจง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขึ้นไป ผู้ฝึกพุทธติดกับที่สภาวะจิตใจน้อย พวกเขาเลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตาน, จิตวิญญาณใหม่ง่ายดายกว่าผู้ฝึกเต๋ามาตลอด แต่จุดด้อยของพวกเขากลับเป็นความเร็วในการฝึกตนช้าเกินไป หากจะพูดว่าผู้ฝึกเต๋าในผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณร้อยคนสามารถเกิดผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังออกมาหนึ่งคน พวกเขากลับต้องหลายร้อยคนจึงจะสามารถออกมาสักคน
โม่เทียนเกอฟังเรื่องพวกนี้แล้วตกอยู่ในห้วงคิด นางรู้สึกว่าตนเองคล้ายกับจะเกาะกุมจุดสำคัญอะไรได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกเต๋าหรือผู้ฝึกพุทธ ในด้านหลักคำสอนล้วนมีส่วนที่ขัดแย้งกันเอง แต่ผู้ฝึกพุทธจะน้อยหน่อย อย่างน้อยสามารถคาดคะเนหลักเหตุผล แต่ผู้ฝึกเต๋ามีบางส่วนที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ฝึกเซียนฝึกจิตใจ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาเหล่าผู้ฝึกเต๋ารู้ตั้งแต่ที่เหยียบบนเส้นทางเซียน แต่เพราะอะไรกลับเป็นอย่างอสูรปีศาจ เต็มไปด้วยการเข่นฆ่านองเลือดเล่า
…………………………………………….
* ชื่อหุบเขาเบญจธาตุเราตัดสินใจจะแปลชื่ออยู่แห่งเดียวค่ะ รู้สึกว่ามันเพราะกว่าหุบเขาอู่สิงอะ อีกอย่างชื่อแปลง่ายด้วยแหละ ไม่เหมือนสำนักอื่นที่ชื่อค่อนข้างกำกวม อย่างจิ่วเยี่ยน จิ่วแปลว่าเก้า เยี่ยนแปลว่าสง่างาม จะแปลยังไงล่ะนั่น…..
ส่วนอาณาจักรทั้งสาม ดูจากชื่อแล้ว เป่ยหลินน่าจะอยู่เหนือ หนานโจวอยู่ใต้ ตงถังตะวันออกค่ะ
ท้ายตอนผู้เขียนอธิบายนิดหน่อยว่า การฝึกพุทธเต๋านี่เขาเมคขึ้นมาเอง มันไม่เหมือนกับพุทธเต๋าในโลกจริงหรอกนะ แล้วก็สปอยล์ด้วยว่านี่เป็นส่วนสำคัญสำหรับตอนท้ายเรื่องด้วยค่ะ