ตอนที่ 94 เสิ่นอวี้อิ๋งเจอเฉินเจียเหอ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 94 เสิ่นอวี้อิ๋งเจอเฉินเจียเหอ

ตอนที่ 94 เสิ่นอวี้อิ๋งเจอเฉินเจียเหอ

ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินเจียเหอ ยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอับอายแทนเมื่อได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาของผู้เป็นพ่อ

ถึงเขาจะเป็นคนมีวัฒนธรรมแค่ไหน พอโมโหก็หลุดพูดหยาบคายจนได้

เห็นผู้เฒ่าเซี่ยกำลังโกรธ เฉินเจียเหอจึงทำได้เพียงขอโทษต่อไป “ผู้เฒ่าเซี่ย ผมผิดไปแล้วครับ”

“ไม่สิ ผมไม่ผิด ผม…” ถึงยังไงเขาก็แต่งงานกับเธอแล้ว จะผิดได้ยังไง?

เขายืนตัวตรง รวบรวมความกล้าแล้วอธิบายต่อไป “ผมชอบพอกับหลินเซี่ยมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะผมต้องเดินทางไปทำงานต่างถิ่น ผมเลยไม่มีโอกาสได้ติดต่อหรือสานสัมพันธ์กับหล่อน ครั้งนี้ผมกลับไปบ้านเกิดพอดี ประจวบเหมาะกับที่ตระกูลหลินบังคับให้หล่อนแต่งงาน ผมจึงตัดสินใจแต่งงานกับหล่อนครับ”

“อะไรนะ?”

“เธอเนี่ยนะชอบพอกับหล่อนมาตั้งแต่แรก?” ผู้เฒ่าเซี่ยมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ทำหน้าตาราวกับเขาเห็นผี

“พี่เซี่ยตงสามารถเป็นพยานให้ผมได้ หลินเซี่ยเคยช่วยผมไว้ครั้งหนึ่ง ผมสนใจหล่อนตั้งแต่นั้นมาเลยครับ”

“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรซะหน่อย” เซี่ยตงจ้องมองไปทางเฉินเจียเหอ

เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ ตอนนั้นเฉินเจียเหอเล่าให้เขาฟังแค่ว่าหลานสาวของเขาบังเอิญช่วยเขาไว้ เขาจึงต้องการตอบแทนโดยการซื้อวิกผมให้ ไม่เห็นบอกเสียหน่อยว่าเขาสนใจสาวน้อยคนนั้น

“เธอวางแผนชั่วร้ายมานานแล้วสินะ? ฉันไม่นึกเลยจริง ๆ ที่แท้เธอก็เป็นคนหน้าซื่อใจคด เด็กสาวอายุห่างกันเป็นรอบยังคิดไม่ซื่อกับหล่อนได้ลง ในใจไม่มีมโนธรรมเลยหรือไง?” ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่เซี่ยตง “แกก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว แต่กลับไม่รู้จักจะแนะนำลูกน้องใต้บังคับบัญชาในทางที่ถูกที่ควร ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามใจตัวเองได้ยังไงกัน”

เซี่ยตงพลอยถูกตำหนิไปด้วย แต่เขาไม่กล้าตอบโต้

เฉินเจียเหอรู้สึกเสียใจมากที่ถูกดุว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายชราเริ่มลามไปตำหนิเซี่ยตง เขาจึงออกรับด้วยเสียงแผ่วเบา “ผู้เฒ่าเซี่ย อย่าต่อว่าพวกเราแบบนั้นเลยครับ”

“งั้นข้อดีของผู้หญิงคนนี้ที่ควรค่าให้เธอชอบพอคืออะไร? นอกจากรูปร่างหน้าตาดูดีแล้ว หล่อนก็โง่เหมือนหมู”

เฉินเจียเหอรีบปกป้อง “หล่อนไม่ได้โง่ซะหน่อยครับ”

นอกจากเธอจะไม่โง่แล้ว เธอยังฉลาดเป็นกรดอีกด้วย

ผู้เฒ่าเซี่ยยิ้มเยาะ “ไม่โง่เหรอ? แล้วทำไมเธอสอบเข้าวิทยาลัยไหนไม่ได้เลยล่ะ? ฉันสงสัยมาตลอดว่าทำไมบ้านเราถึงมีแตงขมแบบหล่อนอยู่ ในขณะที่ลูกหลานคนอื่น ๆ เป็นลูกท้อลูกสาลี่หวานๆ ที่แท้หล่อนก็เป็นผลแตงของคนอื่นนี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลย”

เซี่ยตงเตือนจากด้านข้าง “พ่อครับ แต่ลูกสาวของน้องสาวผมก็ยังสอบไม่ติดวิทยาลัยเหมือนกัน จนป่านนี้ยังเรียนซ้ำชั้นอยู่เลย”

ผู้เฒ่าเซี่ยตะคอกอย่างเย็นชา “อย่างน้อยก็ยังมีความพยายามเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดีกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นไหน ๆ พอออกมาทำงานก็รู้แค่วิธีโกนหัวคน”

ผู้เฒ่าเซี่ยบ่นไม่หยุด ก่อนจะมองเฉินเจียเหอด้วยใบหน้าตรง “ทำไมผู้หญิงคนนั้นไม่มาด้วยล่ะ? ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูหล่อนมาตั้งสองสามปีแล้ว พอรู้ว่าฉันไม่ใช่ตาที่แท้จริงของหล่อน หนึ่งปีให้หลังก็หยุดนับถือเลยอย่างนั้นเหรอ?”

เฉินเจียเหออธิบาย “หล่อนแค่ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญกับความสัมพันธ์ในปัจจุบันยังไงดี ให้เวลาหล่อนสักพักเถอะครับ ไว้ผมจะพาหล่อนมาคราวหลัง ผู้เฒ่าเซี่ย จากนี้ผมจะปฏิบัติต่อหล่อนเป็นอย่างดี โปรดอวยพรพวกเราด้วย”

“ฉันจะให้พรหรือไม่ให้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? นั่นไม่ใช่หลานสาวฉันซะหน่อย ฉันไม่อยากสนใจหล่อนมากนักหรอก”

แม้ว่าผู้เฒ่าเซี่ยจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี ทำเหมือนไม่ชอบหน้าหลินเซี่ยมาโดยตลอด แต่จากคำพูดคำจาของเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขายังคงห่วงใยหลินเซี่ย

“หล่อนกลับมาในเมืองแล้ว ก็หางานให้หล่อนทำด้วย อย่าปล่อยให้หล่อนเป็นคนว่างงานอยู่แต่ในบ้านอย่างเดียว”

“หล่อนบอกว่าจะเปิดร้านเสริมสวยครับ” เฉินเจียเหอพูด

หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินเจียเหอพูด ผู้เฒ่าเซี่ยก็หวนนึกถึงตอนที่หญิงสาวโกนศีรษะเขาจนล้านเลี่ยน จึงสำลักไออย่างรุนแรง

“ทักษะของหล่อนเพียงพอที่จะเปิดร้านเสริมสวยหรือไง? รู้ไหมว่าหล่อนตัดผมให้ฉันไม่เป็นด้วยซ้ำ ตัดแหว่งไปมาจนผลสุดท้ายฉันต้องโกนหัว”

เมื่อผู้เฒ่าเซี่ยพูดแบบนี้ เขาก็หรี่ตามองไปที่มุมปากของเฉินเจียเหอที่มีแผลตกสะเก็ด “มุมปากของเธอมีรอยบาดได้ยังไง?”

เฉินเจียเหอ “…”

เขาตอบตามตรง “ผมบังเอิญโดนบาดตอนโกนหนวดครับ”

“ดูสิ เธอเองก็ทักษะง่อยไม่ต่างไปจากหล่อนเลย จะเปิดร้านเสริมสวยได้ยังไงกัน? ถ้าไม่อยากโดนลูกค้าเอาไข่เน่ามาปาใส่หน้าประตูร้านทั้งวันก็อย่าพยายามจะโชว์ฝีมือเลย ไปหางานอย่างอื่นทำซะเถอะ หล่อนอาจจะเป็นแค่เด็กโง่คนหนึ่ง แต่เธอจำเป็นต้องโง่ตามหล่อนด้วยหรือไง? อย่าปล่อยให้หล่อนทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว”

“ครับ ได้ครับ” เฉินเจียเหอไม่กล้าขัดชายชรา ได้แต่ตอบกลับอย่างเชื่อฟัง

“ไหน ๆ เธอก็แต่งงานกับหล่อนแล้ว ควรรับผิดชอบชีวิตหล่อนให้ดี ไม่ว่าหล่อนจะซื่อบื้อแค่ไหนก็ตาม อย่าปล่อยให้หล่อนถูกรังแกเด็ดขาด จากนี้จงใช้ชีวิตให้ดีซะ”

เมื่อผู้เฒ่าเซี่ยพูดแบบนี้ น้ำเสียงแต่เดิมที่เต็มไปด้วยความขึ้งโกรธก็ผ่อนเบาลงเล็กน้อย ถ้ามองดี ๆ จะเห็นว่ามุมตาของเขาเปียกชื้น

“ขอบคุณครับ ผมจะจำไว้”

ขณะที่ผู้เฒ่าเซี่ยกำลังดุเฉินเจียเหอ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางหน้าบ้าน

“พี่สาว อวี้อิ๋ง มาได้ยังไง?”

เซี่ยหลานเอ่ย “อวี้อิ๋งบอกว่าหล่อนอยากมาเยี่ยมคุณตา”

“สวัสดีค่ะคุณน้า” เสิ่นอวี้อิ๋งเดินตามหลังเซี่ยหลาน มองไปที่เซี่ยตง กล่าวทักทายเขาเบา ๆ

“อวี้อิ๋ง เข้ามาสิ”

ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้าไป สีหน้าของเซี่ยหลานก็แข็งทื่อเมื่อมองเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่าเซี่ย

“คุณหมอเซี่ย” เฉินเจียเหอหันไปมองหล่อน และทักทายด้วยความสุภาพ

“อืม” เซี่ยหลานมีท่าทางเฉยเมย ตอบรับคำทักทายโดยไม่มองหน้าเขา

เสิ่นอวี้อิ๋งเดินตามหลังเซี่ยหลานมาติด ๆ สายตาจ้องมองไปที่ชายร่างสูงซึ่งทั้งเด็ดเดี่ยวและหล่อเหลา

ผู้ชายคนนี้มีออร่าที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือบุคลิก ล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้

“ทำไมถึงแวะมาที่นี่ได้ล่ะ?” เมื่อเห็นเสิ่นอวี้อิ๋ง ผู้เฒ่าเซี่ยก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อวี้อิ๋ง ไปหาญาติ ๆ ครบหมดแล้วหรือยัง?”

“คุณตา แวะไปเยี่ยมมาแล้วค่ะ แต่ฉันไม่รู้จักญาติ ๆ เท่าที่ควร พวกเขาก็ไม่รู้จักฉันเหมือนกัน เลยยังไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันมาก” เสียงของเสิ่นอวี้อิ๋งแผ่วเบา พลางแสดงท่าทางเขินอาย

“เอาล่ะ นั่งลงก่อน”

ผู้เฒ่าเซี่ยบอกกับเซี่ยตง “ไปหยิบจานเมล็ดแตงโมมาให้หลานสาวของแกซิ”

เซี่ยหลานพูดขึ้น “พ่อคะ ฉันพาอวี้อิ๋งมาที่นี่เพื่อปรึกษาค่ะ พ่อว่าควรให้หล่อนเข้าโรงเรียนไหนเพื่อสอบเทียบดี?”

“ไม่ยาก โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่งก็ดี” ผู้เฒ่าเซี่ยมองไปที่เสิ่นอวี้อิ๋ง พูดอย่างใจดีว่า “อวี้อิ๋ง เข้าโรงเรียนแล้วก็จงเรียนให้หนัก ช่วงครึ่งปีหลังพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้”

“ฉันจะตั้งใจเรียนให้มากค่ะคุณตา ฉันเรียนรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าความรู้สามารถเปลี่ยนโชคชะตาคนได้ จะต้องเรียนให้หนักและสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้เท่านั้น ถึงจะออกมาจากหมู่บ้านหลังเขาได้ซะที ดังนั้นไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน ฉันก็จะไม่เลิกเรียน จะพยายามอย่างหนักแน่นอนค่ะ”

คำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋ง ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยถอนหายใจด้วยความเห็นใจสงสาร ดวงตาของเซี่ยหลานก็ขุ่นมัว มองไปที่ลูกสาวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เฉินเจียเหอยืนอยู่ที่นั่นในฐานะคนนอก เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าเซี่ยเพิกเฉยต่อเขา แต่ก็ไม่ยอมไล่ให้เขาออกไป จึงได้แต่ยืนดูด้วยความกระอักกระอ่วน

เขาพูดว่า “ผู้เฒ่าเซี่ยครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน”

“ได้ เจียเหอ นายกลับไปก่อนเถอะ”

ทันทีที่ผู้เฒ่าเซี่ยเรียกอีกฝ่ายว่าเจียเหอ เด็กสาวที่นั่งถัดจากผู้เฒ่าเซี่ยก็แสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย มองไปที่ เฉินเจียเหออีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

เจียเหอ…

เฉินเจียเหอ?

อดีตทหารกองรถไฟที่หลินเซี่ยแต่งงานด้วยน่ะเหรอ?

เขาเกิดในเขตบ้านพักทหารผ่านศึก แต่ตอนเด็ก ๆ ทั้งคู่ก็เคยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน…

ก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่รู้ว่าหลินเซี่ยตัวจริงถูกส่งกลับไปยังชนบท ปรากฏว่าเธอได้แต่งงานกับเฉินเจียเหอโดยบังเอิญ หล่อนก็พยายามสอบถามเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ให้ชัดเจน

ไม่คาดคิดว่าหลานชายของตระกูลโจวที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน จะมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งแบบนี้

แถมเขายังเป็นพี่เขยของลูกพี่ลูกน้องหล่อนด้วย

เมื่อก่อนเหมือนหล่อนเคยได้ยินข่าวลือจากคนในหมู่บ้านว่าครอบครัวในเมืองของเขาถูกคนประณาม ต่อมาชาวบ้านจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่คบหากับพวกเขา

บ้านของทั้งสองตระกูลก็อยู่ห่างไกลกันคนละฟาก ดังนั้นในเวลาปกติจึงไม่ค่อยได้พบปะกันเท่าใด

แต่หล่อนก็พอจะมีความทรงจำอันเลือนรางเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่บ้าง

ขณะที่เฉินเจียเหอกำลังจะกล่าวคำอำลาและจากไป จู่ ๆ เสิ่นอวี้อิ๋งก็มองหน้าเขา แล้วโพล่งถามด้วยความประหลาดใจ ขอคำยืนยันด้วยเสียงอ่อนหวาน “คุณคือเฉินเจียเหอ? ใช่พี่ใหญ่เฉินเจียเหอที่ฉันเคยเจอสมัยยังเป็นเด็กหรือเปล่า?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ยัยทัวร์ดีของเรื่องมาแล้ว คราวนี้จะมาแย่งเจียเหอไปจากหลินเซี่ยหรือเปล่าเนี่ย

ไหหม่า(海馬)