ตอนที่ 162 ไม่กินคนเดียว ตอนที่ 163 ท่านปรมาจารย์จะปก

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 162 ไม่กินคนเดียว / ตอนที่ 163 ท่านปรมาจารย์จะปกป้องพวกเจ้า

ตอนที่ 162 ไม่กินคนเดียว

ฉินหลิวซีกินปูนึ่งหนึ่งตะกร้าอยู่กับอวี้ฉังคง นั่นเรียกได้ว่าพึงพอใจ อีกฝ่ายก็ยิ่งมือไว มอบปูให้นางนำกลับไปอีกสองตะกร้า เหตุผลก็คือไม่มีใครกิน

ฉินหลิวซีรับเอาไว้เป็นมารยาท นางปลดถุงเล็กๆ บนเอวออกมา หยิบขวดกระจกใสออกมาจากในนั้นยัดใส่มืออวี้ฉังคง เอ่ย “ลูกกวาดเมล็ดถั่วนี้ทำให้ชุ่มคอชุ่มปอด ข้าทำด้วยตนเอง มอบให้เจ้า”

ก่อนออกมา ฉีหวงเป็นคนจัดเตรียมให้นาง ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้จริงๆ

อวี้ฉังคงไม่ได้ปฏิเสธ บิดขวดเล็กแวววาวนั่น “ขอรับ ขอบคุณมาก”

ฉินหลิวซีเอ่ย “เช่นนั้นข้าไปแล้ว ยาหยอดตานั่นอย่าลืมหยอดทุกๆ สามชั่วยาม เจอกันพรุ่งนี้”

“ข้าจะไปส่งท่าน” อวี้ฉังคงเดินมาสองก้าว นึกอะไรขึ้นมาได้อีก เอ่ย “จริงสิ ฮ่าวหรานมีธุระเร่งด่วนต้องกลับจวนหนิงโจวตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ขอให้ข้ามาบอกท่าน”

“ฮ่าวหรานหรือ”

“ฉีเชียน รุ่ยจวิ้นอ๋อง”

“อ้อ” ฉินหลิวซีประหลาดใจเล็กน้อย “กลับก็กลับเถิด เกี่ยวอะไรกับข้ากัน”

อวี้ฉังคง “…ไปไม่ลาคงไม่ดีกระมัง”

ฉินหลิวซีกลับไม่สนใจ ความสัมพันธ์ระหว่างนางและฉีเชียนก็เป็นเพียงเจ้าของกับแขก ไม่ได้สนิทชิดเชื้อนัก ต่อให้เขาไปไม่ลา นางก็คงไม่มีเหตุผลจะไปกล่าวโทษเขา

“ดวงตาของท่านยังไม่สะดวก ส่งถึงตรงนี้เถิด รอวันที่ท่านถอดผ้าปิดตาออกแล้วจริงๆ ค่อยส่งข้าที่ประตูจริงๆ ก็พอ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี

อวี้ฉังคงยกมือขึ้นประสาน หันไปทางอีกฝ่าย “ได้ขอรับ”

ไม่ว่าเขาจะมองเห็นหรือไม่ ฉินหลิวซีก็โบกมือให้ก่อนจะเดินออกไป

“คุณชาย รีบชิมลูกกวาดเมล็ดถั่วนี่เถิด ดูหลากสีมากเลยขอรับ” ซื่อฟังจ้องมองขวดแก้วใสในมือของอวี้ฉังคง

อวี้ฉังคงลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบแล้วดึงจุกปิดขวดออก กลิ่นหอมหวานของผลไม้จางๆ ลอยออกมา หอมมาก

เขาเทออกมาอย่างระมัดระวังสองเม็ด ยื่นให้ซื่อฟัง “เจ้าชิมหนึ่งเม็ดเถิด บอกว่าช่วยให้ชุ่มคอ ข้าว่าเสียงของเจ้าแหบสักหน่อย”

ซื่อฟังถูมือ “เอ่อ คุณชายจะมอบให้บ่าวจริงหรือขอรับ ดูค่อนข้างราคาสูงเลยขอรับ”

“กินเถิด”

“ขอบคุณคุณชายขอรับ” ซื่อฟังหยิบหนึ่งเม็ดวางลงบนลิ้น ลูกกวาดรสน้ำผึ้งหวานและกลิ่นลูกท้อฤดูใบไม้ผลิกลบความขมของสมุนไพร เย็นคอ ชุ่มปอด ยิ้มกว้างออกมาจนไปถึงดวงตาอย่างอดไม่ได้ “อร่อยมากเลยขอรับ”

อวี้ฉังคงเองก็กินเข้าไปหนึ่งเม็ด มุมปากยกขึ้นอย่างหาได้ยาก “มีรสหวาน”

เขากำขวดเอาไว้ คลำไปยังถุงเล็กๆ แล้วใส่ขวดแก้วลงไป

ฉินหลิวซีนำปูสองตะกร้าส่งให้ฉีหวง เอ่ย “เจ้าอยากกินมากเท่าใด เลือกเอาเอง ส่วนที่เหลือส่งไปให้นายหญิง” เอ่ยจบก็หาวขึ้นมา เอ่ย “เดี๋ยวข้าจะเข้าไปหลับสักตื่น”

ฉีหวงรีบวางตะกร้าลง ประคองนางเข้าไปพักในห้อง รอฉินหลิวซีนอนลงแล้ว นางจึงเก็บปูเอาไว้สองตัว ส่วนที่เหลือส่งไปยังเรือนสะใภ้หวัง

สะใภ้หวังกำลังสอนฉินหมิงฉุนอ่านหนังสือทำความรู้จักตัวอักษร มองเห็นปูอ้วนสองตะกร้า เอ่ย “ปูเหล่านี้เทียบกับปูในเมืองหลวงแล้วก็ดูไม่เลว ไปจับมาจากแม่น้ำหลีด้วยตนเองหรือ”

ฉีหวงยิ้มพลางเอ่ย “เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่รู้เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่นำมาจากข้างนอกเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้าเก็บเอาไว้หรือไม่”

“เก็บเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ นายหญิงใหญ่ท่านรับเอาไว้เถิดเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็ขอบคุณคุณหนูของเจ้าแล้ว”

ฉีหวงคุกเข่าทำความเคารพ ก่อนจะเดินออกไป

ฉินหมิงฉุนเห็นว่านางไปแล้ว จึงเดินมาดูปูที่อยู่ในตะกร้า นับจำนวน เอ่ย “ท่านแม่ ทั้งหมดมีปูไม่ถึงสิบตัว เกรงว่าคงไม่พอแบ่ง”

“เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำอย่างไร” สะใภ้หวังคิดจะทดสอบเขา

ฉินหมิงฉุนเม้มริมฝีปาก เอ่ย “วันนี้คงต้องจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่เรือนท่านย่า ปูในตะกร้านี้หนึ่งตัวแบ่งออกเป็นสอง ทุกคนชิมด้วยกันขอรับ”

สะใภ้หวังนึกชื่นชม ไม่คิดจะกินคนเดียว นับว่าจิตใจดี นางลูบศีรษะของเขา “เอาตามที่เจ้าว่าเถิด”

ตอนที่ 163 ท่านปรมาจารย์จะปกป้องพวกเจ้า

นับตั้งแต่กินปูนึ่งกับอวี้ฉังคง หลายวันต่อมา หลังจากที่ฉินหลิวซีรักษาเสร็จแล้ว ก็บังเอิญเจอกับลุงเฉียนที่นำวัตถุดิบสดใหม่เข้ามา ต่อไปก็เป็นมื้อเที่ยง

เข้าสู่การรักษาวันที่เจ็ดแล้ว ฉินหลิวซีรักษาเขาตามขั้นตอน หลังจากหยดยาหยอดตา หยิบผ้าขึ้นมาและกำลังจะพันไว้อีกครั้ง

อวี้ฉังคงลืมตาขึ้น ทว่าต้องชะงักนิ่ง จับมือของอีกฝ่ายเอาไว้

“ทำไมหรือ”

อวี้ฉังคงมองมาที่อีกฝ่าย ดวงตาเป็นเงาลางๆ ไม่เป็นรูปร่างชัดเจน แต่ดูเหมือนจะสดใสขึ้นมาก ร่างกายราวกับมีแสงสีทองส่องออกมา

จุดสำคัญไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะเขาคุ้นชินกับความมืดมาตลอดสิบปี อยู่ๆ พลันมีสีสันขึ้นมา แสงทองสว่างเสียดตา แสงสว่างตรงเข้าไปยังหัวใจ

ร่างกายสั่นระริก

“คุณชาย ไม่สบายที่ใดหรือไม่ขอรับ” ซื่อฟังเห็นเขานิ่งงันไม่เอ่ยวาจา จึงร้อนใจขึ้นมา

ฉินหลิวซีกลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลิกคิ้ว กำผ้าเอาไว้ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรือ ท่านมองเห็นแล้วหรือ”

ตุบ

ด้านนอกมีเสียงบางอย่างหล่นลงบนพื้น ตามมาด้วยร่างของคนสองคนพุ่งเข้ามา คนหนึ่งคือลุงเฉียน อีกคนคือต้าฉยงที่เดิมก็เย็นชาพูดน้อย

ซื่อฟังแข้งขาอ่อน คุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยพึมพำกับคุณชายของตน “คุณชาย ท่าน ท่านมองเห็นแล้วหรือขอรับ”

ลุงเฉียนเองก็ถูมือด้วยความตื่นเต้น “คุณชาย มองเห็นแล้ว มองเห็นบ่าวหรือไม่ขอรับ”

อวี้ฉังคงพยายามกดความตื่นเต้นเอาไว้ หลับตาลง ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ตรงหน้ายังเป็นเงาเลือนราง มองไม่ชัดถึงรูปร่าง ทว่าบอกได้ว่ามีกี่คน

“มองเห็นแสงสว่างและเงารางๆ แล้วท่านอาจารย์” เขาชี้ไปยังฉินหลิวซี ชี้ไปยังลุงเฉียนและต้าฉยง รวมไปถึงซื่อฟังที่นั่งอยู่บนพื้น

“ถูกแล้วขอรับ เอ่ยถูกแล้ว คุณชาย ท่านมองเห็นแล้ว” ซื่อฟังร้องไห้เสียงดังอย่างตื่นเต้น

ลุงเฉียนเช็ดน้ำตา ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยมไปเลย เยี่ยมที่สุดแล้ว”

ต้าฉยงเก็บกดอารมณ์ยินดีของตนได้ดีที่สุด เพียงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง หันข้างให้เงียบๆ

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มองเห็นเป็นเงารางๆ ได้แสดงว่าดีขึ้น เดี๋ยวก็จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ท่านให้ความร่วมมือในการรักษา ยังคิดว่าท่านต้องใช้เวลาสักสิบวันเสียอีก”

“ท่านอาจารย์ นี่เพิ่งเจ็ดวัน ก็มองเห็นได้แล้ว วิชาการแพทย์ของท่านอาจารย์ไม่ธรรมดา บ่าวคำนับท่านแล้ว” ลุงเฉียนคุกเข่าลง โขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้ง ซื่อฟังเองก็เช่นกัน ต้าฉยงเองหันมาโค้งคำนับให้ฉินหลิวซี

ปรมาจารย์ปู้ฉิวอายุน้อยผู้นี้ เรียกได้ว่าเป็นมารดาผู้ให้ชีวิตแก่คุณชายอีกครั้ง

ฉินหลิวซีส่งเสียงเกรงใจ โบกมือ เอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนี้ เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น หากพวกท่านต้องการขอบคุณ อย่าลืมเตรียมสิ่งที่สัญญาเอาไว้ก็พอ”

“ท่านวางใจ รูปปั้นทองของท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋า ให้คนจัดทำขึ้นแล้ว คิดว่าคงอีกไม่นาน” ลุงเฉียนรีบเอ่ยขึ้น

ฉินหลิวซีพยักหน้าพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

นางมองผ้าในมือ เอ่ย “ในเมื่อมองเห็นเงารางๆ แล้ว เช่นนั้นผ้านี้ไม่ต้องพันก็ได้ ทำความคุ้นเคยสักหน่อย ตอนเห็นชัดเจนแล้วเมื่อเจอกับแสงจะได้คุ้นชิน”

อวี้ฉังคงพยักหน้า เอ่ย “จะเที่ยงแล้ว วันนี้อาจารย์อยู่กินข้าวด้วยกันเถิด”

“วันนี้คงมิได้ ใกล้ถึงเทศกาลฉงหยาง[1]แล้ว คนขึ้นเขามาขอยันต์กราบไหว้ที่อารามก็มากไปด้วย ยันต์จะหมดแล้ว ข้าต้องไปที่อารามสักหน่อย”

ดวงชะตาเกิดมาเพื่อทำงานหนัก ทำอะไรไม่ได้

อวี้ฉังคงเอ่ยขึ้นทันใด “เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านอาจารย์ ข้าเองก็อยากกินอาหารเจที่อารามชิงผิง หลายวันมานี้เอาแต่อยู่ในจวนก็เบื่อหน่าย ได้ฟังนักพรตชิงหย่วนสวดมนต์ก็คงดี”

“ใช่แล้วๆ พวกเราขึ้นไปเติมน้ำมันตะเกียงกัน” ลุงเฉียนกลัวว่าฉินหลิวซีจะไม่เห็นด้วย จึงเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค

เติมน้ำมันตะเกียงหรือ เช่นนั้นก็ได้

ฉินหลิวซียิ้มตาหยี เอ่ย “เทียนจุนมีพรไร้ขีดจำกัด ท่านปรมาจารย์จะปกป้องพวกท่าน”

ทุกคน “…”

[1]เทศกาลฉงหยาง เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในวันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน หรือเรียกว่า 九九重阳 คำว่า 九九 พ้องเสียงกับคำว่า 久久 หมายถึง ยืนยาว ถือว่าเป็นวันผู้สูงอายุอีกด้วย ในพื้นที่ต่างๆ อาจจะมีกิจกรรมที่จัดเพื่อผู้สูงอายุ และเฉลิมฉลองวันนี้ตามประเพณีจีนโบราณ ซึ่งกิจกรรมที่สำคัญที่สืบทอดกันมายาวนานคือ การเดินขึ้นเขาเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ในฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเป็นการออกกำลังกายให้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บของผู้สูงอายุ อีกทั้งยังเป็นกุศโลบายที่ทำให้ลูกหลานสนใจผู้สูงอายุ พาผู้สูงอายุขึ้นเขา สานสัมพันธ์ในครอบครัว