ตอนที่ 69 แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 69 แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต
“ตระกูลไป๋ร่วมสถาปนาแคว้นพร้อมกับจักรพรรดิเกาจู่ ได้พระราชทานแต่งตั้งยศเจิ้นกั๋วกง เป็นที่กล่าวขานในจารึกได้อีกเป็นร้อยปี…ยังมิเพียงพออีกหรือ! ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา และน้องชายเกือบทุกคนของข้าเป็นถึงแม่ทัพ ยศสูงจนมิรู้จะสูงอย่างไร มีเกียรติจนมิอาจมีได้มากกว่านี้อีกแล้ว! จวินกงแบบใดที่จะมากไปกว่าบารมีของกองทัพไป๋ที่มีมากจนแคว้นต้าเหลียง หรงตี๋มิกล้ามารุกรานแคว้นต้าจิ้นของเรามาเป็นสิบปีเช่นนี้กัน! จวินกงแบบใดที่ท่านปู่อยากได้เสียจนยอมแลกชีวิตบุรุษทั้งตระกูลเช่นนี้ ลูกหลานของตระกูลไป๋เพียงอาศัยบารมีและความดีความชอบของบรรพบุรุษก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบายไปทั้งชีวิตแล้ว”

ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรสีดำบนแผ่นป้ายพระราชทาน “มีชีวิตอยู่เพื่อราษฎร พลีชีพเพื่อบ้านเมือง ตระกูลไป๋ไม่อยากทำผิดต่อคำว่าเจิ้นกั๋วที่อยู่เหนือศีรษะข้าในตอนนี้ ต้องการปกป้องชาวบ้านที่บริสุทธิ์ของแคว้นต้าจิ้นให้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ใต้หล้าสงบสุข แค่นี้ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว!”

“แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ ในสายตาของผู้คนที่เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย เสพสุขความรุ่งเรืองอยู่ในเมืองหลวง! วีรบุรุษที่เสียชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมืองอย่างตระกูลไป๋กลับได้ชื่อว่าต้องการจวินกงจนทำให้ทหารในกองทัพของตนเองต้องตาย! นี่มันตรรกะอันใดกัน!”

หญิงสาวเบี่ยงกายพลางผายมือไปยังโลงศพยี่สิบกว่าโลงที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ด้านในจวนเจิ้นกั๋วกง “พวกท่านลองบอกข้ามาหน่อยสิ…หากท่านปู่ของข้าทำให้ลูกชายของพวกท่านต้องตาย แล้วผู้ใดทำให้ท่านปู่ของข้าต้องตายกัน! ผู้ใดทำให้บุรุษตระกูลไป๋ตาย! เด็กชายที่อายุเพียงแค่สิบขวบของตระกูลไป๋ต้องจบชีวิตลงที่หนานเจียง! เด็กอายุสิบขวบของตระกูลใดต้องไปออกรบบ้าง! เด็กอายุสิบขวบของตระกูลใดสามารถขี่ม้าไล่ฆ่าศัตรูได้บ้าง! ตระกูลใดยอมให้เด็กที่อายุเพียงสิบขวบต้องสละชีพเพื่อบ้านเมืองบ้าง! ตระกูลใดกัน!”

หญิงสาวขึ้นเสียงสูง เอ่ยถามออกมารัวๆ แต่ละประโยคต้องการสลักเข้าไปในใจของทุกคน ทว่าก็ทรมานจนนางรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งใจ ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม

ชาวบ้านรู้สึกสะเทือนใจกับถ้อยคำของไป๋ชิงเหยียน ดวงตาร้อนผ่าว ซาบซึ้งในความจงรักภักดีของตระกูลไป๋จนรู้สึกปวดใจ มองไปทางผู้ที่มาก่อความวุ่นวายหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยความโมโห

ฉินซ่างจื้อซึ่งพักรักษาตัวอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงได้ยินว่าญาติของทหารมาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงจึงรีบมาที่ด้านหน้า หวังจะช่วยตระกูลไป๋คลี่คลายสถานการณ์เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ตระกูลไป๋ให้เขาได้หลบซ่อนตัว

นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขาฝืนร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลมาถึงหน้าจวน กลับได้ยินถ้อยคำที่น่าสะเทือนใจของไป๋ชิงเหยียนเช่นนี้ ถ้อยคำที่นางเอ่ยถามออกมาเหล่านั้น แม้เขาฟังยังน้ำตาคลอ อยากชักดาบออกมาสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่บุรุษตระกูลไป๋เพื่อปกป้องบ้านเมืองในทันที

ไป๋จิ่นซิ่วที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดกำเสื้อบริเวณทรวงอกแน่น คุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้ามองฟ้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด “ท่านปู่ ท่านลืมตามาดูสิเจ้าคะ…นี่คือชาวบ้านที่ท่านปกป้องไว้ด้วยชีวิต ตระกูลไป๋สละชีพปกป้องบ้านเมือง พี่หญิงใหญ่สังหารศัตรูจนได้รับบาดเจ็บหนัก! บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตไม่มีเหลือ! แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมลทิน! ท่านปู่ ท่านเคยสั่งสอนพวกข้าว่าให้พลีชีพเพื่อชาวบ้าน รักและปกป้องพวกเขา! แต่ผู้ใดจะมาปกป้องตระกูลไป๋ของเราเล่าเจ้าคะ!”

ได้ยินเสียงคุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้นของคุณหนูรองไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด อารมณ์ที่อดกลั้นมาหลายวันพังทลายจนปล่อยโฮออกมาในทันที

บ่าวรับใช้ที่อยู่ในชุดไว้อาลัยของตระกูลไป๋น้ำตานองหน้านานแล้ว บางคนคุกเข่าร้องไห้พลางเอ่ยเรียกท่านกั๋วกงอย่างเจ็บปวด บางคนกำท่อนไม้ในมือแน่น อยากจะฟาดพวกที่มาอาละวาดหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงให้ตายจนหมดสิ้น

ชาวบ้านที่เดิมทีล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อดูเรื่องสนุกต่างหลั่งน้ำตาให้แก่ความดีและจิตวิญญาณที่รักและปกป้องบ้านเมืองของตระกูลไป๋

ชาวบ้านใช้ชายเสื้อปาดน้ำตาทิ้ง กัดฟันกรอด ด่าทอบรรดาญาติของทหารที่มาอาละวาดหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยความโมโห

“คนที่มาอาละวาดเมื่อครู่คือแม่เลี้ยงของหวังเอ้อร์โก่ว นางเป็นคนเห็นแก่ตัว หวังเอ้อร์โก่วมิใช่ลูกแท้ๆ ของนาง นางต้องอยากให้ตายอยู่แล้ว! บุรุษของตระกูลไป๋ทุกคนล้วนตายเพราะปกป้องบ้านเมือง! นางกลับมีหน้ามาอาละวาดอยู่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นนี้อีก! ต้องการมาขอเงินชัดๆ ช่างเป็นคนใจร้ายอะไรเช่นนี้…” ชาวบ้านด่า

“ถุย! คนหน้าด้าน! จวนเจิ้นกั๋วกงปกป้องชาวบ้านแคว้นต้าจิ้น จวนของเขากำลังจัดพิธีศพ นางยังมีหน้ามาขอเงินจากพวกเขาอีก น่าจะส่งคนที่มาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงพวกนี้ไปที่หนานเจียงให้หมด ให้พวกนางถูกกองทัพของหนานเยี่ยน ซีเหลียงทรมานทั้งครอบครัวจะได้เห็นถึงความดีของจวนเจิ้นกั๋วกงเสียบ้าง!”

“บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตหมดแล้วเช่นนี้ หากกองทัพซีเหลียงและหนานเยี่ยนร่วมมือกันโจมตีหนานเจียงจนแตก ไหนจะต้าเหลียง หรงตี๋ที่คอยจ้องตาเป็นมันอีก ต่อไป…ผู้ใดจะปกป้องแคว้นต้าจิ้นของพวกเรากัน!”

“กลัวอันใดกัน สตรีตระกูลไป๋ล้วนเก่งกาจด้วยกันทั้งนั้น มีคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองและคุณหนูสามที่เคยติดตามท่านกั๋วกงไปออกรบอยู่ คุณหนูใหญ่เป็นคนตัดศีรษะของผางผิงกั๋ว แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นสู่ เป็นผู้ทำลายแคว้นสู่ที่รุกกรานแคว้นต้าจิ้นของพวกเราด้วยตัวเอง!”

สิ้นเสียงของชาวบ้านคนนั้น ชาวบ้านต่างมองไปยังไป๋ชิงเหยียนซึ่งยืนอยู่บนบันได เห็นใบหน้าที่มีน้ำตาคลอของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเย็นชา ไป๋จิ่นซิ่วซึ่งบาดเจ็บบริเวณหน้าผากกุมหน้าอกแน่น ร้องไห้จนต้องใช้สาวใช้ถึงสองคนคอยพยุงเอาไว้ ชาวบ้านรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก

ต่อให้คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง คุณหนูสามตระกูลไป๋จะเก่งกาจสักเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงสตรีที่ยังอ่อนต่อโลกอยู่…

“คนพวกนั้นไม่รู้ว่าควรเคารพผู้ตายหรืออย่างไรกัน มาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงในเวลาเช่นนี้ มิกลัวว่าสตรีแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงจะเสียใจหรืออย่างไร!”

ชาวบ้านบางคนถึงกับร้องไห้ออกมา คนอื่นก็พลอยสะเทือนใจเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างเริ่มมีท่าทีโมโห จ้องเขม็งไปยังกลุ่มคนที่คุกเข่าก่อความวุ่นวายหวังทวงคืนความยุติธรรมอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง คนที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังสุดค่อยๆ เขยิบกายถอยหลัง อาศัยจังหวะที่ไม่มีผู้ใดสนใจเตรียมชิ่งหนี

มารดาเลี้ยงของหวังเอ้อร์โก่วที่อาละวาดหนักที่สุดเริ่มหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาหดตัวกลม

เมื่อเห็นสายตาของทุกคนจ้องมองนางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นางเหล่มองไปรอบกายแต่ไม่มีทางให้หนี จึงได้แต่กัดฟันเถียง “จวนเจิ้นกั๋วกงมีจวินกงมากก็จริง แต่ผู้ใดไม่อยากได้ผลงานมากกว่านี้เล่า ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีอยู่แล้ว!”

ไป๋จิ่นถงน้ำตาคลอ ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว กัดฟันกรอด “เจ้ายังกล้าเอ่ยถึงจวินกงอีก! จวินกงแบบใดกันที่ทำให้ตระกูลไป๋ต้องเตรียมโลงศพถึงยี่สิบกว่าโลงจนไม่สามารถจัดวางในห้องโถงได้หมด ทำได้เพียงจัดไว้กลางแจ้งเช่นนี้ เจ้าบอกข้ามาสิว่าจวินกงแบบใดที่ทำให้ท่านย่าของข้าต้องเสียทั้งสามี ลูกชายและหลานชายไปในเวลาเดียวกันเช่นนี้! ในเมื่อพวกเจ้ากล้ามาอาละวาดที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาหน่อย…ว่าท่านปู่ของข้าต้องการจวินกงแบบใดกัน!”

ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสะเทือนใจกับคำกล่าวของไป๋จิ่นถงจนเริ่มเดือดดาลขึ้น ชายวัยฉกรรจ์บางคนเริ่มถลกแขนเสื้อสบถคำด่าออกมา อยากจะฉีกร่างคนที่มาก่อเรื่องออกเป็นชิ้นๆ

“แม่งเอ๊ย! บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตเพราะปกป้องบ้านเมืองทั้งตระกูล พวกเจ้ายังมีหน้ามาก่อเรื่องที่นี่อีก! เดี๋ยวข้าก็ต่อยให้ตายเสียหมดเลยนี่!”

หลู่หยวนเผิงเดินจูงม้าไปยังจวนเจิ้นกั๋วกงพร้อมกับเซียวหรงเหยี่ยนอย่างไม่รีบร้อน ด้านหลังมีองครักษ์เดินกุมตัวขโมยสองคนซึ่งร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดตามมาด้วย

ทั้งสองคนกำลังปรึกษากันว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับคนของจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นไรดี หลูหยวนเผิงก็มองเห็นจากไกลๆ ว่ามีชาวบ้านมากมายห้อมล้อมอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง

“สหายเซียว! ข้าขอไปดูก่อนนะ! ท่านพาคนตามมาทีหลังก็แล้วกัน! แต่ท่านห้ามแย่งความดีความชอบของข้าเชียวนะ!” หลู่หยวนเผิงกล่าวจบก็กระโดดขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว

เซียงหรงเหยี่ยนยกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ ทว่า ดวงตากลับคมกริบและลึกล้ำ ชายหนุ่มเห็นไป๋ชิงเหยียนในชุดไว้อาลัยยืนอยู่ที่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงจึงหันไปสั่งการ “ให้องครักษ์สองคนพาตัวสองคนนี่ไปก่อน”

“ขอรับ!” ลูกน้องของเซียวหรงเหยี่ยนรับคำ

เมื่อนึกถึงเรื่องข้อความในจดหมาย ดวงตาคมลึกของเซียวหรงเหยี่ยนยิ่งลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง