บทที่ 45 บดขยี้พวกเขาซะ!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 45 บดขยี้พวกเขาซะ!

“ดูเหมือน… จะมีใครพบพวกเจ้าเข้าเสียแล้ว”

จั่วเหยียนเฟยหลับตาลง พลางตรวจสอบด้วยเคล็ดวิชาลับของกองทัพเทพยุทธ์

“ด้านนอกมีกันอยู่สี่คน สองคนบรรลุระดับกลางของขั้นสร้างรากฐาน อีกคนหนึ่งบรรลุระดับปลายของขั้นสร้างรากฐาน ส่วนอีกคนหนึ่งบรรลุระดับสูงสุดของขั้นสร้างรากฐาน ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำจะยังเดินทางมาไม่ถึงที่นี่”

“พวกเราควรทำอย่างไรกันดี?”

นางจิ้งจอกขาวบังเกิดความตื่นตระหนกเล็กน้อย

“เราจะทำตามคำสัตย์ที่ให้ไว้กับพวกเจ้าก่อนหน้านี้”

จั่วเหยียนเฟยเหลือบมองอสูรจิ้งจอกพร้อมกล่าวเสียงแผ่วเบา

“รั่วเวย ข้ากับเจ้าจะออกไปหลอกล่อให้พวกเขาถอยร่นออกไป ด้วยเคล็ดวิชาการหลบหนีและสภาวะธาตุดินของเจ้า การหลบหนีอำพรางกายย่อมไม่ใช่ปัญหา ศิษย์น้องไป๋ เจ้าอยู่กับอสูรจิ้งจอกเหล่านี้ ตราบใดที่เราล่อผู้ฝึกตนออกไปได้สำเร็จ ให้พวกเจ้าวิ่งหนีออกไปจากที่นี่พร้อมกัน”

“เราซ่อนตัวอยู่ในถ้ำต่อไปไม่ได้หรือ?”

นางจิ้งจอกขาวเอ่ยถาม

ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองนางพร้อมกล่าวเสียงแผ่วหวิว

“ข้าจำได้ว่าสมัยที่ยังเยาว์ ชีวิตข้าไร้ซึ่งกิจกรรมสันทนาการอื่นใด สิ่งที่ชื่นชอบมากที่สุดคือการเสาะหาโพรงรังมดบนภูเขา แล้วปัสสาวะรดมัน หรือไม่ก็จุดไฟที่ปากโพรง เพื่อที่ควันจะได้ลอยเข้าไปรมควันมดในโพรงจนตายยกรัง…”

“รบกวนจอมยุทธ์หญิงทั้งสองแล้ว!”

นางจิ้งจอกขาวรีบโค้งคำนับจั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยทันที

“ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

“อาจารย์… เอ่อ ศิษย์น้อง ข้าต้องไปแล้ว!”

ถังรั่วเวยหันไปอำลาไป๋ชิวหรานแวบหนึ่ง

“ระมัดระวังตัวให้ดี”

ไป๋ชิวหรานยิ้มตาหยีพร้อมโบกมือ เขาเฝ้ามองจนกระทั่งถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟยหายลับออกไปจากโพรงดิน พร้อมกับแสงสว่างวาบแห่งเวท จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าพลันหุบลง แปรเปลี่ยนเป็นความเกียจคร้านเย็นชา

“ไปเถิด”

เขาโบกมือให้อสูรจิ้งจอกหลายตนตรงหน้า

“พวกเจ้ารีบเข้าไปซ่อนตัวข้างในเร็วเข้า”

“อะไรกัน?”

นางจิ้งจอกหลายตนจับจ้องไปยังผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณตัวน้อย ที่จู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนสีหน้าและท่าทางจากเดิมราวกับเป็นคนละคน ทั้งยังถือสิทธิ์สั่งการขึ้นมาเสียอย่างนั้น นางจิ้งจอกขาวชี้ไปยังศีรษะของเขาพร้อมโพล่งถาม

“สติปัญญาเจ้าคงไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใช่หรือไม่?”

“หึ”

ไป๋ชิวหรานแค่นเสียงหัวเราะ

“ประโยคนี้แม้แต่ท่านพ่อยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยต่อหน้าข้า กล้าดีอย่างไรจึงบังอาจมากกว่าเขา?!”

นางจิ้งจอกขาวได้ยิน ถึงขั้นตกตะลึงไปชั่วขณะ

ไป๋ชิวหรานยกนิ้วขึ้น ปลายนิ้วหนึ่งคายพลังปราณกระบี่ออกมา

“เจ้ามาจากโลกอสูร เดินทางไปทั่วแคว้นสิบมหาทวีป ท่านพ่อไม่เคยกล่าวเตือนให้พึงระวังผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณของสำนักกระบี่ชิงหมิงหรอกหรืออย่างไร?!”

ด้านหลังรูปปั้นหินฮ่องเต้องค์ก่อนของรัฐติ่งกั๋ว ผู้ฝึกตนทั้งสี่กำลังยืนล้อมอยู่ที่นี่ เดินวนเวียนไปมาเหนือโพรงดินที่อยู่ใต้รูปปั้นหินดังกล่าว

ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์สำนักไป่เยว่ พวกเขามาที่นี่เพื่อเข้าปิดล้อมดักจับเหล่าอสูรแปลงกาย และส่งตัวพวกนางให้กับผู้อาวุโสของสำนักต่อไป

“ศิษย์พี่เผยชิง ท่านแน่ใจหรือว่าพวกมันอยู่ที่นี่?”

ผู้ฝึกตนธาตุไฟที่ลอบโจมตีถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟยบนเรือสำราญก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เขาเอ่ยถามชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง

ชายที่ถูกถามไถ่ถือเข็มทิศเวทไว้ในมือ ปลายเข็มชี้ตรงไปยังทิศทางของรูปปั้นหินนิ่งสนิท ชายคนนั้นมองเข็มทิศในมือให้แน่ใจอีกครั้งก่อนกล่าวตอบ

“ดูจากผลลัพธ์ของการติดตามยุทธภัณฑ์เวทที่ท่านอาจารย์มอบให้แล้ว ปราณอสูรเลือนหายไปเมื่อมาถึงที่แห่งนี้”

“เช่นนั้นให้ข้าระเบิดมันออกด้วยเวทวิชาอีกครั้งดีหรือไม่?”

ศิษย์อีกคนร่ายเวทวิชาหนึ่งทันที ปลายนิ้วพลันเปล่งแสงสีแดงจาง ๆ ออกมา

“เผยต้าว อย่ารีบร้อนทำสิ่งใดบุ่มบ่ามไปเลย”

เผยชิงยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม

“ที่นี่คือสถานที่ประดิษฐานรูปปั้นหินของฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งรัฐติ่งกั๋ว เท่ากับว่าเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ติ่งกั๋วเช่นกัน สำนักเรายังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นที่จะเพิกเฉยต่อราชวงศ์ติ่งกั๋วได้”

“ศิษย์พี่เผยชิง! มีการเคลื่อนไหวภายในโพรงใต้ดินขอรับ!”

ทันใดนั้นเอง ศิษย์ชายอีกคนที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดกลับโพล่งขึ้น

“คล้ายมีอะไรบางอย่างเตรียมที่เจาะทะลุออกมา!”

อีกสามคนได้ยินดังนั้น ต่างก็ตื่นตกใจและพากันแยกย้ายออกไปคนละทาง ไม่กี่อึดใจถัดมา แผ่นดินก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ร่างของถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟยปรากฏขึ้นมาตรงปากโพรงดิน!

ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดตั้งท่าโจมตี ถังรั่วเวยลอบเบ้ริมฝีปากพร้อมโค้งคำนับตามมารยาท ส่วนจั่วเหยียนเฟยประสานมือคารวะผู้ฝึกตนอีกสี่คนตรงหน้า

“ข้าคือจั่วเหยียนเฟย ทหารชั้นหนึ่งแห่งกองทัพเทพยุทธ์ ส่วนนางคือศิษย์จากสำนักกระบี่ชิงหมิง มีนามว่าถังรั่วเวย ทั้งสี่ท่าน… ไม่ทราบว่าพวกท่านมาจากสำนักใดหรือ?”

“กองทัพเทพยุทธ์? สำนักกระบี่ชิงหมิง?”

เมื่อได้ยินชื่อของทั้งสองสำนักนี้ เหล่าผู้ฝึกตนผู้มาใหม่ต่างก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไป

หนึ่งในห้าสำนักใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรม ทั้งยังเป็นหนึ่งในห้าของสำนักผู้ฝึกตนทั้งสิบสำนักในสิบมหาทวีป เกรงว่าชื่อเสียงทั้งสองสำนักคงระบือไกลออกไปถึงเก้ามหาทวีปแล้ว นอกจากบริเวณชายขอบที่อยู่พื้นที่ห่างไกลสังคม ย่อมไม่มีผู้ฝึกตนคนใดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ทุกท่าน พวกเราเดินทางมาที่นี่เพื่อสืบคดีเกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาทแห่งติ่งกั๋วเท่านั้น”

จั่วเหยียนเฟยยังคงประสานมือคารวะต่อไป

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

เผยชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ

“พวกเรามาที่นี่เพื่อตามสืบคดีนี้เช่นกัน หลังเจ้าอสูรลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาท แล้วหนีมาซ่อนตัวอยู่ใต้รูปปั้นหินนี้ แม่นางทั้งสองร่วมมือกับพวกเราเพื่อสังหารอสูรเผ่ามารคงเป็นการดียิ่งนัก”

“หลังจากที่ได้สอบถามเบื้องต้น เจ้าอสูรเผ่ามารดูไม่เหมือนฆาตกรลอบปลงพระชนม์องค์ชายรัชทายาทเอาเสียเลย”

จั่วเหยียนเฟยกล่าวพลางปรายตามองเผยหยวน

“ทว่าพี่ชายผู้นี้ช่างดูคล้ายคนที่ลักลอบโจมตีพวกเราบนเรือสำราญกลางลำคลองเมื่อไม่กี่วันก่อนเสียจริงเชียว”

“หึหึ ใต้หล้านี้ออกจะกว้างใหญ่ ผู้คนมากหน้าหลายตา รูปร่างคล้ายคลึงกันย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแปลก”

เผยชิงกล่าวพลางสืบเท้าก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว

“ถึงกระนั้นก็เถอะแม่นาง คำพูดของอสูรเผ่ามารไม่อาจเชื่อถือได้ ฉะนั้นไม่ว่าจะมีปัญหาเกี่ยวข้องอย่างไรหรือไม่ พวกเราก็ควรจับอสูรเหล่านี้ส่งตัวกลับไปยังรัฐติ่งกั๋วเสียก่อน แล้วค่อยตัดสินโทษ…ก็ยังไม่สาย”

“ฮ่าฮ่า”

จั่วเหยียนเฟยพินิจดูท่าทีของเผยชิงถึงสองหน แต่แล้วกลับถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก

“ดูเหมือนเหล่าสหายจะไม่เข้าใจความหมายในถ้อยคำอันคดเคี้ยวเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่ชอบตีอ้อมรอบพุ่มไม้ เช่นนั้น จะขอกล่าวตามตรงว่าเหล่าอสูรพวกนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด อีกทั้งสถานะของอสูรเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดาเลย หวังว่าพวกท่านจะรับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้แล้วยอมรามือแต่โดยดี”

“หืม?”

เผยชิงมองจั่วเหยียนเฟยและถัวรั่วเวยสลับไปมา

“หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าแม่นางทั้งสองคิดจะปกป้องอสูรเผ่ามารงั้นรึ?”

“ในทางกลับกัน พี่ชายท่านนี้คิดว่า ด้วยชื่อเสียงของสำนักกระบี่ชิงหมิงและกองทัพเทพยุทธ์ จะไม่มีสิทธิ์ปกป้องอสูรที่เป็นผู้บริสุทธิ์เลยเชียวหรือ?”

น้ำเสียงของจั่วเหยียนเฟยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะเอ่ยถามกลับ

เผยชิงชะงักไปเล็กน้อยด้วยความลังเล แต่แล้วกลับเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“แม่นางทั้งสองมีประสบการณ์ตื้นเขิน ซ้ำยังมีจิตใจดี มากด้วยเมตตา ตลอดเวลาที่ฝึกฝนย่อมไม่เคยพบเจอโลกภายนอก ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะหลงกลคำบอกกล่าวของอสูรเผ่ามาร วางใจเถิด… เราไม่ทำร้ายพวกเจ้า อย่างมากแค่จับตัวไว้แล้วส่งตัวให้กับผู้อาวุโสของสำนักข้าต่อไป”

เขาโบกมือออกคำสั่ง จากนั้นผู้ฝึกตนอีกสามคนต่างกรูเข้ามาล้อมรอบจั่วเหยียนเฟยและถังรั่วเวยไว้ด้วยความขะมักเขม้น

“ถามตามตรงเถิด พวกท่านไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลยรึ?”

ถังรั่วเวยถอนหายใจพร้อมกางมือออก

“ขอเตือนไว้ก่อน… ว่าเพลงกระบี่ของข้าร้ายแรงนัก ก่อนหน้านี้ เคยสังหารหนึ่งในศิษย์ของพวกเจ้าจนตายตกไปแล้ว ถึงอย่างไรอาจารย์ข้าก็ไม่ได้สนับสนุนการกระทำอุกอาจนี้แต่อย่างใด ทั้งยังกล่าวอีกว่าหากจวนตัวถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ต้องฆ่าศัตรูก็ต้องทำเพื่อปกป้องตนเองเป็นหลัก หากท่านทั้งสี่คิดสู้กันจริง ข้าอาจจะไม่รับประกันความปลอดภัย…”

“ฮ่าฮ่า!”

เผยชิงระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่รู้จักเกรงกลัวความตาย

“ข้าได้ยินเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับเพลงกระบี่ของสำนักชิงหมิงมานานแล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดโดดเด่นเกินไปกว่าสำนักของเจ้าได้ วันนี้ถือโอกาสล้างตา อยากจะสัมผัสเพลงกระบี่ของแม่นางเต็มที!”

“ย่อมได้ ในเมื่อท่านออกปากถึงเพียงนี้แล้ว”

จั่วเหยียนเฟยเลิกคิ้วขึ้น หยิบเอาหอกคู่ออกมาจากใต้กระโปรง ก่อนจะผสานมันเข้าด้วยกัน ถือกระชับไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

ถังรั่วเวยถอนหายใจอีกครั้ง บิดข้อมือก่อนจะยืนเหยียดหลังให้ตั้งตรง

ศิษย์ทั้งสี่ของสำนักไป่เยว่แยกย้ายไปคนละฝั่ง เผยหยวนและเผยชิงเผชิญหน้ากับถังรั่วเวยโดยตรง ส่วนเผยต้าวผู้อารมณ์ร้อนกับศิษย์ผู้เงียบขรึมอีกคนเผชิญหน้ากับจั่วเหยียนเฟย

“เตรียมตั้งรับไว้ให้ดี…”

จั่วเหยียนเฟยหลับตาลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นพลันลืมตาขึ้น ก่อนจะซัดหอกยาวพุ่งเข้าใส่ศิษย์ผู้เงียบขรึมอย่างรวดเร็วราวกับลำตัวมังกรที่ทะยานอยู่กลางเวหา

“รั่วเวย บดขยี้พวกเขาซะ!”

** มาแล้วผู้อ่านจ๋าาา เปิดนิยายให้อ่านฟรี กว่า 700 ตอน **

คัดสรรนิยาย 4 เรื่อง 4 แนว สุดฮิตมาให้อ่านกันตลอดช่วงซัมเมอร์นี้ ต้องรีบไปอ่านแล้ววว

⏰ ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย – 18 เม.ย. นี้

ติดตามผลงานและข่าวสารจากเราได้ที่ เพจ EnjoyBook