ในระหว่างที่นากากำลังพูดคุยกับปู่แม็กซ์อยู่นั้น ทางด้านอารอนที่ได้เด็กนักเรียนทั้งสองคนของเขาช่วยเฝ้าห้องพยาบาลให้ก็ได้เร่งรีบเดินฝ่าสายฝนตรงไปยังจุดหมายของเขาที่อยู่บริเวณใกล้ๆ กับประตูกั้นเขตเมืองทางฝั่งตะวันตก หรือก็คือบ้านหลังเล็กของเอริกะที่ตั้งอยู่ท่ามกลางคฤหาสน์หลังใหญ่นั่นเอง
 

ซึ่งอารอนที่เดินทางมาถึงแล้วก็ได้หยิบเอากุญแจสำรองที่เอริกะเคยมอบเอาไว้ให้เขาออกมาไขเปิดประตูเข้าไปด้านในและเดินตรงไปเคาะประตูห้องออฟฟิศของเอริกะในทันที

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“เอริกะอยู่หรือเปล่า…? ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย…”

 

“เอ๊ะ—อารอนหรอ? เข้ามาได้เลยๆ”

 

เอริกะที่นั่งอยู่ด้านในห้องออฟฟิศอย่างที่เขาคิดเอาไว้ได้ส่งเสียงที่ฟังดูประหลาดใจแบบปิดไม่มิดออกมาก่อนที่เธอจะพูดเชิญเขาเข้าไปด้านใน และเมื่ออารอนได้ยินเอริกะบอกอนุญาตแล้วเขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูเข้าไปด้านในห้องออฟฟิศของเธอในทันที

 

ซึ่งสภาพด้านในห้องออฟฟิศของเอริกะนั้นก็ดูค่อนข้างที่จะเรียบร้อยกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เกิดเหตุระเบิดขึ้นในห้องเก็บผลงานหมายเลขหนึ่งของเธอมากเนื่องจากว่าเธอได้จัดการซ่อมแซมสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ไปแล้วเป็นจำนวนมาก

 

“ว่าไง? นายมาหาฉันเองถึงที่บ้านนี่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาหรือเปล่าน่ะ?”

 

เอริกะที่นั่งซ่อมแซมแผงวงจรอะไรบางอย่างอยู่ได้เอ่ยปากทักทายอารอนขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเธอได้พบว่าผู้มาเยือนคือคุณหมออารอนคนนั้นจริงๆ ไม่ใช่ว่าเธอหูแว่วไปเอง ซึ่งท่าทีของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้อารอนตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดเข้าเรื่องในทันที

 

“เธอได้ส่งคนไปยุ่งอะไรที่เมืองแพนเทร่าหรือเปล่า…?”

 

“โอ๊ะโอ๋~ ในที่สุดคุณหมออารอนคนนั้นก็หันกลับมาสนใจเรื่องทางโลกแล้วงั้นสินะ~ ถ้างั้นแบบนี้ฉันเองก็คงจะต้องบอกไปตามตรงแล้วสินะเนี่ยว่าที่จริงแล้วแถวเมืองแพนเทร่านั่นมีกลุ่มทหารรับจ้างที่ฉันจ้างมาประจำการอยู่ตั้งสิบห้ากลุ่มน่ะ~ อ่ะ—แต่ตอนนี้อาจจะเป็นสิบหกหรือไม่ก็สิบเจ็ดกลุ่มแล้วก็ได้ล่ะมั้ง ถ้านายอยากรู้ก็ลองไปถามมีอาเขาดูสิ~”

 

“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น… บอกความจริงมาได้แล้ว…”

 

“ความจริงงั้นหรอ~ นั่นสินะ~”

 

เอริกะพูดตอบอารอนกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงและล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์ด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะควักเอาหนังสือปกหนังสีน้ำตาลที่ดูเก่าๆ ออกมาและพูดถามนายแพทย์หนุ่มขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“แล้วตัวนายเองล่ะอารอน? นายได้เข้าไปยุ่งอะไรกับที่เมืองแพนเทร่าบ้างหรือเปล่า?”

 

ฟุ่บ—-

 

ทันทีที่สิ้นเสียงคำถามของเอริกะก็ได้มีละอองแสงสีขาวปรากฏขึ้นมาจากทั่วทุกมุมห้องก่อนที่พวกมันจะพุ่งทะลุกำแพงห้องออฟฟิศออกไปทางด้านนอก ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้อารอนถึงกับต้องรีบยกร่มสีดำของเขาขึ้นมาชี้หน้าเอริกะเอาไว้ด้วยท่าทีระแวดระวังในทันที

 

ครืดดดดดดด—- ปึ๊ง!!

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงโครมครามดังลั่นขึ้นมาจากบริเวณต่างๆ ของห้องออฟฟิศเข้าซะก่อน

 

“ปิดล้อมทางเข้าออกแล้วก็เสริมการป้องกันงั้นหรอ… ถ้าเป็นคนของที่นี่ล่ะก็คงจะจนปัญญา… แต่เธอก็รู้ว่าของแค่นี้มันหยุดฉันเอาไว้ไม่ได้หรอกนะ…”

 

อารอนเอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่อเขาได้พบว่าบัดนี้หน้าต่างบานใหญ่เบื้องหลังโต๊ะทำงานของเอริกะได้มีกำแพงโลหะสีขาวเลื่อนลงมาปิดบังมันเอาไว้จนมิดทั้งบาน อีกทั้งเมื่อฟังจากเสียงที่เกิดขึ้นจากรอบๆ ห้องเมื่อสักครู่นี้แล้วเขาก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าตามกำแพงและประตูเองก็คงจะถูกเสริมเอาไว้ด้วยกำแพงเหล็กแบบเดียวกันอย่างแน่นอน

 

แต่ทว่าทางด้านเอริกะที่เพิ่งจะปิดล็อกออฟฟิศของตนอย่างแน่นหนาอีกทั้งยังถูกอารอนเอาร่มสีดำที่ตรงปลายกำลังเรืองแสงสีเขียวออกมาชี้หน้าเอาไว้ก็กลับไม่มีท่าทีกังวลใจเลยแม้แต่น้อยและพูดถามอารอนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทีร่าเริงเหมือนกับที่เธอทำเป็นประจำ

 

“เอาล่ะ~ ทีนี้ก็หมดปัญหาเรื่องคนดักฟังแล้ว~ ไหน นายสารภาพมาได้แล้วว่านายได้เข้าไปยุ่งอะไรเกี่ยวกับที่นั่นมาบ้างหรือเปล่าน่ะอารอน? บอกความจริงมาได้เลยพวกฉันไม่โกรธหรอก~”

 

“ที่เธอมาถามฉันแบบนี้นี่อย่าบอกนะว่าพวกเธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ…?”

 

“ทางพวกฉันเองก็เพิ่งจะยืนยันได้แน่ๆ ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่นน่ะ แต่ว่าพอคิดจะส่งคนไปตรวจสอบดูก็ดันติดปัญหาที่ว่าทางวังหลวงของแพนเทร่าดันประกาศให้ที่นั่นเป็นเขตหวงห้ามไปซะแล้วก็เลยยังไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไรสักเท่าไหร่เลยน่ะ~”

 

“…..”

 

ถึงแม้ว่าอารอนจะได้ยินคำตอบมาจากเอริกะแล้ว แต่ว่าเขาเองก็ยังคงจับจ้องมองดูนักประดิษฐ์สาวอยู่ต่อไปอีกสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาและลดร่มที่ชี้หน้าของเอริกะอยู่ลงพร้อมกับเอ่ยปากถามเธอเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นขึ้นมา

 

“ถ้างั้นตอนนี้เธอมีข้อมูลอะไรบ้างล่ะ…? ถ้าฉันจำไม่ผิดคนสุดท้ายในกลุ่มของพวกเราที่เข้าไปยุ่งกับเมืองนั้นก็น่าจะเป็นเธอใช่มั้ยล่ะ…?”

 

“มันก็ใช่อยู่นั่นล่ะ… แต่ว่าในตอนนั้นฉันก็ทำแค่ขนย้ายร่างของพวกสาวใช้ที่ตายในคฤหาสน์กลับไปหาครอบครัวของพวกเขาในเมืองแพนเทร่าเองนะ”

 

เอริกะที่เห็นว่าอารอนยอมเก็บร่มสีดำที่เขาใช้เป็นอาวุธกลับไปแต่โดยดีนั้นได้พูดอธิบายขึ้นมาเขาฟังพร้อมกับเปิดไล่ดูหน้ากระดาษอันว่างเปล่าในหนังสือปกหนังสีน้ำตาลในมือของเธออยู่สักพักแล้วจึงปิดมันกลับลงไปตามเดิม ส่วนทางด้านอารอนเองก็ได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อใช้ความคิดก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ร่างของพวกสาวใช้ที่เธอว่านั่นหมายถึงเรื่องเมื่อตอนที่คาร์เทียร์มาอาศัยอยู่กับฉันงั้นสินะ…?”

 

“อื้ม ในหมู่คนที่ตายในคฤหาสน์มีเจนกับสาวใช้อีกสองสามคนที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองแพนเทร่าน่ะ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในแพนเทร่าหรอกใช่มั้ยล่ะ?”

 

“แต่ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เธอหรือว่าคนของเธอ… อย่าบอกนะว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นที่แพนเทร่านั่นมันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราน่ะ…?”

 

“เอาจริงๆ ฉันก็แอบหวังเอาไว้ว่าคนร้ายจะเป็นนายอยู่เหมือนกันนะอารอน… เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดว่าเป็นนายจริงๆ พวกเราก็น่าจะยังคงพูดคุยตกลงกันดีๆ ได้ใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าในเมื่อนายเล่นบุกเข้ามาถามฉันถึงที่แบบนี้ก็คงจะตัดไปได้เลยล่ะมั้งเนี่ย…”

 

“หึ… ก็ฉันเป็นคนรักษาคำพูดไม่เหมือนกับพวกเธอนี่…”

 

อารอนพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เขาเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของหมอกในเมืองแพนเทร่าทั้งสี่รูปที่เอริกะเคยเอามันออกมาให้เซซิเรียดูเมื่อก่อนหน้านี้เขาจึงได้หยิบมันขึ้นมาเปรียบเทียบกันดู ในขณะที่ทางด้านเอริกะนั้นก็ได้ยืดแขนขึ้นสูงเพื่อบิดขี้เพียจพร้อมกับพูดตอกกลับเขาไปเล็กน้อย

 

“ฮึ๊บบบ~ เสียมารยาทหน่า~ แต่ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ทั้งพวกฉันทั้งพวกนายแบบนี้นี่ก็หมายความว่าเจ้าพวกที่เมืองแพนเทร่านั่นอาจจะแอบลงไปเล่นซนอะไรในนั้นกันก็ได้งั้นสินะเนี่ย…”

 

“เอาจริงๆ เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนตอนที่หมอกพวกนี้เริ่มปรากฏขึ้นมามันก็มีผู้ต้องสงสัยอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วยไม่ใช่หรือไง…?”

 

“…….”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของอารอนสามารถมั่นใจได้ทันทีว่าผู้ต้องสงสัยอีกกลุ่มหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก็คงจะหมายถึงกลุ่มของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมสีดำผู้ที่เป็นหัวหน้าของเหล่าแฟรี่ในชุดสาวใช้อย่างพวกนูลิส ฮานะ และนิโคลอย่างแน่นอน

 

“ไม่… ยังไงก็ไม่ใช่พวกนั้นแน่ๆ …”

 

เอริกะพูดตอบอารอนกลับไปอย่างหนักแน่นถึงแม้ว่ากลุ่มของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมคนนั้นจะเป็นผู้ก่อเหตุร้ายที่พวกเธอจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่เมืองแพนเทร่า การฆาตกรรมขุนนางที่วังหลวงกราวิทัส หรือแม้แต่กระทั่งเป็นตัวการของเหตุระเบิดที่ห้องเก็บผลงานของเธอเองก็ตามที

 

ซึ่งท่าทีเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมของเอริกะนั้นก็ถึงกับทำให้อารอนต้องเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยความสงสัยจนทำให้เอริกะจำเป็นต้องพูดอธิบายขึ้นมาให้เขาฟัง

 

“ถึงฉันจะไม่อยากพูดแบบนี้สักเท่าไหร่ก็เถอะ… แต่ว่านายเองก็รู้ดีไม่ใช่หรอว่าถ้าเกิดจะมีใครที่จะรักษาสัญญาที่เคยรับปากเอาไว้อย่างหนักแน่นที่สุดก็คงจะไม่พ้นเป็นเธอคนนั้นแน่ๆ ล่ะ หลักฐานก็คือการที่พวกเราได้มีเวลาเตรียมตัวรับมือกันนานขนาดนี้ยังไงล่ะ…”

 

“แต่ถึงเธอจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ… เธอเองก็รู้ดีว่าคนเรามันสามารถเปลี่ยนกันได้… อย่างเมื่อไม่นานมานี้เธอเองก็เพิ่งจะทำให้ฉันเปลี่ยนใจในเรื่องที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำได้เหมือนกันไม่ใช่หรือไง…?”

 

“อ๋อ นายคงจะหมายถึงเรื่องของเด็กคนที่ชื่อว่าซึบากิจังนั่นสินะ นายเองก็คงจะคิดเหมือนกับฉันสินะว่าเด็กคนนั้นคล้ายกับเขาคนนั้นมากขนาดไหนน่ะ~ แบบนี้ดูท่าว่าฉันคงจะคิดถูกจริงๆ ที่รีบติดต่อไปหานายแบบนั้นงั้นสินะ~”

 

“อ่า…จะว่าแบบนั้นก็คงไม่ผิดล่ะมั้ง…”

 

เอริกะที่เห็นอารอนพูดตอบกลับมาพร้อมกับหันหน้าหนีไปแบบนั้นได้แต่แอบเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นในคราวนี้เธอก็กลับไม่ได้พูดหยอกล้ออะไรเขาออกมาและหันกลับไปพูดเข้าเรื่องต่อแทน

 

“แล้วก็ถึงนายจะสามารถเปลี่ยนใจในเรื่องนั้นได้ก็เถอะ… แต่ว่าเธอคนนั้นคงจะทำแบบนายไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าความแค้นของเธอคนนั้นน่ะมัน… โหดร้ายแล้วก็สิ้นหวังกว่าของนายตั้งเยอะ… แล้วอีกอย่างนึง… ถึงเธอคนนั้นจะโดนความแค้นบดบังสายตาไปแล้วก็เถอะ… แต่ฉันก็เชื่อว่าเธอจะยังคงรักษาสัญญาอยู่แน่ๆ …”

 

“เฮ้อ… ถ้าเธอยืนยันแบบนั้นงั้นพวกเราก็คงจะต้องงมหาต้นตอกันใหม่ตั้งแต่ต้นงั้นสินะเนี่ย…”

 

“เอาน่าๆ เรื่องพวกนั้นน่ะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกฉันเถอะ ตอนนี้นายน่ะกลับไปใช้ชีวิตเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่กับซึบากิจังเขาให้เต็มที่ดีกว่าน่า อ่ะ— แต่ถ้าเป็นไปได้นายก็อย่าเพิ่งวู่วามทำอะไรลงไปละกัน ซึบากิจังเขายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่เลยนะ~”

 

“ตลกมากนักล่ะนั่น…”

 

“คิกคิก ฉันก็แค่แหย่นายเล่นนิดหน่อยเองล่ะน่า~”

 

เอริกะหัวเราะคิกคักกลับไปใส่อารอนที่กำลังจ้องมองเธออย่างดุๆ อยู่แล้วจึงค่อยเปิดหนังสือปกหนังสีน้ำตาลในมือออกอีกครั้ง และหลังจากที่เอริกะพลิกหน้ากระดาษอันว่างเปล่าของมันไปได้อีกสักพักใหญ่เธอก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“เรื่องที่แพนเทร่านี่ฉันเองก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรเหมือนกันเพราะว่าคนของฉันลงไปตรวจสอบที่นั่นดูไม่ได้แถมยังต้องคอยเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้อีก ส่วนเซซิเรียที่บอกเอาไว้ว่าจะลองตรวจสอบเรื่องนี้ดูก็ขาดการติดต่อไปได้สักพักนึงแล้วอีกต่างหาก”

 

“ถ้าเป็นยัยหนูใจร้อนคนนั้นก็คงจะไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง… เอาเป็นว่าถ้าเกิดเธอไม่อยากให้ฉันบุกมาหาเองถึงที่อีกรอบนึงก็คอยแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้ฉันรู้หน่อยก็แล้วกัน… ส่วนตอนนี้ฉันขอตัวก่อนล่ะ…”

 

“ได้เลยจ้า~ แต่เอาจริงๆ การที่นายมาหาฉันเองถึงที่แบบนี้นี่ฉันก็แอบดีใจอยู่หน่อยๆ เหมือนกันนะเนี่ย~ ถึงสาเหตุที่ทำให้นายมาหาฉันจะไม่น่าดีใจสักเท่าไหร่ก็เถอะนะ—อ่ะ….”

 

เอริกะที่กำลังพูดจาหยอกล้อเพื่อนนายแพทย์ของเธออยู่นั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะรีบเก็บหนังสือปกหนังในมือกลับเข้าไปภายในเสื้อกาวน์และรีบกวาดมือไปรอบๆ ห้องเพื่อที่จะสั่งให้กำแพงเหล็กสีขาวที่เธอเสกขึ้นมาล้อมรอบห้องนี้เอาไว้สลายกลับไปเป็นละอองแสงดังเดิม

 

และในทันทีที่ละอองแสงสีขาวได้ฟุ้งกระจายหายไปหมดก็ได้มีเสียงของกระดิ่งที่เอริกะติดเอาไว้ที่หน้าบ้านดังขึ้นมาเป็นเสียงลากยาวเป็นสัญญาณว่ามีผู้มาเยือนรายใหม่มาติดต่อขอพบเธอนั่นเอง

 

แอ๊ดดดดดด—

 

“หืม…? เธอนัดใครไว้ด้วยหรอน่ะเอริกะ…?”

 

“ก็ไม่เชิงว่านัดใครเอาไว้หรอก… นั่นคุณพ่อของโมโกะจังเขาน่ะ”

 

“คุณพ่อของโมโกะ…? ์ ไม่ใช่ว่าคุณพ่อเขายอมกลับไปที่หมู่บ้านตั้งแต่เมื่อสามสัปดาห์ก่อนแล้วหรอ…?”

 

“อืมมมม… มันก็ใช่นั่นแหล่ะ แต่จะว่ายังไงดีล่ะ… แบบว่าคุณพ่อเขาเป็นห่วงว่าโมโกะจังอาจจะจะเข้ากับพวกเด็กนักเรียนในเมืองไม่ได้ ฉันก็เลยตกลงว่าจะให้เขามาแอบดูสภาพของโมโกะจังตอนเปิดภาคเรียนดูสักพักนึงน่ะ”

 

เอริกะพูดตอบอารอนกลับไปพร้อมกับโยนอุปกรณ์ที่เธอยังซ่อมไม่เสร็จกลับลงไปในกล่องเก็บของที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องพร้อมกับดันตัวเองลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เพื่อที่จะได้เดินออกไปเปิดประตูให้กับคุณพ่อของโมโกะที่เพิ่งจะเดินทางมาถึง ในขณะที่ทางด้านอารอนที่ยืนกอดอกพิงตู้เอกสารอยู่นั้นก็ได้เอ่ยปากถามเธอขึ้นมา

 

“นี่เธอคิดวิธีนั้นขึ้นมาเองหรอน่ะ… ฟังดูไม่ค่อยเด็ดขาดเหมือนกับวิธีที่เธอทำเป็นประจำสักเท่าไหร่เลยนะนั่น…”

 

“นั่นมันเป็นแผนของอลิซเขาต่างหากล่ะ สำหรับฉันแล้ว ถ้าเกิดว่าโมโกะจังเขาอยากจะเรียนต่อที่นี่ฉันพร้อมจะเข้าข้างโมโกะจังเขาอยู่แล้ว… แต่ดูเหมือนว่าอลิซเขาจะไม่อยากให้คุณพ่อของโมโกะจังลำบากใจสักเท่าไหร่ก็เลยเสนอแผนการนี้ขึ้นมาน่ะ”

 

“ฝีมืออลิซงั้นหรอ… ทั้งๆ ที่ปกติก็ดูไม่ค่อยจะสนใจความรู้สึกของคนอื่นๆ สักเท่าไหร่แท้ๆ นะนั่น…”

 

“ใช่มั้ยล่ะ~ แต่จะว่าไป… ในเมื่อนายก็อยู่ที่นี่แล้วงั้นก็ช่วยฉันออกไปรับหน้าคุณพ่อของโมโกะด้วยกันหน่อยสิ คุณพ่อเขาจะได้ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่มีคนรู้จักของเขาทำงานเป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนด้วยไง~”

 

“เฮ้อ… เอางั้นก็ได้… เพราะยังไงซะทีแรกมันก็มีสาเหตุมาจากการที่ฉันรีบพาพวกนากาเขาหนีมาอยู่แล้วนี่นะ…”

 

 

ในขณะเดียวกัน ทางด้านนากาที่เพิ่งจะพูดคุยกับปู่แม็กซ์และไดเอน่าเสร็จก็ได้เดินออกมาจากห้องสภานักเรียนและเดินตรงไปยังห้องเรียนของเขาเพื่อที่จะได้กลับไปรวมกลุ่มกับคอนแนลและพรีมูล่าเมื่อเขาเห็นว่าสายฝนด้านนอกยังคงกระหน่ำตกลงมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งพวกเขาก็ได้นั่งจับกลุ่มคุยเล่นกันอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องจนกระทั่งตกเย็นโมโกะจึงได้กลับมาจากชมรมสำรวจซากโบราณเพื่อมาร่วมกลุ่มพูดคุยกับพวกเขาด้วยอีกคนหนึ่ง และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ อลิซที่เห็นว่าสายฝนยังคงตกลงมาไม่หยุดก็ได้เดินมาหาพวกเขาที่หน้าห้องเรียนพร้อมกับร่มจำนวนหนึ่งจนทำให้พวกเขาสามารถเดินกลับไปยังคฤหาสน์กันได้โดยไม่ต้องฝ่าฝนกลับไปนั่นเอง

 

และหลังจากที่พวกเขาทานข้าวเย็นที่อลิซเป็นคนลงมือทำด้วยตัวเองเสร็จแล้ว อลิซก็ได้พูดสั่งให้นากาช่วยเธอยกจานชามใช้แล้วไปให้เธอทำความสะอาดที่ห้องครัวเพื่อที่จะได้ใช้โอกาสนี้สอบถามเรื่องอะไรบางอย่างจากเด็กหนุ่มผมดำไปด้วยเลย

 

“ไหนๆ สนามหญ้าก็ซ่อมเสร็จแล้วทั้งทีนายสนใจจะรับการสอบเป็นคู่ถัดไปเลยมั้ยล่ะนากา?”

 

“ห—หะ? การสอบที่ว่านั่นหมายถึงการสอบที่เธอจับคอนแนลกับซิลเวสเขาไปสู้กันเหมือนเล่นไก่ชนนั่นน่ะนะ?”

 

คำถามของอลิซนั้นถึงกับทำให้นากาแอบสะดุ้งไปเล็กน้อยเพราะในตอนแรกเขาคิดเอาไว้ว่าอลิซกับเอริกะได้ตัดชื่อของเขาออกจากการสอบเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับการสร้างยูนิตประจำตัวไปตั้งแต่แรกแล้วเสียอีกเนื่องจากว่าตัวเขาที่ไม่มีวิซในร่างกายเลยนั้นไม่น่าจะใช้งานยูนิตของพวกเธอได้อย่างแน่นอน

 

ซึ่งอลิซที่เห็นท่าทีประหลาดใจของนากานั้นก็ทำเพียงแค่เหลือบตามองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วจึงคว้าเอาถ้วยชามใช้แล้วที่นากาถือเอาไว้ไปจัดการล้างทำความสะอาดพร้อมกับเอ่ยปากพูดกับนากาไปด้วย

 

“ก็ถ้าเกิดว่านายไม่อยากจะสอบก็บอกมาละกัน… ฉันจะได้ตัดชื่อนายออกจากรายชื่อให้”

 

“อืม… ถ้ายังไงฉันขอถามก่อนได้มั้ยว่าคู่ต่อสู้ของฉันที่เธอเลือกเอาไว้ให้เป็นใครน่ะ…?”

 

“ฉันยังไม่ได้เลือก… แต่ว่านายวางใจได้เลยว่าฝีมือดาบระดับนายน่ะอย่างน้อยๆ คู่ต่อสู้ก็ต้องเป็นตัวเต็งของห้องระดับเซซิลหรือไม่ก็เป็นคนที่เก่งกว่านั้นอยู่แล้ว เพราะว่าพวกเด็กๆ คนอื่นๆ น่ะเอานายไม่อยู่หรอก…”

 

“พวกตัวเต็งงั้นหรอ…”

 

คำตอบของนากาได้ทำให้อลิซที่กำลังยืนล้างจานอยู่ชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่าน้ำเสียงของนากานั้นฟังดูเหมือนกับว่าเขากำลังลังเลอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้อลิซตัดสินใจที่จะพูดถามเขาขึ้นมาตรงๆ

 

“แต่ว่านั่นมันก็หมายถึงแค่ในกรณีที่นายอยากจะสอบล่ะนะ ถ้านายไม่อยากจะสอบเพราะว่าไม่เห็นประโยชน์ของมันก็บอกมาละกันฉันไม่ว่าอะไรหรอก…”

 

“ม—ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!! …แต่ถ้ายังไงการสอบรอบนี้เธอจัดให้คนอื่นไปก่อนได้หรือเปล่าล่ะ ส่วนของฉันค่อยเอาไว้ไปสอบรอบหน้าหรือว่าอะไรแบบนั้นน่ะ… คือแบบจะว่าไงดีล่ะ… ประมาณว่า… ฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อมน่ะ…”

 

นากาพูดตอบอลิซกลับไปด้วยน้ำเสียงลังเลจนทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องแอบเหลือบกลับไปมองดูเขา แต่เมื่ออลิซได้พบว่าในแววตาของนากานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังแตกต่างจากน้ำเสียงลังเลของเขาอย่างสิ้นเชิงเธอก็ได้แต่แอบเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากและพูดตอบกลับเขาไป

 

“หึ… ถ้างั้นเดี๋ยวในคาบเรียนหน้าฉันจะเอาคู่อื่นมาสอบไปก่อนก็แล้วกัน ส่วนนายก็รีบเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก็แล้วกัน”

 

“อ่า…! ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วล่ะหน่า!!”

 

 

“อลิซพูดกับนายเอาไว้แบบนั้นงั้นหรอเนี่ย… งั้นแบบนี้ก็ดูท่าทางว่านายคงจะได้เปลี่ยนสถานที่แสดงฝีมือจากห้องชมรมมาเป็นต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นทั้งห้องแทนซะแล้วล่ะมั้ง…”

 

ในช่วงหัวค่ำของวันเดียวกันนั้น หลังจากที่นากาจัดการทำการบ้านจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็รีบปิดไฟเข้านอนอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะรีบผุดลุกขึ้นมาอีกครั้งในทันทีที่มีเสียงของพาเทียซ์ดังขึ้นมาจากทางฝั่งหน้าต่าง และนั่นก็ทำให้เขาได้พบกับพาเทียซ์ที่กำลังนั่งห้อยขามองดูท้องฟ้าสีเทาที่มีสายฝนโปรยปรายลงมาเบาๆ อยู่บนกรอบหน้าต่างข้างๆ เตียง

 

ซึ่งพาเทียซ์ที่เห็นการกระทำของนากานั้นก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเตือนเด็กหนุ่มขึ้นมา

 

“ถ้านายทำแบบนั้นบ่อยๆ ก็ระวังจะเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมาในจังหวะที่กำลังจะหลับก็แล้วกัน…”

 

“อ—อ่า แหะๆ ก็ฉันไม่อยากจะเผลอนอนหลับไปจนเสียเวลาฝึกนี่นา”

 

“ให้ตายสิ… แต่ถึงอย่างงั้นนายก็ไม่เห็นจะถึงกับต้องลุกพรวดขึ้นมาแบบนั้นเลยไม่ใช่หรือไง…?”

 

พาเทียซ์พูดบ่นกลับมาใส่นากาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะละสายตาออกมาจากท้องฟ้าเบื้องบนและพลิกตัวกลับเข้ามาทางฝั่งด้านในห้องพร้อมกับเดินตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของนากาที่เต็มไปด้วยหนังสือและอุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ มากมายก่ายกองที่เจ้าของห้องไม่ได้สนใจจะจัดเก็บมันให้เป็นระเบียบเลยแม้แต่น้อย

 

แต่ว่าพาเทียซ์ก็ไม่ได้สนใจเครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียนพวกนั้นเลยแม้แต่น้อยและหยิบเอาของสิ่งหนึ่งที่นากาโยนมันทิ้งเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนักขึ้นมา

 

“เจ้านี่… ใช่จริงๆ ด้วย… จนป่านนี้แล้วนายก็ยังจะไปหามันเจอได้อีกนะ…”

 

“หือ…? นี่เธอพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะพาเทียซ์?”

 

“ก็เจ้านี่ไง…”

 

คำถามของนากาที่ฟังดูมึนๆ นั้นได้ทำให้พาเทียซ์หันกลับมาและแสดงสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอให้เขาดูไป ซึ่งนากาก็ได้พบว่าสิ่งที่พาเทียซ์ให้ความสนใจนั้นมันก็คือซากอาวุธของปู่แม็กซ์ที่ดูแล้วเหมือนกับว่ามันจะเคยเป็นมีดติดโซ่มาก่อนนั่นเอง

 

“เอ่อ… เธอคิดว่าเจ้านั่นมันน่าสนใจงั้นหรอ… ฉันยังคิดไม่ตกอยู่เลยว่าจะเอามันไปเก็บไว้ตรงไหนดีที่จะไม่ลืมมันง่ายๆ เผื่อว่าเจ้าของเขาจะอยากได้มันคืนอยู่เลยน่ะ…”

 

“จะบอกว่ามันน่าสนใจก็ไม่เชิงหรอก… ฉันแค่สงสัยว่าในตอนนี้ฉันจะทำอะไรกับมันได้บ้างมากกว่าน่ะ… แต่ถึงยังไงก็ต้องขอคำอนุญาตจากนายก่อนละนะ… ว่าไงล่ะ…? นายสนใจจะให้ฉันลองเอามันไปศึกษาดูมั้ยล่ะ…?”

 

“ศึกษา…? หมายถึงว่าเอามันไปตรวจสอบดูหรืออะไรแบบนั้นน่ะนะ? เธอทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยหรอน่ะพาเทียซ์?”

 

“อื้ม… ก็จากฐานข้อมูลที่ฉันมีน่ะนะ…”

 

นากาที่ได้ยินคำตอบของพาเทียซ์ถึงกับต้องก้มหน้าลงไปคิดอยู่สักพักหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าปู่แม็กซ์จะยกซากอาวุธชิ้นนี้ให้เขาแล้วแต่ว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอามันไปทำอะไรดีเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อดูจากสภาพที่ยับเยินของมันแล้วการซ่อมแซมมันก็คงจะเป็นเรื่องที่เกินตัวไปสักหน่อย อีกทั้งตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจด้วยว่าเขาจะสามารถเก็บรักษามันเอาไว้ได้โดยไม่เผลอทำมันหายไปไหนหรือไม่

 

เพราะฉะนั้นการที่เขาจะฝากให้พาเทียซ์เก็บรักษามันเอาไว้พร้อมกับนำมันไปศึกษาตามที่เธอบอกก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าการที่เขาจะพยายามเก็บรักษามันเอาไว้เองมากแถมยังได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอีกต่างหาก เพราะว่าสุดท้ายแล้วถ้าเกิดว่ามันยังคงอยู่กับเขา มันก็คงจะถูกหมกเอาไว้ตรงไหนสักที่ในห้องนี้จนเขาหามันไม่เจอในเวลาที่เขาต้องการหามันอย่างแน่นอน

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่นากาจะได้พูดตอบตกลงกับพาเทียซ์ไปเขาก็กลับนึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ซะก่อน

 

“เดี๋ยวก่อนสิ… ในเมื่อเธออยู่ในความฝันของฉันอย่างนี้แล้วเธอจะเอามันไปศึกษายังไงกันล่ะ?”

 

“ที่นายต้องทำก็แค่เปลี่ยนมันให้กลายเป็นวัตถุดิบของดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์แค่นั้นล่ะ แล้วเดี๋ยวเจ้านี่มันก็จะโผล่เข้ามาในนี้เอง… แล้วถ้าเป็นไปได้หลังจากนี้นายก็พยายามอย่าเปลี่ยนอย่างอื่นให้เป็นดาบของนายจนกว่าฉันจะจัดการมันเสร็จก็แล้วกัน…”

 

“อ่าหะ…. เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนสิ… ที่เธอพูดแบบนั้นนี่อย่าบอกนะว่าเวลาที่ฉันเปลี่ยนอะไรให้เป็นดาบมันก็จะโผล่เข้ามาในนี้ด้วยน่ะ?”

 

“จะว่าแบบนั้นก็คงจะไม่ผิดล่ะมั้ง…”

 

พาเทียซ์พูดตอบนากากลับไปพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีแท่งเหล็กสีดำเปื้อนเลือดที่ดูคุ้นตาปรากฏขึ้นมา ซึ่งนากาที่เห็นมันก็สามารถนึกออกได้ทันทีว่ามันคือแท่งเหล็กอันที่เคยปักอยู่บนไหล่ของอลิซก่อนที่จะถูกเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

 

และเมื่อพาเทียซ์เห็นว่านากาสามารถจดจำมันได้เธอก็ค่อยๆ ไล่เปลี่ยนสภาพของแท่งเหล็กสีดำเปื้อนเลือดให้กลายเป็นสิ่งของต่างๆ ที่นากาเคยเปลี่ยนสภาพมันให้กลายเป็นดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ ไม่ว่าจะเป็นเสาแขวนน้ำเกลือจากคลินิกของอารอนในหมู่บ้านโมริโกะ เครื่องมือตัดกระจกที่เอริกะสั่งให้เขาเปลี่ยนมันให้เป็นดาบเพื่อซ่อนหลักฐาน แท่งเหล็กสำหรับก่อสร้างจำนวนมากที่เขาใช้มันเป็นวัตถุดิบในตอนสู้กับเวก้าที่คฤหาสน์ และเข็มทิศที่นากาเคยใช้ในตอนที่เขาวิ่งออกไปช่วยเหลือเซซิลที่นอกเมือง

 

“ถึงของที่นายเคยใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นดาบจะถูกส่งเข้ามาหาฉันจริงๆ ก็เถอะแต่ว่าฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากนักหรอก… ไม่สิ… ต้องบอกว่ามันไม่มีอะไรให้สนใจซะมากกว่าก็ล่ะมั้ง… แต่ว่ากับเจ้านี่น่ะมัน… มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันคาใจอยู่น่ะ…”

 

“คาใจงั้นหรอ…? เอาเถอะ… สรุปง่ายๆ ก็คือว่าเธออยากจะเอาเจ้านี่ไปตรวจสอบอะไรสักอย่างดูงั้นสินะ”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของพาเทียซ์ได้แต่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ว่าเมื่อเขาดูจากท่าทางของพาเทียซ์ที่ดูเหมือนว่าจะรู้อะไรบางอย่างในสิ่งที่เขาไม่รู้แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาแล้ว เขาก็ได้แต่คิดว่าถึงจะลองถามอะไรเธอไปก็คงจะไม่ได้คำตอบเหมือนกับทุกครั้งและตัดสินใจที่จะเปลี่ยนไปพูดถามถึงเรื่องอื่นแทน

 

“ว่าแต่ถ้าเกิดว่าฉันเปลี่ยนเจ้านี่ไปเป็นดาบแล้วมันก็จะคงยังปลอดภัยดีอยู่สินะ?”

 

“ถ้าเกิดว่านายเป็นห่วงเรื่องนั้นล่ะก็วางใจได้เลย… นายคิดซะว่ามันถูกดึงเข้าไปเก็บรักษาเอาไว้ข้างในดาบของนายก็แล้วกัน… แล้วเดี๋ยวเอาไว้ฉันศึกษามันเสร็จแล้วฉันจะบอกนายอีกทีนึง…”

 

พาเทียซ์พูดอธิบายออกมาให้นากาเข้าใจได้ง่ายๆ เมื่อเธอเห็นว่าเขายังคงมีท่าทีกังวลอยู่ว่าตัวซากอาวุธที่น่าจะมีคุณค่าทางจิตใจต่อปู่แม็กซ์ไม่ใช่น้อยชิ้นนี้อาจจะมีอันเป็นไปได้ถ้าเกิดว่าเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบขึ้นมาจริงๆ

 

ซึ่งนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็แทบจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธข้อเสนอของพาเทียซ์อีกต่อไปเพราะนอกจากว่าเขาจะได้คนช่วยเก็บรักษาซากอาวุธชิ้นนี้เอาไว้แล้วตัวพาเทียซ์เองก็จะได้ศึกษามันตามที่เธอต้องการอีกด้วย

 

“งั้นก็เอาตามนั้นก็ได้… ถ้ายังไงฉันก็ฝากเธอดูแลมันจนกว่าเธอจะศึกษามันเสร็จด้วยก็แล้วกันนะพาเทียซ์”

 

“อื้ม… งั้นพรุ่งนี้นายก็อย่าลืมเปลี่ยนเจ้านั่นให้กลายเป็นดาบด้วยละกัน…”

 

พาเทียซ์พยักหน้าตอบนากากลับไปพร้อมกับปล่อยมือออกจากซากอาวุธที่เธอถือเอาไว้จนทำให้มันเรืองแสงออกมาเล็กน้อยและลอยหมุนวนไปมาอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่มันจะแตกสลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวหายไป

 

“ถ้างั้นพวกเราก็ไปเริ่มฝึกกันต่อเถอะ… เมื่อตอนเย็นตอนที่อลิซเขาเข้ามาคุยกับนายเรื่องการสอบนายบอกไปว่าจะขอเลื่อนออกไปก่อนนี่… เพราะงั้นนายก็น่าจะมีเวลาฝึกเหลืออยู่อีกอย่างมากก็สักสัปดาห์นึงได้ล่ะมั้ง… แล้วก็ถ้าดูจากนิสัยของอลิซแล้ว… ฉันว่าเธอก็คงจะเอารายชื่อตัวท็อปของห้องมาให้นายเลือกเอาเองเลยล่ะมั้ง…”

 

“นั่นสินะ… ก็คงได้แต่หวังว่าการสอบของวันพรุ่งนี้อลิซจะไม่จับหมอนั่นไปสู้กับใครเข้าซะก่อนล่ะนะ”

 

นากาพูดตอบพาเทียซ์กลับไปพร้อมกับมองซ้ายมองขวาหาดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ที่มักจะโผล่มาข้างกายเขาเสมอในโลกแห่งจิตใต้สำนึกที่เปรียบเสมือนกับความฝันนี้ และเมื่อนากาได้เหลือบไปเห็นมันถูกวางพิงเอาไว้ข้างเตียงเขาก็ได้ยื่นมือไปคว้ามันขึ้นมาแล้วจึงหันไปพูดกับพาเทียซ์ด้วยความคึกคัก

 

“เอาล่ะ พวกเราไปฝึกกันต่อเถอะพาเทียซ์!”

 

“อย่าลืมละกันนะว่าต่อให้นายฝึกในนี้ไปหนักขนาดไหนร่างกายด้านนอกของนายก็ไม่ได้รับประโยชน์ไปด้วยน่ะ… อย่างเมื่อคืนที่แล้วฉันลองแอบปรับสภาพร่างกายของนายให้เป็นสภาพที่น่าจะเป็นในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าถ้าเกิดว่านายใช้วิธีฝึกแบบที่ทำเป็นอยู่ประจำน่ะ… เมื่อตอนบ่ายนั่นนายน่าจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างบ้างใช่มั้ยล่ะ…”

 

“เพราะแบบนั้นเมื่อตอนบ่ายนั่นฉันถึงได้เกือบจะหงายหลังล้มลงไปเพราะเคยชินกับร่างกายที่พัฒนาแล้วงั้นสินะ… แต่ว่าถ้าฝึกแบบนี้ไปอีกหนึ่งสัปดาห์ยังได้แค่นั้นงั้นก็คงจะต้องฝึกให้หนักกว่าเดิมอีกล่ะมั้งเนี่ย… เธอพอจะมีวิธีไหนแนะนำฉันได้บ้างหรือเปล่าน่ะพาเทียซ์?”

 

“เอาไว้ฉันจะลองคิดหาวิธีให้นายก็แล้วกัน… ตอนนี้พวกเราไปเริ่มฝึกกันเหมือนกับทุกทีกันก่อนดีกว่า…”

 

“โอ้!”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของพาเทียซ์ได้ส่งเสียงร้องตอบเธอกลับไปสั้นๆ และรีบวิ่งลงไปที่สนามหญ้าด้านหลังคฤหาสน์ในทันที ในขณะที่ทางด้านพาเทียซ์นั้นก็ได้ใช้ปีกแสงสีขาวของเธอบินออกจากห้องของนากามาทางหน้าต่างและค่อยๆ ลอยตัวลงมาพร้อมกับดาบคมเดียวหัวตัดที่ซ่อนกลไกปืนเอาไว้ด้านใน

 

ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้ยกมันขึ้นมาเล็งเข้าใส่นากาด้วยท่าทางแบบเดียวกันกับเนลผู้ที่เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้นแบบไม่มีผิดเพี้ยนและเอ่ยปากพูดบอกกับนากาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถ้างั้นฉันจะเร่งการฝึกให้นายเอง…เตรียมใจเอาไว้ได้เลย…”