บทที่ 70 ลุ่มหลงหน้าลิฟต์

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีดึงเส้นผมของตนเองกลับ พร้อมกับถอยหลัง เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างทั้งคู่

เมื่อเห็นทีท่าที่หลบหลีกตนเองราวกับเจองูตะขาบ นิรุตติ์สายตาหมองเล็กน้อย แต่อย่างรวดเร็ว ก็กลับมาเป็นดั่งเก่า ก่อนวางการ์ดเชิญลงที่มือของเธอ “จำไว้ให้ดี คุณต้องมาให้ได้นะ”

เมื่อพูดจบ เขาโบกไม้โบกมือ มุ่งเดินไปอีกทาง

วารุณีจ้องมองการ์ดเชิญในมือของตนเอง พร้อมกับแหงนมองเงาร่างแผ่นหลังของชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด

ก็ได้ ในเมื่อเขาอยากให้เธอไปขนาดนั้น ถ้างั้นเธอก็จะลองไปดูสักหน่อย ว่าเขาคิดที่จะทำอะไรกันแน่

เมื่อคิดได้ดังนั้น วารุณีเก็บการ์ดเชิญใส่กระเป๋า ก่อนที่จะเดินเข้าไปในลิฟต์อีกครั้ง

เมื่อมาถึงแผนกเย็บผ้า ก็ปาเข้าไปสิบกว่านาที

เมื่อวารุณีเดินเข้าไป ก็ได้พบว่านัทธีเองก็อยู่ด้วย จึงอดสงสัยไม่ได้ “ประธานนัทธี มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

นัทธีหันหน้าชายตามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายอย่างเรียบง่าย “ได้ข่าวว่าเสื้อผ้าที่ใช้เดินแบบเสร็จแล้ว ก็เลยตั้งใจมาดูความเรียบร้อยสักหน่อย เป็นเจ้านาย จะให้ไม่เข้าใจอะไรเลยก็คงไม่ได้ ว่าแต่เธอ ทำไมถึงได้เพิ่งมาเอาป่านนี้?”

เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เขาก็สั่งคนให้ไปตามเธอแล้ว

วารุณีวางกระเป๋าลง พร้อมกับกล่าวตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ระหว่างทางมีเรื่องนิดหน่อยจึงทำให้เสียเวลา ประธานนัทธี เรามาดูเสื้อผ้ากันเถอะ”

เธอไม่อยากบอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ที่ได้พบกับนิรุตติ์ให้เขารับรู้

หากเขารู้เรื่องที่เธอกับนิรุตติ์คุยอะไรกันขึ้นมา คงไม่ดีแน่

นัทธีเองก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพียงตบมือให้คนนำเสื้อผ้าออกมา

ชุดราตรีที่งดงามแต่ละชุด เต็มไปด้วยความหรูหรา ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของทุกคน ภายในแผนกตัดเย็บ ราวกับว่าถูกสาดส่องจนสว่างไสว

“งดงามที่สุด” ใครบางคนอุทาน

วารุณีพยักหน้าตอบรับ “ประธานนัทธี งานออกแบบชิ้นแรกของฉัน ไม่ได้ทำให้คุณผิดหวังใช่ไหม?”

ทีท่าเรียกร้องคำชมเชยของเธอ ทำให้นัทธีอมยิ้มมุมปาก “อืม ไม่ผิดหวังเลย”

วารุณียิ้มอย่างพึงพอใจ “ถ้างั้นก็ดี ฉันจะไปดูสักหน่อยว่าชุดพวกนี้ต้องปรับเปลี่ยนอะไรอีกไหม”

เธอกล่าว พร้อมกับมุ่งไปที่เสื้อผ้าเหล่านั้น เพื่อเริ่มตรวจสอบ

นัทธีเองก็ไม่อยู่เฉย พลันเดินเข้าไปช่วยเหลืออีกแรง

หลังจากที่ตรวจสอบจนเสร็จเรียบร้อย ก็เกือบเที่ยงวันเข้าไปแล้ว

นัทธีจึงเป็นฝ่ายเชิญชวน วารุณีเองก็เริ่มหิวขึ้นมาแล้ว เพราะเหตุนี้เธอจึงไม่เกรงใจกับเขา

ทั้งคู่ไปที่ร้านอาหารตะวันตกที่อยู่ไม่ไกล

นัทธียื่นเมนูอาหารให้กับวารุณี

วารุณีสั่งสเต็กเนื้อหนึ่งชุด กับเค้กแบล็กฟอร์เรสต์

นัทธีหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่ม “ดูเหมือนว่าเธอจะชอบทานของหวานมากเลยนะ?”

เมื่อครั้งก่อนที่งานวิจารณ์ เธอก็ทานเข้าไปมากโข

วารุณีเสยเส้นผมพร้อมกล่าวตอบ “ก็ชอบ ทำงานยุ่งทุกวัน ทางของหวานสักหน่อย จะช่วยผ่อนคลายไม่น้อย”

“งั้นเหรอ” นัทธีลูบขอบแก้วน้ำ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และก็ไม่โต้ตอบใดๆ

หลังทานอาหารเสร็จ ทั้งคู่ไม่ได้กลับไปที่บริษัท แต่เดินทางไปที่แฟชั่นพาวิลเลียนเพื่อตรวจตราความคืบหน้าของการก่อสร้าง

ยังไงซะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานแล้ว ในทุกๆ ด้าน พวกเขาต้องลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองถึงจะวางใจได้

ไม่นาน ก็เดินทางมาถึงแฟชั่นพาวิลเลียน

ทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์ วารุณีกำลังจะปิดประตู ต้นเสียงที่ดูเร่งรีบก็ดังแล่นเข้ามาจากด้านนอก “รอเดี๋ยว รอฉันด้วย”

วารุณีกดปุ่มเปิดประตู

หญิงสาวที่อยู่ในชุดฟอร์มถือกระเป๋าน้อยใหญ่วิ่งมา เข้ามาในลิฟต์ พลันโค้งคำนับให้กับวารุณีและนัทธี “ขอบคุณมากๆ”

“ไม่เป็นไร” วารุณีผายมือด้วยรอยยิ้ม

นัทธีไม่ตอบโต้แต่อย่างใด พลางยืนอยู่อีกด้านอย่างเงียบๆ จ้องมองไปที่ร่องประตูลิฟต์ด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก แผ่ซ่านอากาศที่ทำให้คนอื่นพลอยหายใจติดขัด

แม้ว่าหญิงสาวจะตกตะลึงในรูปลักษณ์ภายนอกของเขา แต่ก็หวั่นเกรงในความเกรี้ยวกราดของเขา พลันขยับฝีเท้าไปที่มุมหนึ่ง

หลังครึ่งนาที ก็ถึงชั้นของหญิงสาว

หญิงสาวหญิงกระเป๋าน้อยใหญ่มุ่งเบียดออกไปยังด้านนอก นาทีที่เธอเดินออกไป กระเป๋าที่ไหล่ของเธอได้ร่วงหล่นลงมากะทันหัน ชนเข้ากับร่างของวารุณี จนร่างของเธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของนัทธี

นัทธีดึงแขนข้างหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงตามสัญชาตญาณ โอบเอวของเธอ เพื่อประคองเธอเอาไว้ “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณนัท……” ไม่ทันจบประโยคดี ริมฝีปากของวารุณีประกบเข้ากับริมฝีปากของนัทธี เธอนิ่งไม่ไหวติง ในหัวขาวโพลน ดวงตากลมโตเบิกกว้างจับจ้องเขาอยู่อย่างนั้น จนลืมที่จะโต้ตอบ

นัทธีเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ดวงตาที่จับจ้องหญิงสาว สั่นไหวอย่างปกปิดเอาไว้ไม่อยู่

เขาไม่คิดเลย ว่าเธอจะแหงนหน้าขึ้นตอบโต้เขาในเวลานี้

และเขาในตอนนั้น ก้มหน้าลงจ้องมองหญิงสาวพอดิบพอดี เพราะงั้นผลลัพธ์ถึงได้เป็นอย่างที่เห็น

ริมฝีปากที่นุ่มนิ่มของหญิงสาว รวมไปถึงกลิ่นน้ำหอมที่โชยเข้ามาเป็นระลอก คอยทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว

เขาผลุบตาลงต่ำ พลางอยากจะบดขยี้จูบให้รุนแรงกว่านี้

แต่เพราะสติของเขา ท้ายที่สุดเขาก็หักห้ามเอาไว้ได้

นัทธีคลายมือที่โอบเอวของวารุณีออก พร้อมกับถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำเสียงแหบพร่าพ่นออกมาสองพยางค์ “โทษที”

วารุณีเองก็ได้สติกลับคืนมา พวงแก้มที่แดงก่ำก้มลงต่ำ เขินอายจนไม่กล้าจับจ้องเขา “ไม่……ไม่เป็นไร!”

อันที่จริงคนที่ควรจะกล่าวคำขอโทษ เป็นเธอถึงจะถูก

หากไม่ใช่เพราะเธอแหงนหน้าขึ้นกะทันหัน ก็คงจะไม่……

วารุณรีบปิดหน้าหันไปอีกด้าน หันหลังให้กับนัทธี

เธอรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตนเอง หัวใจเต้นแรงจนไม่สามารถสงบลงได้ ราวกับว่าวินาทีต่อมาจะหลุดออกมาจากลำคอให้ได้อย่างไรอย่างงั้น

ความตื่นเต้นและเขินอายของวารุณี อยู่ในสายตาของนัทธีอยู่แล้ว

ถึงแม้ว่านัทธีจะรู้ว่าจูบเมื่อสักครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่จูบก็คือจูบ แถมคนที่จูบด้วยยังเป็นชายอื่น ไม่แน่ตอนนี้ในใจเธออาจจะกดดันอยู่ไม่น้อย

เขานึกถึง นัทธีผลุบตาลงต่ำ แสร้งทำน้ำเสียงเย็นชา “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เธอคิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน”

“เอ๋?” วารุณีแผ่นหลังแข็งทื่อ

นัทธีเหลือบสายตาไปยังเหนือหัวของเธอ พร้อมกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ลิฟต์ถึงแล้ว ไปกันเถอะ”

วารุณีจ้องมองแผ่นหลังของเขา คิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับเงียบ

สองวินาทีให้หลัง เสมือนกับว่าเธอคิดได้แล้ว พลันวิ่งเหยาะๆ เดินตามหลังไป

นั่นสิ เธอจะแคร์ไปทำไมกัน พวกเขาเมื่อห้าปีก่อน ยังทำเรื่องที่ใกล้ชิดกว่านี้มาแล้ว ตอนนี้ก็แค่จูบเพียงแผ่วเบาเท่านั้น ก็เขินอายถึงขนาดนี้แล้ว นับวันยิ่งกลับเข้าไปใกล้อดีตมากขึ้นทุกที

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น อย่างที่เขาได้กล่าว คิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วารุณียิ้มอย่างโล่งอก

เมื่อเข้ามายังแฟชั่นพาวิลเลียน วารุณีเข้าสู่โหมดการทำงานอย่างรวดเร็ว

นัทธีนั่งอยู่ที่ตำแหน่งผู้ชมด้านล่างแคตวอล์ก ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังแคตวอล์กอย่างไม่ละสายตา ก็เห็นวารุณีที่กำลังหารือกับนักออกแบบเรื่องการซ้อมเดินแบบ

ว่ากันว่าคนที่ตั้งใจทำงานสวยที่สุด วารุณีในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น เธอที่ง่วนอยู่กับการทำงาน เหมือนกับว่าเกิดแสงสว่างเจิดจ้ารอยๆร่างกายของเธอ ทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาออกไปได้

กระทั่งโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น นัทธีถึงได้ตั้งสติละสายตาออก ก่อนรับสาย “ฮัลโหล?”

ไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไร เขาลุกขึ้นยืนกะทันหัน “ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!”

ไม่นาน เขาเก็บโทรศัพท์ โบกมือเรียกเจ้าพนักงานมาหนึ่งคน กำชับสองสามประโยค ก่อนเดินจากไปด้วยสีหน้าตึงเครียด

หลังจากที่เขาออกไปไม่นาน วารุณีหารือกับนักออกแบบเสร็จสิ้นจึงลงจากแคตวอล์กมาหาเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่พบเงาร่างของเขาเลย

ขณะที่เธอครุ่นคิดว่าเขาอาจจะไปเข้าห้องน้ำอยู่นั้น พนักงานเมื่อสักครู่ก็เดินเข้ามา “คุณวารุณี หากคุณกำลังมองหาคุณนัทธีอยู่ล่ะก็ เขาได้ออกไปแล้ว”

“อะไรนะ ไปแล้ว?” วารุณีนิ่งค้างไป

เพิ่งมาไม่ใช่หรือไง?

ทำไมเขาถึงได้ไปแล้วล่ะ?

“ใช่แล้ว เมื่อสักครู่เขาได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง บอกว่าต้องไปเยี่ยมคนที่โรงพยาบาล” พนักงานกล่าวตอบ

เมื่อได้ยินอย่างนั้น วารุณีเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที

เธอจำได้ หลายวันก่อนพงศกรได้เล่าให้เธอฟังแล้ว การผ่าตัดของคุณนวิยาคนนั้นประสบความสำเร็จมาก แต่คุณนวิยานอนเป็นเจ้าหญิงนิทรานานหลายปี อาการของเธอยังไม่คงที่

เพราะงั้น เขาคงจะไปดูคุณนวิยาสินะ?

วารุณีอดกลั้นความขมขื่นในใจ ก่อนจะฝืนยิ้มขอบคุณให้กับพนักงานคนนั้น

พนักงานดังกล่าวโบกมือ ก่อนที่จะไปทำงานของตนเอง

วารุณีเองก็ไม่อยู่ไปนานกว่านั้น เธอเรียกรถกลับไปที่บริษัททันที

เมื่อตกบ่าย วารุณีเก็บข้าวของที่กองอยู่บนโต๊ะ เตรียมเลิกงาน หากแต่นิรุตติ์ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูกะทันหัน เคาะประตูห้องทำงานของเธอ “ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?”