บทที่ 50 คุยเรื่องลูก
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีสีหน้ายกย่อง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แล้วฮองเฮาคิดว่า ควรจะลงโทษชายาอ๋องฉู่อย่างไร?”
ฮองเฮาได้ยินเสียงของฮ่องเต้ดูไม่ฉุนเฉียวแล้วจึงพูดขึ้น “หม่อมฉันเห็นว่า ร่างกายของไท่ซ่างหวงนั้นเกี่ยวโยงถึงโชคชะตาของแคว้นเป่ยถัง ชายาอ๋องฉู่คิดว่าตัวเองเก่งและมีความสามารถในการรักษาเกินคนอื่น แล้วยังถือวิสาสะรักษาเอง ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของไท่ซ่างหวง เป็นการทำผิดร้ายแรง แต่โชคดีที่ไม่เกิดผลร้าย ดังนั้น หม่อมฉันคิดว่าสมควรขับไล่ออกจากวัง และลดฐานะลงเป็นนางสนม ถ้าไม่มีรับสั่งห้ามเข้าวังเด็ดขาด”
ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะออกมา “ฮองเฮาพูดมีเหตุผล มีความผิดต้องโดนลงโทษ ทำความดีก็ต้องบำเหน็จ เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ควรทำ อย่างนั้นก็เอาตามที่ฮองเฮาพูด”
ฮองเฮารู้ดีว่าฝ่าบาทต้องเห็นด้วย เพราะการลงโทษครั้งนี้ถือว่าไม่รุนแรงมาก การปลดให้เป็นสนมก็เพียงแค่ลดชื่อเสียงลง ยังไงนางก็เคยเข้ามาอยู่ในวังแล้ว หลังจากนี้นางยังสามารถกลับมาได้อีก
แต่แน่นอนว่านางเองก็ไม่อยากมีปัญหากับอ๋องฉู่ และที่สำคัญคือ หยวนชิงหลิงไม่สามารถกลับเข้ามาในวังได้อีก และไม่มีวันมาป้วนเปี้ยนไท่ซ่างหวง แบบนั้นก็เพียงพอแล้ว
ฉู่หมิงชุ่ยเองก็พลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูแล้วการเสวยข้าวนั้นไม่ได้ทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนความคิดต่อนาง
แต่หลังจากนั้น ฮ่องเต้หมิงหยวนกับพูดขึ้นอีกรอบ “มีความผิดต้องลงโทษ แต่ในเมื่อทำความดีก็ต้องมีบำเหน็จ หยวนชิงหลิงช่วยไท่ซ่างหวงเอาไว้ได้นั้นถือว่ามีความดีความชอบ และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ความดีความชอบสามารถลบล้างความผิดได้ ดังนั้นข้าขอลดโทษลงและพระราชทานให้นางกลับมาเป็นชายาอ๋องฉู่ตามเดิม และก็พระราชทานไข่มุกหนันให้สองเส้น เห็นว่าอย่างไร?”
ฉู่หมิงชุ่ยเหมือนกับว่าไม่เชื่อหูตัวเอง มีความดีลบล้างความผิดแถมยังพระราชทานงั้นหรือ?ดูแล้วฮ่องเต้ไม่ได้คิดจะลงโทษนางอยู่แล้ว
“ไข่มุกหนันสองเส้นหรือ?” ฮองเฮาแทบลูกตาถลนออกมา แล้วพลางเก็บท่าทีตัวเองไว้ “ฝ่าบาท ไข่มุกหนันของหลิวฉิวบรรณาการมาให้นั้นมีทั้งหมดสามเส้นนะเพคะ”
ไข่มุกหนันของหลิวฉิวนั้นแต่ละลูกใหญ่มากอีกทั้งแวววาว เป็นของล้ำค่าที่หายาก ปีก่อนๆ ไข่มุกหนันที่หลิวฉิวบรรณาการมาให้นั้นมีเพียงเส้นเดียว และส่วนใหญ่ฮ่องเต้ก็มอบให้ไทเฮา ปีนี้ยากมากกว่าจะได้ถึงสามเส้น นางก็อยากจะครอบครองสักเส้น แต่ตอนนี้กลับพระราชทานให้หยวนชิงหลิงถึงสองเส้น และที่เหลือก็ต้องมอบให้ไทเฮา แล้วนางก็ไม่ได้อะไร
“ถูกต้อง ปีนี้ได้ตั้งสามเส้น ปีนี้ผลผลิตทางน้ำของหลิวฉิวค่อนข้างอุดมสมบูร์” ฮ่องเต้ยิ้มอ่อน
ฮองเฮาจึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ฝ่าบาท ทำไมชายาอ๋องฉู่ถึงถือว่ามีความดีความชอบล่ะเพคะ?หรือว่าอาการป่วยของไท่ซ่างหวงนั้นนางเป็นคนรักษาหายงั้นหรือ?”
“ฮองเฮาไม่รู้หรือ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนทำสีหน้าประหลาดใจ “ฮองเฮามีหูทิพย์ตาทิพย์ คนข้างกายก็มีแต่คนมีความสามารถทั้งนั้น แต่กลับไม่รู้ว่าชายาอ๋องฉู่มีความดีความชอบอะไรหรือ?”
ฮองเฮาหันไปมองสีหน้าที่ดูอ่อนโยนแต่น้ำเสียงฟังดูเสียดสีแบบนั้น ก็รู้สึกได้ทันทีว่าพระองค์ทรงกริ้วอยู่ เกรงว่าพระองค์จะรู้ความคิดของนางกับชุ่ยเอ๋อแต่แรกแล้ว
“ฝ่าบาทก็พูดเป็นเล่น” ท่าทางของฮองเฮาดูนอบน้อมขึ้นมาทันที
“แน่นอนว่าข้าพูดเล่น ไม่อย่างนั้น ข้าคงลงโทษฮองเฮาที่ปากไม่มีหูรูดไปนานแล้ว” ฮ่องเต้หมิงหยวนหุบยิ้มทันที พลันลุกขึ้น “ในเมื่อฮองเฮาไม่สบาย ก็พักผ่อนเถอะ ข้าขอตัว”
“น้อมส่งฝ่าบาท!” ฉู่หมิงชุ่ยรีบย่อตัวคำนับทันที
ฮ่องเต้หมิงหยวนหันมามองนาง “ได้ยินว่าช่วงนี้ลูกเจ็ดชอบเขียนกลอน พระชายาเองก็เก่งแต่งกลอน ถ้าหากว่าว่างละก็ สองคนลองเขียนกลอน อ่านหนังสือด้วยกัน ก็ดูจะสนุกนะ ไม่จำเป็นต้องมาป้วนเปี้ยนในวังบ่อยๆ”
ฉู่หมิงชุ่ยหน้าซีดทันที แล้วพูดขึ้นอย่างใจไม่ดี “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับสั่ง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนสาวเท้ายาวเดินออกไปทันที
ฉู่หมิงชุ่ยค่อยๆ เดินเข้ามานั่งที่เตียง แล้วจิกลงไปที่ผิวหนังตัวเอง “ไม่รู้ว่าหยวนชิงหลิงไปพูดอะไรกับฝ่าบาทกันแน่ ขนาดเสด็จแม่หมดสติ ฝ่าบาทตอนนี้ถึงมา แถมมาแล้วก็ไม่ได้สนใจไยดีอะไร กลับพูดจาเสียดสี เสด็จแม่ เกรงว่าเราต้องไปกดดันทางด้านเสียนเฟยแล้วเพคะ”
พอฮองเฮาได้ยินนางพูดแบบนี้ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาที่ทรวงอก พลันโกรธเกรี้ยวและเจ็บปวดใจ แล้วพูดขึ้น “บอกเสียนเฟยจะมีประโยชน์อะไร?เสียนเฟยมีไทเฮาคอยดูแล ไม่จำเป็นต้องกลัวข้า”
เสียนเฟยเป็นบุตรบุญธรรมของไทเฮา เข้าวังมาหลายปี แล้วมีลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่ง และเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมาก แม้ว่าเรื่องของอ๋องฉู่จะทำให้ความสัมพันธ์ของนางดูไม่ดีมาหลายเดือน แต่หลังๆ มานี้ ฝ่าบาทก็ชอบเสด็จไปหานางที่ตำหนัก
ฉู่หมิงชุ่ยคิดเป็นร้อยรอบ เพื่อต้องการหาทางรับมือกับหยวนชิงหลิง แต่ว่าตอนนี้หยวนชิงหลิงกลับเข้าตาฝ่าบาทซะได้ มีฝ่าบาทคอยเฝ้าอย่างนี้ นางจะสามารถทำอะไรได้
ช่วงนี้จวนอ๋องฉู่ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ถ้ายังจะลงมือต่อ อย่างนั้นมันก็จะไปเข้าทางของจวนฉู่เอาได้
และพอหลังจากที่หยวนชิงหลิงกินเสวยอาหารเย็นกับฝ่าบาทเสร็จก็กลับมาถึงตำหนักด้านข้าง หยู่เหวินเห้านั้นรอนางด้วยความกังวลอยู่นาน
เขาไม่ได้กลัวว่าเสด็จพ่อจะถามอะไรนาง แต่กลัวว่านางจะพูดอะไรไม่เข้าหู แล้วทำให้พระองค์โมโห
คนขี้เหร่อย่างนาง ไม่มีนางทนการลงโทษแบบทหารได้
พอเห็นหยวนชิงหลิงค่อยๆ เดินกลับมา เขาก็อดไม่ได้จึงพยายามลุกขึ้น หยวนชิงหลิงเห็นแบบนั้นก็รีบเดินเข้ามาพยุงเขาไว้ “ท่านจะขยับตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ”
“หยุดสมองอันน้อยๆ ของเจ้า” พอเข้ารู้ตัวว่าตัวเองดูเป็นห่วงนางมากเกินไป จนตัวเองรู้สึกไม่สบายใจ เขาก็รีบหันไปต่อว่าหยวนชิงหลิงแทน
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเขาน่าจะมีโรคประสาท นางเป็นห่วงเขา ยังโดนว่าอีก “ทำไมท่านถึงไม่คิดดีๆ บ้าง?ข้าเป็นห่วงท่านต่างหาก”
“ใครอยากให้เจ้าห่วงกันล่ะ?” หยู่เหวินเห้าพูดเสียงแข็ง
“ข้าขี้เกียจพูดกับท่านแล้ว” หยวนชิงหลิงขึ้นมานอนบนเตียงข้างๆ เขา “ขยับเข้าไปอีกหน่อย ข้าอยากจะหลับสักงีบ”
หยู่เหวินเห้าไม่ยอมขยับ ทั้งสองคนนอนเอาแขนติดกัน แต่ว่าเขาพยายามพูดกับตัวเองว่าเป็นเพราะบาดแผล จึงขยับไม่ได้เลยต้องนอนติดกันแบบนี้
หยวนชิงหลิงหันหน้าออกไปด้านนอก แล้วก็ทำให้เขาเห็นเพียงด้านหลังศีรษะ
“เห้ เสด็จพ่อพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
“ถามเรื่องอาการบาดเจ็บของท่าน” หยวนชิงหลิงหลับตาลง หนังตานางแทบจะปิดแล้ว เพราะกินอิ่มจึงรู้สึกง่วง
“มีอะไรอีก?”
“แล้วก็ถามข้าว่าเมื่อไหร่จะมีลูก”
หยู่เหวินเห้าอึ้งไปชั่วขณะ “เสด็จพ่อถามแบบนี้หรือ?”
“ก็ไม่เชิงว่าถาม แค่เพียงพูดว่าพวกเราอภิเษกกันมาปีหนึ่งแล้ว ทำไมถึงยังไม่มีวี่แววว่าท้องจะโต ข้าก็เลยตอบไปว่า เรากำลังพยายาม หลังจากนี้ปีหนึ่งมีแน่นอน” หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย ที่จริงคือนอนแบบนี้มันสบายจริงๆ
“เจ้าบอกว่าจะมีลูกให้พระองค์หรือ?เจ้ารู้จักพูดบ้างไหม?” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยประสบอารมณ์ เสด็จพ่อได้ยินนางตอบแบบนี้ จะไม่โมโหจนคลั่งเลยหรือ?
“ก็หลานพระองค์ไง” หยวนชิงหลิงไม่ชอบฟังการพูดเสียดสีของเขาแบบนี้ จึงหันหน้ากลับมา เขาเองก็หันมาพอดี นางกะพริบตาสองสามครั้ง ขนตาของนางนั้นแทบจะโดนหน้าเขา นางจึงรีบขยับออกทันที แล้วขยับศีรษะห่างออกมา
ถึงยังไงก็ยังใกล้อยู่ดี หยู่เหวินเห้าก็ยังสามารถมองเห็นหน้านางอย่างชัดมา ผิวพรรณข่าวผ่อง แต่เพราะการนอนไม่พอจึงทำให้ขอบตาคล้ำนิดหน่อย และดวงตาที่ดูอิดโรยเพราะง่วงนอน ริมฝีปากเป็นกระจับ ศีรษะยกขึ้นทำให้คางงอนนิดหน่อย แถมดวงตาขาวดำเป็นประกายที่สดใส
นางนอนเหมือนกับหมีที่ดูไร้เดียงสาแล้วมองเขา
ถ้าพูดเรื่องหน้าตา นางกับฉู่หมิงชุ่ยยังถือว่าห่างกันอยู่
อวัยวะทั้งห้าของนางไม่ดีเท่าไหร่ จมูกไม่ได้โด่งมาก ปากไม่ค่อยเอิบอิ่ม ดวงตาก็ไม่ถือว่าโต แต่พอดูรวมๆ แล้ว กลับดูสบายตาและอบอุ่นยังไงบอกไม่ถูก โดยเฉพาะหางคิ้วที่เวลากระตุกแต่ละครั้ง ทำให้ดูมีออร่าขึ้นมาทันที
ไม่นึกว่าเสด็จพ่อจะถามว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะมีลูกกัน?ช่างไม่คาดคิดจริงๆ
เขาจะมีลูกกับนางได้ยังไง?ลูกชายของหยวนชิงหลิงจะหน้าตาขี้เหร่ขนาดไหน
พอรู้สึกว่ามันน่ากลัว เขาจึงพูดขึ้นเสียงแข็ง “ข้าชอบลูกสาว”
หยวนชิงหลิงหัวเราะออกมาจนไม่เห็นลูกตา “ในยุคสมัยนี้ ลูกสาวคนข้างลำบาก ข้าทนเห็นลูกสาวมีชีวิตลำบากไม่ได้ มีลูกชายดีกว่า”
แต่ว่าถึงนางจะมีลูก ก็ไม่น่าจะมีกับเขา พวกเขาคุยเรื่องหย่ากันแล้ว รอให้นางพอจะเอาตัวรอดได้ ก็จะทิ้งเขาทันที