บทที่ 73 เรียกเขากลับมา

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 73 เรียกเขากลับมา

บทที่ 73 เรียกเขากลับมา

ภายในห้องอาหารนั้นเงียบกริบทันใด

ไม่ว่าจะเป็นฉินฮุ่ยเฟิน เหม่ยหลาน หรือถังเจิ้นที่บังเอิญเดินเข้ามา พวกเขาทั้งหมดต่างมองไปที่ถังหว่าน

ความแตกแล้ว!

ถังหว่านแอบร้องไห้อยู่ในใจ เธอมองลูกสาวและพูดอย่างไม่พอใจว่า “เหมียวเหมี่ยวอย่าพูดไร้สาระ! นั่งลงแล้วกินข้าวไปเงียบ ๆ”

“ฮึกก…”

ถังเหมียวเหมี่ยวตัวสั่นด้วยความตกใจ เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดจึงร้องไห้ออกมา

“อย่าร้องไห้…” ถังหว่านพูด

“ลูกพูดอย่างนี้ได้ยังไง ตัวเองอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ทำไมถึงมาว่าหลานแบบนี้!?” ฉินฮุ่ยเฟินจ้องถังหว่านตาเขม็ง เธอดึงเหมียวเหมี่ยวเข้ามากอดไว้พลางเช็ดน้ำตาให้หลานสาว “เหมียวหมี่ยว บอกคุณยายหน่อยว่าพ่อของหนูอาศัยอยู่ที่บ้านหลังถัดไปใช่ไหม? อาหารเช้าของเขาอร่อยกว่าของคุณยายอีกเหรอ?”

“ฮือฮือ พ่อหนู ฮือฮือ… อร่อย… พ่อหนูทำอาหารเก่งมาก อร่อยมาก” ถังเหมียวเหมี่ยวร้องไห้ไปด้วยพูดไปด้วย

“เหมียวเหมี่ยว…” ถังหว่านพยายามหยุดเธอ

“หุบปาก!” ดวงตาของฉินฮุ่ยเฟินกลายเป็นดุร้าย เธอเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นแล้วชี้ใส่ถังหว่าน “บอกแม่มาตรง ๆ นะว่าสารเลวแซ่โจวมาที่จินหลิงรึเปล่า เขาอยู่บ้านข้าง ๆ ใช่ไหม!?”

“แม่อย่าไปฟังที่เหมียวเหมี่ยวพูด…”

“ลูกยังคิดจะปิดบังแม่อีกเหรอ? แม่มาที่นี่ทีไร เหมียวเหมี่ยวไม่เคยพูดถึงพ่อของเธอเลย แต่คราวนี้แค่สองวัน! เธอพูดถึงมันไปกี่ครั้งแล้ว ถังหว่าน เดี๋ยวนี้ลูกชักปีกกล้าขาแข็ง คิดโกหกแม่อย่างนั้นเหรอ!?” ฉินฮุ่ยเฟินตะคอกเสียงกรุ่นโกรธ

ถังเจิ้นรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขาเงียบไป

ชายวัยกลางคนรู้ได้ในทันทีว่า ไอ้สารเลวที่ไร้ความรับผิดชอบคนนั้นมาเมืองจินหลิงแล้วจริง ๆ ซ้ำยังอาศัยอยู่ข้าง ๆ ด้วย!

อย่างไรก็ตาม สองวันมานี้บ้านหลังนั้นถูกปิดไว้และดูไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เป็นไปได้ว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยากำลังจะมา จึงคิดซ่อนตัวไม่ให้พวกเขารู้

“เขาอยู่ที่ไหน?” ถังเจิ้นจ้องมองไปที่ลูกสาวและเอ่ยถามขึ้น

“หนูไม่รู้” ถังหว่านส่ายหัว

เธอรู้ว่าตัวเองไม่สามารถซ่อนเขาไว้ได้ และไม่ว่าจะปฏิเสธแค่ไหน สุดท้ายแล้วพ่อกับแม่ก็จะรู้อยู่ดี

อีกทั้ง พวกเขาคงไม่คิดจะจากไปตอนนี้ด้วย

ถ้าพวกเขาไม่ไป ถึงตอนนั้นโจวอี้กลับมาใช้ชีวิตกับลูกสาวของตัวเอง ไม่แคล้วคงได้เจอพ่อแม่ของเธอแน่

“พ่อคะ แม่คะ ปล่อยเขาไปเถอะ หนู…”

“ไอ้สารเลวเอ๊ย!”

ถังเจิ้นโกรธจัด เขาชี้หน้าถังหว่านและพูดว่า “ไอ้สารเลวนั่น… มันไร้ความรับผิดชอบแค่ไหน ตอนนั้นเขาทำให้ลูกต้องทนทุกข์กับความผิดกี่ครั้ง ตอนนี้มันคิดอยากจะมาอยู่ที่นี่หน้าตาเฉย ต้องเป็นคนแบบไหนกันถึงทำตัวแบบนี้? ถ้าลูกกล้าที่จะติดต่อกับเขาอีก พ่อจะหักขาลูกซะ แล้วยังมีเหมียวเหมี่ยวอีก เธอคือหลานที่ตระกูลถังของเราเลี้ยงดู และเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย”

“แต่เหมียวเหมี่ยวต้องการพ่อ” ถังหว่านเถียงบุพการี

“ถ้าเธอต้องการพ่อ ลูกหาคนอื่นก็ได้ คนที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และคนที่เก่งกว่าเขาเป็นหมื่นเท่า” ถังเจิ้นพูดอย่างโกรธเคือง

“หนูไม่อยากได้ หนูมีพ่อแล้ว! คุณตาใจร้าย!” ถังเหมียวเหมี่ยวสะอื้นไห้ ก่อนจะดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดของฉินฮุ่ยเฟิน และวิ่งไปกอดขาของถังหว่านแทน

ถังเจิ้นมองดูหลานสาวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ หัวใจของเขาพลันกระตุกเล็กน้อย

ใจร้าย?

ฉันรักเด็กตัวเหม็นคนนี้มากแค่ไหน แต่ตอนนี้เธอถึงกับบอกว่าฉันใจร้าย?

หมาป่าน้อยตาขาว!

ฉินฮุ่ยเฟินเดินไปจับมือของถังเจิ้นไว้ จากนั้นเธอก็มองไปที่ถังหว่านและพูดว่า “ถ้าลูกยังยืนยันที่จะกลับไปหาเขา เราก็ไม่สามารถทำอะไรลูกได้ แต่ตอนนี้ใช่เวลาที่ไอ้สารเลวนั่นจะหลบหน้าเราเหรอ นี่คือมารยาทที่สมควรกับผู้ใหญ่ใช่ไหม?”

“หนูบังคับให้เขาออกไปซ่อนตัวสองสามวันเองค่ะ” ถังหว่านกล่าวอย่างขมขื่น

“โอเค ต่อให้ลูกบังคับให้เขาไปซ่อนตัว แต่พวกเราก็รู้เรื่องแล้ว ลูกควรโทรเรียกเขากลับมาซะ ลองมาจับเข่าคุยกันซึ่ง ๆ หน้า” ฉินฮุ่ยเฟินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ

“หนู…”

“ร้องไห้เหรอ?” ฉินฮุ่ยเฟินมองลูกสาว

ถังหว่านเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ

อันที่จริง จนถึงตอนนี้เธอยังไม่รู้วิธีจัดการกับโจวอี้เลยสักนิด

แน่นอนว่าเธอยังคงมีความรู้สึกต่อโจวอี้ และคิดว่าต่อให้เขาไม่ออกมารับผิดชอบ เธอก็จะเลี้ยงดูลูกสาวของตัวเองต่อไป แม้ว่าเธอจะโสดไปตลอดชีวิตก็ตาม

ทว่าสุดท้ายแล้วโจวอี้กลับหวนคืนมา แน่นอนว่าเขาเต็มใจที่จะดูแลเธอกับลูกสาว

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อถังหว่านเห็นโจวอี้อีกครั้ง เธอไม่ได้มองโจวอี้ในแง่ดีเลย สาเหตุหลักเป็นเพราะความเจ็บปวดและความคับข้องใจที่เธอได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ณ พาราไดซ์คลับ

ปืนสีดำหลายสิบกระบอกมุ่งเป้าไปที่คนทั้งหกภายในจัตุรัส

ผู้เฒ่าทั้งสองอยู่คนละด้าน และข้างหลังพวกเขามีชายหญิงวัยกลางคนอีกสองคน

โจวอี้ยืนอยู่ที่ขอบของจัตุรัส มือเล่นกับเข็มเงินไปพลาง ขณะที่ดวงตาอันเฉียบคมทอดมองไปยังผู้เฒ่าทั้งสองคน

เขารู้สึกถูกคุกคาม

เช่นเดียวกับเสือโคร่ง เสือดาว และลิ่วล้อที่เขาพบเมื่อยังเป็นวัยรุ่น พวกมันอาจทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ทุกเมื่อ

“ศิษย์น้อง พวกมันแข็งแกร่งมาก” หลินเวยยืนอยู่ข้างโจวอี้ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นส่ำ

“อืม!” โจวอี้พยักหน้าเชื่องช้า แต่ทันใดนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้า

“สุภาพบุรุษท่านนี้มาที่นี่เพื่อหม้อระงับวิญญาณใช่หรือไม่?” โจวอี้ถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

“ถูกต้อง มอบหม้อระงับวิญญาณมา และฉันจะไว้ชีวิตนาย ไม่อย่างนั้นละก็” ชายชราหลังค่อมที่เปียบิดเป็นเกลียวพูดขึ้น เขาอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายประจำชาติและมีงูเขียวพันรอบข้อมือซ้ายด้วย ชายชราพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนที่วิญญาณอาฆาตของเขาจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วย

“ฉันแค่ต้องการดูหม้อระงับวิญญาณ ถ้าฉันไม่สามารถเข้าใจคำสาปสังหารในหม้อได้ ฉันจะคืนมันทันที” ชายชราอีกคนท่าทางดูใจดีไม่น้อย เขาอยู่ในชุดสูทสีเทา ขณะที่ทั้งร่างถูกไม้เท้าทองแดงค้ำยันไว้อยู่

เข็มเงินของโจวอี้หมุนอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขามองดูชายชราสองคน ก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ และพูดว่า “ถ้าคุณต้องการมันก็ลองแย่งชิงดู อันที่จริง ถ้าพวกคุณอยากเห็นหม้อระงับวิญญาณขนาดนั้น พวกคุณสามารถไปที่งานประมูลในวันพรุ่งนี้ได้นะ”

“ไม่ต้องพูดมาก ส่งมันมา” ชายชราหลังค่อมตะคอก

“หึหึ!”

โจวอี้หัวเราะเยาะ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ยกแขนขวาขึ้น

ทันใดนั้น มือปืนหลายสิบคนก็ขยับนิ้วไปที่กลไกปืน ตราบใดที่แขนของโจวอี้ขยับอีกนิด พวกเขาจะยิงโดยไม่ลังเลทันที

“เจ้าหนู แกไม่รู้กฎของโลกยุทธภพหรือไง” สายตาของชายชราหลังค่อมเบิกกว้างขึ้น จากนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดัง

“ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกยุทธภพเลย และก็ไม่สนใจกฎเกณฑ์พวกนั้นด้วย ทั้งหมดที่ผมรู้คือใครก็ตามที่อยากจะขโมยสิ่งของของเรา เราจะฆ่ามันด้วยทุกวิถีทาง” โจวอี้เย้ยหยัน

ชายชราหลังค่อมยกมือขึ้นลูบหัวงูเขียวตัวน้อย สีหน้าของเขาดูลังเล

หากมีปืนเพียงไม่กี่กระบอกที่เล็งมา เขาอาจจะไม่สนใจ แต่ถึงแม้ปืนหลายสิบกระบอกจะเล็งมาที่เขา แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากขอบเขตของอาจารย์เพียงครึ่งก้าว เขาก็ยังไม่กล้าที่จะกระทำการเผด็จการ

เขาตั้งใจที่จะฆ่ามือปืนทั้งหมด

ทว่าตอนนี้มีคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่รอบตัวเขา เขาไม่ต้องการพ่ายแพ้ให้โจวอี้และคนอื่น ๆ จนถูกคนกลุ่มอื่นเอาเปรียบไปเปล่า ๆ

“น้องชาย นายชื่ออะไร” ชายชราที่ถือไม้ยันรักแร้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แซ่ของผมคือโจว!”

“น้องโจว นายก็รู้ความตั้งใจของฉัน ตราบใดที่ให้ฉันได้ดูหม้อระงับวิญญาณ ฉันจะมอบโอสถอันล้ำค่าที่ปรุงโดยนักสมุนไพร แม้ว่ามันจะไม่สามารถใช้ฆ่าคนได้ แต่คนที่ได้รับบาดเจ็บจะฟื้นตัวได้ในเวลาอันสั้น น้องชายคิดว่าอย่างไร?” ชายชราถามขึ้น ขณะที่ยืนพิงไม้ค้ำทองแดง

ปรุงยา?

นักสมุนไพร?

โจวอี้หัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยิน