ตอนที่ 103 เตรียมตัวก่อนสอบ

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 103 เตรียมตัวก่อนสอบ

ไป๋เยี่ยเป็นคนรอบคอบ เขามีการเตรียมตัวรับมือกับเหตุฉุกเฉินเสมอ

เขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการค้นหาทุกสิ่งที่พอจะหาได้จากฟอรัม พร้อมกับจดหัวข้อพื้นฐานทั้งหมดที่ต้องใช้ในการสอบรอบสองไว้ในตาราง

ไป๋เยี่ยลองตรวจสอบดู

สอบข้อเขียน √

การตรวจร่างกาย √

การวินิฉัยโรคทั่วไป √

การเจาะร่างกาย √

การทำเวชระเบียน ×

สอบสัมภาษณ์ ×

ไป๋เยี่ยคิดว่าสองสามรายการแรกไม่น่าจะมีปัญหาอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็เหลือแต่การทำเวชระเบียนและการสอบสัมภาษณ์

รูปแบบการจัดทำเวชระเบียนจะแตกต่างกันไปตามโรงพยาบาลและแผนกต่างๆ

แน่นอนว่ารวมถึงข้อมูลพื้นฐานด้วย เช่น คำร้องเรียน ประวัติการเข้ารักษา ประวัติส่วนตัว ประวัติการสมรสและการคลอดบุตร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม วิธีการเขียนและรูปแบบแตกต่างกันไปตามแต่ละที่ ผู้ตัดสินคะแนนก็คืออาจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ ซึ่งจะต้องให้คะแนนโดยอิงจากรูปแบบการเขียนเวชระเบียนตามมาตรฐานของทางมหาวิทยาลัยแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น พวกรุ่นพี่มักจะบอกว่าการทำเวชระเบียนก็เหมือนกับการดูแลผู้ป่วยนั่นเอง เพราะว่าคุณต้องถามประวัติการรักษา ตรวจร่างกาย และจบด้วยการจดบันทึกผลการวินิจฉัยและแผนการรักษา

เป็นการทดสอบตัวบุคคลในด้านการตรวจร่างกาย การวินิฉัยโรค และการให้คำปรึกษา

เลเวลวิชาการวินิฉัยโรคทางการแพทย์แผนปัจจุบันของไป๋เยี่ยก็อยู่ที่เลเวลสองซึ่งเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง

เขาถือเป็นหนึ่งในบุคลากรแนวหน้าในหมู่นักศึกษาด้วยกันเอง

ทว่าไป๋เยี่ยยังวางใจไม่ได้ เมื่อมองคนอื่นๆ ในประเทศแล้ว ก็จะพบว่ายังมีคนเก่งอีกมากมายหลายคน ตัวอย่างก็เช่นฟู่ย่าตงที่สอบได้สี่ร้อยสี่สิบเอ็ดคะแนน

ไป๋เยี่ยทำได้เพราะใช้กลโกง แต่คนอื่นไม่ได้ใช้! พวกเขาต่างหากที่เป็นอัจฉริยะตัวจริง

พอคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ไป๋เยี่ยก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาจึงตัดสินใจไปฝึกฝนการวินิฉัยโรคโดยใช้การแพทย์แผนปัจจุบันก่อน

อย่างน้อยการวินิจฉัยโรคด้วยการแพทย์แผนจีนก็อยู่ที่เลเวลสาม คงจะไม่มีปัญหาอะไร

สมมติว่าคุณได้ซักประวัติการเข้ารักษาและตรวจร่างกายผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนการวินิฉัยโรค

การวินิฉัยตามหลักการแพทย์แผนจีน โรคหลักคืออะไร และอยู่ในกลุ่มอาการแบบไหน

การวินิจฉัยตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน วินิฉัยอาการก่อนแล้วจึงวินิฉัยปัจจัยอื่น

ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ

การวินิฉัยตามหลักการแพทย์แผนจีน โรคหลักคือโรคหลอดเลือดสมองตีบ กลุ่มอาการคือ เกิดที่เส้นลมปราณกลาง มีการอุดตันของเสมหะ

การวินิจฉัยตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน

  1. เกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน

2.ความดันโลหิตสูงระดับสาม (กลุ่มมีความเสี่ยงสูงมาก)

  1. เบาหวาน

หลังจากนั้นก็จะมีการกำหนดแผนการรักษา แน่นอนว่าโดยทั่วไปหากขอแผนการรักษาจากแพทย์แผนจีน คุณก็จะได้รับใบสั่งยาแทน

เพราะว่าคุณจะไปทำแผนการรักษาตามแบบฉบับการแพทย์แผนปัจจุบันได้อย่างไรล่ะ

เพราะฉะนั้น หัวใจสำคัญของการทำเวชระเบียนก็คือการวินิฉัยโรคนั่นเอง หากวินิฉัยผิดก็จะได้คะแนนน้อยลงด้วย

นอกจากนี้ รุ่นพี่ยังเคยบอกว่า ตอนสอบจะมีผู้ป่วยมาจากหลายแผนก ขอให้เลือกผู้ป่วยจากแผนกอายุรศาสตร์อย่างแผนกโรคตับ แผนกม้ามและระบบทางเดินอาหาร แผนกโรคหัวใจ แผนกโรคสมอง (โรคประสาท) แผนกโรคปอด (แผนกระบบทางเดินหายใจ) แผนกโรคไต และแผนกต่อมไร้ท่อก่อน

แน่นอนว่ายกเว้นแผนกศัลยกรรม เพราะว่าคุณอาจจะถูงส่งไปที่แผนกศัลยกรรมทั่วไป ไม่ก็แผนกผิวหนังก็ได้

ไป๋เยี่ยสมัครสอบไปในสาขาอายุรศาสตร์แพทย์แผนจีน ทว่าในอินเทอร์เน็ตนั้นกลับมีแค่รูปแบบการจัดทำเวชระเบียนของแผนกม้ามและระบบทางเดินอาหาร แผนกต่อมไร้ท่อ และแผนกโรคหัวใจเท่านั้น ส่วนของแผนกอื่นๆ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

ทำไงดี

ไป๋เยี่ยหันไปมองพ่างจื่อ เจ้าหมอนี่รู้จักคนไปทั่ว จะรุ่นพี่รุ่นน้องสามรุ่นก่อนหน้าหรือสามรุ่นหลังเขาก็รู้จักหมด เจ้าหมอนี่น่าจะมีช่องทางติดต่อคนพวกนั้น ถึงจะพูดเกินจริงไปหน่อยก็เถอะ แต่พ่างจื่อก็เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีจริงๆ นั่นแหละ

คิดได้ดังนั้นไป๋เยี่ยก็เอ่ยปากถามขึ้น “พ่างจื่อ รู้จักใครที่ไห่ซื่อบ้างไหม”

พ่างจื่อได้ยินก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาหา “มีสิ! ประธานสมาคมนักศึกษาคนก่อน ‘เฉียวเสี่ยวหยาง’ ไง เขาสอบติดที่ไห่ซื่อน่ะ”

ทันทีที่ไป๋เยี่ยได้ยิน แววตาของเขาก็เป็นประกายทันที “นายมีช่องทางติดต่อเขาอยู่ไหม”

พ่างจื่อหันกลับมา “ทำไมอะ มีเรื่องอะไรเหรอ”

ไป๋เยี่ยจึงบอกพ่างจื่อเรื่องการสอบรอบที่สอง พ่างจื่อที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่รีรอ กดเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายทันที

อีกฝ่ายสุภาพมาก เมื่อเขาได้ข่าวว่าไป๋เยี่ยจะมาสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ เขาก็เล่าถึงความลำบากที่เขาได้พบเจอมา รวมถึงเรื่องที่ควรจะระวังให้ไป๋เยี่ยฟัง

แต่เมื่อได้ยินว่าไป๋เยี่ยเลือกสมัครสอบกับเฮ่ออัน น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ฟังดูลังเลขึ้นเล็กน้อย “เฮ่ออัน… คนนี้น่าจะยากหน่อยนะ ฉันเคยได้ยินมาว่าที่ไห่ซื่อมีนักศึกษาในสังกัดของเขาแค่ไม่กี่คนเอง แถมยังเคยมีแค่คนเดียวที่ได้ไปขึ้นวอร์ดกับเขาด้วย ทำไมไม่หาที่ปรึกษาให้ไวกว่านี้ล่ะ นี่ก็ใกล้จะสอบอยู่แล้ว…ที่ปรึกษาตัวเองนายยังไม่เคยเจอเลย ใจกล้านะเนี่ย!”

ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง ก็ตั้งแต่ที่การสอบเรียนต่อปริญญาโทจบลง เขาก็แทบจะยุ่งตลอดเวลา ทั้งการแข่งขันความรู้ ทั้งกลุ่มทดลองโนเบลที่เขาเพิ่งจะกลับมาจากที่นั่นได้ไม่กี่วันเท่านั้น

ยังไม่ทันได้พักเลย!

เฉียวเสี่ยวหยางถาม “ว่าแต่ไป๋เยี่ยสอบได้เท่าไหร่เหรอ เฮ่ออันตั้งมาตรฐานไว้สูงนะ ถ้านายได้คะแนนน้อยล่ะก็ ฉัน…เคยได้ยินมาว่าเฮ่ออันจะรับแต่คนที่ได้คะแนนมากกว่าสี่ร้อยนะ!”

ไป๋เยี่ยจึงต้องตอบไปตามตรง “พี่เฉียว ผมได้สี่ร้อยหกสิบเอ็ด”

เฉียวเสี่ยวหยางได้ยินก็เงียบไปสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “นายแน่มาก!”

เฉียวเสี่ยวหยางเองก็กระตือรือร้นมาก เขาสัญญาว่าจะส่งรูปแบบเวชระเบียนของแต่ละแผนกให้ไป๋เยี่ยภายในวันพรุ่งนี้

เฉียวเสี่ยวหยางยังบอกไป๋เยี่ยด้วยว่าให้ลองค้นหาบทความและแนวคิดต่างๆ ของเฮ่ออันจากในอินเทอร์เน็ตด้วยจะดีที่สุด เพราะมันอาจจะกลายเป็นคำถามสอบสัมภาษณ์ก็ได้

หลังจากวางสาย ไป๋เยี่ยก็รีบค้นหาชื่อเฮ่ออันทันที แน่นอว่าในเว็บไซต์ไป๋ตู้ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเฮ่ออันเช่นกัน

ไป๋เยี่ยลองกดเข้าไปอ่าน เขาประหลาดใจมากเมื่อได้พบว่าเฮ่ออันเป็นคนมีความสามารถถึงขนาดนี้

เฮ่ออันเขียนหนังสือหลายเล่มและบทความมากกว่าเจ็ดสิบฉบับ รวมถึงวารสารวิทยาศาสตร์กว่าสามสิบฉบับ ที่เหลือก็เป็นวารสารชั้นนำของประเทศทั้งนั้น

‘ยาลดความเครียด’ ที่เขาคิดค้นขึ้นได้รับรางวัลที่สองของรางวัลความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ รางวัลที่หนึ่งของรางวัลคิดค้นยา รางวัลที่หนึ่งของรางวัลนวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเมืองไห่ซื่อ และรางวัลอื่นๆ

บนไป๋ตู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเฮ่ออันไว้ว่าเขาเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการค้นคว้าเรื่องโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และอาการนอนไม่หลับ

ไป๋เยี่ยจึงล็อกอินเข้าสู่ฐานข้อมูลว่านฟางและซีเอ็นเคไอทันที

เขาเจอบทความเกี่ยวกับโรควิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าของเฮ่ออัน มีการนำบทความของเฮ่ออันไปใช้ในการอ้างอิงหลายแห่ง ทั้งยังมีการดาวน์โหลดบทความของเขาจำนวนมาก นี่คือพรสวรรค์ที่แท้จริง! บทความของเขาดีมาก!

ไป๋เยี่ยดาวน์โหลดบทความหลายสิบฉบับและนำมาศึกษาอย่างละเอียด

เฮ่ออันเป็นสมาชิกของกลุ่มนักวิชาการตะวันตกในช่วงปี 1990 แนวคิดของเขาสร้างอิทธิพลให้กับวงการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเขาเองก็มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้เขาจะศึกษาการบูรณาการระหว่างการแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันก็ตาม ทว่าเขาก็ยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และจบปริญญาเอกจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยถงจี้

ไป๋เยี่ยใช้เวลาทั้งวันไปกับการอ่านงานเขียนของเฮ่ออัน พร้อมทั้งค้นหาผลงานหนังสือของเขาจากในอินเทอร์เน็ต

เฉียวเสี่ยวหยางเองก็ทำตามสัญญา เขาส่งไฟล์เวชระเบียนกว่าแปดสิบรายการให้ไป๋เยี่ยในวันรุ่งขึ้น

ทั้งยังบอกไป๋เยี่ยว่าเวชระเบียนที่เขาส่งให้นั้นเป็นของผู้ป่วยที่เพิ่งเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อช่วงที่ผ่านมานี้ ไปลองอ่านรูปแบบเวชระเบียนของแต่ละแผนกได้ หลังจากไป๋เยี่ยสอบเสร็จก็อาจจะมีเวชระเบียนชุดใหม่เวียนเข้ามา ถึงตอนนั้นเขาจะส่งให้ไป๋เยี่ยอีกที บางทีอาจจะช่วยให้ไป๋เยี่ยวินิฉัยอาการป่วยได้ดีขึ้นก็ได้

ไป๋เยี่ยรู้สึกขอบคุณเฉียวเสี่ยวหยางมาก เขาอุตส่าห์ถ่ายภาพเคสผู้ป่วยมาให้เยอะขนาดนี้ ถือว่าเป็นเรื่องยากจริงๆ ต้องคอยวิ่งวุ่นไปแผนกนู้นแผนกนี้ตลอดเวลา ทำเอาอดเกรงใจไม่ได้เลย