บทที่ 77 เจ้าสำนักไร้ยางอาย(ต้น)
“เมื่อวานข้าครุ่นคิดอย่างหนักจนท้ายที่สุดข้าก็เข้าใจได้ว่าสิ่งที่พวกท่านทำลงไปทั้งหมดมันเพื่อผลประโยชน์ของตัวข้าเอง” ในขณะที่พูด ซูอัน
ก็เหลือบไปเห็นว่า หงซิงอิง ก็ยืนอยู่ข้างหลัง ฉู่จงเทียนและฉินว่านหรู
แต่หงซิงอิงกลับแสดงสีหน้าไม่แยแสอะไรเขาเลย ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา
เลยด้วยซ้ำ ทำไมไอ้หนุ่มคนนี้ถึงได้ดูเย็นชาต่อข้านัก? มันทำเหมือนกับว่าข้าเคยไปเหยียบไข่มันมาก่อนยังไงยังงั้น!
“เจ้าฉลาดขึ้นมากจริง ๆ ” ฉู่จงเทียน เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบานพร้อมกับลูบเคราของตัวเอง “ชูเหยียน น่าจะยินดีเป็นอย่างมากที่ได้รู้ว่าเจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว”
คำว่า ‘ชูเหยียน’ ทำให้แววตาของ หงซิงอิง ดูเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็รีบซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็ว
ฉินว่านหรู เอ่ยกับ ซูอัน ว่า “เอาล่ะในเมื่อวันนี้เจ้าตัดสินใจไปสำนัก งั้นเจ้าก็ควรพา ซิงอิง ไปด้วย นับจากวันนี้เขาจะเข้าไปเรียนที่สำนักจันทร์กระจ่างร่วมกับเจ้า มันคงจะดีกว่าถ้ามีเขาคอยดูแลเจ้าเมื่ออยู่ข้างในนั้น ซิงอิง เป็นเด็กที่ฉลาดและเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นข้าแน่ใจว่าเจ้าสามารถเรียนรู้ได้มากมายจากเขา”
หงซิงอิง ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและพูดว่า “นายหญิง ท่านชมข้าเกินไปแล้ว ข้าขอรับปากว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด”
ซูอัน เดาะลิ้นของเขาอย่างเงียบ ๆ ความหมายในการ ‘ดูแล’ ก็คือจับตาดูข้าเอาไว้สินะ คงกังวลกันมากหลังจากที่ข้าโดดเรียนไปเมื่อวานนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้ หงซิงอิง มาคอยเรียนร่วมกับข้าเพื่อคอยกันไม่ให้ข้าโดดเรียนอีกแน่นอน
ในตอนนี้ ซูอัน เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม หงซิงอิง ถึงไม่ชอบขี้หน้าเขา
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ลูกของพ่อบ้านอย่าง หงซิงอิง จะได้รับโอกาสในการ
เข้าเรียนในสถานศึกษา โดยเฉพาะเมื่อเขาบาดเจ็บอยู่แบบนี้ แค่เขาพูดเพียงคำเดียวว่าไปไม่ไหว หงซิงอิง ก็จะไม่มีโอกาสเข้าไปเรียนในสำนัก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ หงซิงอิง จะรู้สึกไม่พอใจ
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิจะมีนโยบายไม่ปิดกั้นการศึกษาจากคนทุกชนชั้น
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสเข้าไปเรียนในสถานศึกษาสักแห่งโดยเฉพาะสถานศึกษาที่โด่งดังเช่นสำนักจันทร์กระจ่าง
อย่างน้อยที่สุดใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าไปเรียนก็ต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเองก่อน แต่สำหรับ ซูอัน เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรเลยก็สามารถเข้าไปเรียนในสำนักได้อย่างง่ายดาย
คนอื่น ๆ เช่น หงซิงอิง และคนรับใช้คนอื่น ๆ ของตระกูลฉู่ ตราบใด
ที่เจ้านายของพวกเขาปฏิเสธที่จะให้ความเห็นชอบ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมีโอกาสเข้าไปเรียนในนั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูอันก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย หงซิงอิง ไม่ควรขอบคุณข้ามากกว่างั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่ข้า เขาจะมีโอกาสได้เข้าเรียนในสำนักจันทร์กระจ่างได้ยังไง?
ในขณะที่ ซูอัน คิดถึงคะแนนความโกรธที่เขาได้รับมาจากฝั่งตรงข้ามถึง 200 กว่าคะแนน เขาก็คิดว่ามันน่าจะมีเรื่องอื่นร่วมด้วยไม่งั้นฝั่งตรงข้ามคงไม่พอใจเขาถึงขนาดนี้
ฉู่จงเทียน และ ฉินว่านหรู ยังคงสั่งการเรื่องต่าง ๆ ต่อไปอีกเล็กน้อยก่อนจะจากไปซึ่ง หงซิงอิง ก็เดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าหยิงยโสเหมือนเดิม
จากนั้น ซูอัน ก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวและเมื่อมีคนนำอาหารเข้ามาให้
ซูอัน ก็ชวน เฉิงโซวผิง ให้นั่งลงกินอาหารร่วมกับเขา
การกระทำนี้ทำให้ เฉิงโซวผิง ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง
นายน้อย แม้ว่าท่าจะโง่และอวดดี แถมยังไร้ความสามารถ… แต่ท่าน
ก็ปฏิบัติต่อข้าดีเหลือเกิน ท่านไม่คิดว่าข้าเป็นแค่บ่าวที่ไร้ค่าคนหนึ่ง!
ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะช่วยให้ท่านได้รับตำแหน่งในตระกูลฉู่
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!
หาก ซูอัน รู้ว่าฝั่งตรงข้ามคิดอะไรอยู่ เขาคงอาจจะลุกขึ้นมาตบซาลาเปาทั้งสองลูกให้กระจุยอีกรอบ
“แค่ก แค่ก!” เงาของชายชราเดินผ่านหน้าต่างหน้าห้อง
ซูอัน ซึ่งกำลังกินอาหารอยู่ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหูของเขาว่า
“วันนี้เจ้าห้ามเถลไถลอีกเป็นอันขาดและอย่าลืมตามหา เว่ยหงเต๋อ!”
แต่เมื่อ ซูอัน หันหน้าไปทางต้นเสียง ร่างของ ผู้เฒ่ามี่ ก็หายไปเสียแล้ว
“ก่อนหน้านี้เจ้าได้ยินเสียงอะไรไหม” ซูอัน สะกิด เฉิงโซวผิง และถาม
“ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย เอื้อก~” เฉิงโซวผิง หมกมุ่นอยู่กับอาหารมากเกินไปจนสายตาของเขาไม่เคยออกจากโต๊ะ
“นี่เจ้าไม่กลัวสำลักตายเหรอไง?” ซูอัน กลอกตาด้วยความรังเกียจ อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่เขาเพิ่งได้ยินมันทำให้ขนของเขาลุกไปทั่วร่าง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลัวชายชราลึกลับคนนี้มากกว่า ฉู่จงเทียน และ ฉินว่านหรู ซะอีก
ดูเหมือนว่าวันนี้เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคลุกตัวอยู่แต่ในสำนักจันทร์กระจ่างแค่เพียงอย่างเดียว
หลังจากทานอาหารเสร็จ เฉิงโซวผิง ก็ช่วย ซูอัน เก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋าเรียน และเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเดินออกจากประตู หงซิงอิง ก็ได้มารออยู่ข้างนอกพร้อมกับกระบี่ในอ้อมแขนของเขาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นทั้งคู่เดินออกมา หงซิงอิง ถามขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิดว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงช้าขนาดนี้”
ท่านยั่วยุ หงซิงอิง สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +99!
หืม ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นบ้าอะไรของมัน?
ซูอัน ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปเขาเอ่ยถามขึ้นทันที “เจ้าเป็นนายหรือข้าเป็นนายกันแน่? จะบ่นทำไมกับการรอข้าแค่นี้?”
“ต่อให้เจ้าเป็นนายน้อยแล้วยังไง? ไม่มีใครใน คฤหาสน์ตระกูลชูที่ไม่รู้ภูมิหลังของเจ้า เจ้าคิดว่าจะขู่ข้าได้งั้นเหรอ?” หงซิงอิง เยาะเย้ยด้วยสีหน้ารังเกียจ
ซูอัน มองฝั่งตรงข้ามตั้งแต่หัวจรดเท้า “ข้าเคยไปเหยียบเท้าเจ้างั้นเหรอ?”
หงซิงอิง ตกตะลึงกับคำถามแบบนี้ได้แต่ตอบไปอย่างอึกอัก “ปะ…เปล่าเจ้าไม่เคย”
“แล้วทำไมเจ้าถึงเป็นปฏิปักษ์ต่อข้าขนาดนี้?” ซูอันถามกลับ
ร่างกายของ หงซิงอิง แข็งทื่อ เขาไม่ได้คาดหวังว่า ซูอัน จะกล้าถามเขาแบบนี้ตรง ๆ เขาเหลือบมอง เฉิงโซวผิง และในท้ายที่สุด เขาก็เลือกที่จะตอบไปอย่างระมัดระวัง “ข้าไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้า ข้าแค่คิดว่ามันน่าเสียดายมากสำหรับคุณหนูใหญ่ผู้มากความสามารถต้องมาลงเอย
กับคนอย่างเจ้า ผู้ชายอย่างเจ้าไม่มีวันคู่ควรกับนาง!”
เฉิงโซวผิง ประท้วงเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ “เอ่อ… ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นนายน้อย เจ้าไม่ควรที่จะพูดจาแบบนี้…”
ซูอัน รู้สึกชอบใจกับการกระทำของ เฉิงโซวผิง เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้
จะกล้าออกตัวแทนเขาแบบนี้
หงซิงอิง เหลือบมอง เฉิงโซวผิง ด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะตวาดถามกลับ “แล้วสิ่งที่ข้าพูดมันผิดตรงไหน? ไหนเจ้าลองชี้ข้อดีสักข้อของนายน้อยของเจ้ามาให้ข้าฟังสักหน่อยจะได้ไหม?”
เฉิงโซวผิง อ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ก่อนที่เขาจะได้คำตอบในที่สุด “ถึงแม้ว่านายน้อยจะไม่มีพรสวรรค์ใด ๆ แต่อย่างน้อยรูปลักษณ์ของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า ผ่านได้!”
เลือดสูบฉีดขึ้นไปที่หัวของ ซูอัน ทันทีเพราะความโมโห เขาผลัก
เฉิงโซวผิง ออกไปทันที เขาคิดว่ามันเป็นปาฏิหาริย์อย่างมากที่ไอ้เด็กนี่ยังคงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้เพราะปากของมัน!
จากนั้น ซูอัน หันไปหา หงซิงอิง และพูดว่า “อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้าก็เป็นอีกคนที่แอบหลงรัก ชูเหยียน ของข้านี่เอง!”
สีหน้าที่ดูหยิ่งยโสของ หงซิงอิง เปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “หยุดพูดจาไร้สาระเดี๋ยวนี้! ข้าไม่ได้หลงรักคุณหนูใหญ่สักหน่อย!!”