ตอนที่ 96 ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 96 ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

ตอนที่ 96 ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

“พี่สาวหวัง ก้าวเท้าซ้ายออกไปก่อน”

“ปัดแขนไปทางซ้ายสิ”

“ไม่ใช่ คุณต้องเต้นตามจังหวะ ดูการเคลื่อนไหวของทุกคนเป็นตัวอย่างแล้วทำตาม ยกแขน ยกขา คุณอายุยังน้อยแท้ ๆ จะยกแขนขาสูงกว่านั้นไม่ได้เชียวเหรอ?”

หลินเซี่ยมองไปทางผู้หญิงที่ยืนอยู่ในแถวสุดท้ายพร้อมกับขมวดคิ้ว

หวังซิ่วฟางจงใจทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำอย่างชัดเจน

ท่าทางการเต้นก็เหมือนคนยังไม่ได้กินข้าว ไม่ยอมยกแขนขึ้นเลย

ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้องจริง ๆ

เมื่อหลินเซี่ยเอาแต่เรียกชื่อหล่อนบ่อยกว่าคนอื่น หวังซิ่วฟางจึงตอบโต้อย่างไม่พอใจ

“ฉันกำลังเรียนรู้อยู่นะ แม่สาวน้อยคนนี้ใจร้ายจริง ๆ ไม่มีความอดทนแต่กลับมาสอนคนอื่นเต้น แบบนี้เธอจะเป็นแม่เลี้ยงให้ลูกของคนอื่นได้ยังไง? ไม่ทุบตีเด็กทั้งวันจนตายเลยเหรอ?”

หวังซิ่วฟางไม่เพียงแต่สร้างปัญหาเท่านั้น ยังแสดงท่าทางแปลก ๆ ด้วย ในที่สุดหลินเซี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ล้มเลิกความตั้งใจกลางคัน “พี่สาวจาง ฉันคงสอนพวกคุณเต้นไม่ได้จริง ๆ”

เธอที่มีเหงื่อออกชุ่มโชกจึงถอดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายออก มองดูหวังซิ่วฟางแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ความอดทนของฉันถึงขีดจำกัดแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันเห็นแก่ที่คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของเฉินเจียเหอ ฉันเลยยอมไว้หน้าคุณบ้าง แต่คุณกลับเอาแต่ทำตัวมีปัญหา งั้นจากนี้เราสองคนก็ไม่ต้องไว้หน้ากันอีกต่อไป”

เธอมีทัศนคติที่แข็งกร้าว มองดูพี่สาวจางแล้วยื่นคำขาด “บอกให้หล่อนถอนตัวไปค่ะ ไม่งั้นฉันจะถอนตัวเอง และไม่สอนใครเต้นทั้งนั้น”

พี่สาวจางและคนอื่น ๆ รีบหันหน้าเข้าหากัน แล้วมองไปทางหวังซิ่วฟางที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

พวกหล่อนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานกับหวังซิ่วฟาง ดังนั้นจึงมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลหล่อนเสมอ แต่ครั้งนี้หวังซิ่วฟางทำเกินไปจริง ๆ หล่อนไม่มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมเลย

เฉินเจียเหอไม่เคยมีท่าทางว่าคิดเกินเลยกับหล่อนสักครั้ง มีแต่หล่อนที่คิดไปเองฝ่ายเดียวว่าสักวันตัวเองและเฉินเจียเหอจะมีโอกาสได้พาลูก ๆ มาอยู่ร่วมครอบครัวเดียวกัน

หลินเซี่ยไม่ใช่คนที่ขโมยเฉินเจียเหอไปจากหล่อนเสียหน่อย

การที่หล่อนพยายามตั้งตนเป็นศัตรูกับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ จนขัดขวางกิจกรรมของส่วนรวมแบบนี้มันออกจะมากไปหน่อย

พี่สาวหลิวเป็นคนตรงไปตรงมา หล่อนไม่เข้าใจพฤติกรรมของหวังซิ่วฟางเลย “ซิ่วฟาง ถ้าเธอไม่อยากฝึกซ้อมงั้นก็ถอนตัวไปเถอะ ลำพังพวกเราก็มีเวลาจำกัดอยู่แล้ว พรุ่งนี้ก็ถึงวันทำงานตามปกติแล้วด้วย วันนี้เราต้องฝึกซ้อมให้พร้อมเพรียงอย่างรวดเร็ว อย่าทำให้ทุกคนเสียเวลาจนส่งผลต่อความก้าวหน้าของการซ้อมเลย”

หวังซิ่วฟางบ่นพึมพำ “ฉันผิดอะไร? ฉันเองก็ตั้งใจฝึกอยู่หรอก แต่ฉันแค่เป็นคนเรียนรู้ช้าเฉย ๆ”

เมื่อหวังซิ่วฟางไม่อยากถอนตัว พี่สาวจางจึงทำตัวเป็นคนกลางที่ดี เพราะไม่อยากทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขุ่นเคือง หล่อนจึงยิ้มและพูดกับหลินเซี่ยว่า “เสี่ยวหลิน เธอเพิ่งมาซ้อมได้ไม่นาน บางทีอาจจะเรียนรู้ช้าจริง ๆ ให้โอกาสหล่อนอีกสักครั้งเถอะ”

หลินเซี่ยรู้ว่าพวกเธอเป็นเพื่อนร่วมงานกัน และเข้าใจความลำบากใจของพี่สาวจาง จึงเหลือบมองหวังซิ่วฟางด้วยใบหน้าเย็นชา และออกคำสั่งกับหล่อนว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็มายืนอยู่ข้างหน้า เต้นตามเพลงให้ทุกคนช่วยกันจับตามอง คราวนี้ถ้าคุณยังเล่นตุกติกอีกละก็ ฉันจะขอถอนตัวทันที”

หวังซิ่วฟางถูกเธอตะโกนใส่แบบนั้น ก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ก้าวไปยืนอยู่ข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ

หลินเซี่ยพูดต่อ “พวกเรากำลังฝึกซ้อมเพื่อขึ้นแสดงทางวัฒนธรรม มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานยานยนต์ของเรา ทั้งยังถือเป็นตัวแทนของโรงงานอุตสาหกรรมเครื่องจักรไห่เฉิงทั้งหมด เราถึงต้องตั้งใจฝึกซ้อมกันอย่างเต็มที่เพื่อแสดงผลงานที่ดีที่สุด จนได้รับรางวัลจากการแข่งขัน ฉันเข้าใจความรู้สึกคุณดี พูดตามหลักแล้ว ฉันเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน ส่วนพี่หวังเป็นพนักงานเก่า ด้วยวัยวุฒิแล้วคุณคงไม่อยากเรียนกับเด็กอย่างฉัน ดังนั้นถ้าคุณสมองช้าจนไม่สามารถเรียนรู้ได้จริง ๆ ฉันก็จะไม่บังคับ”

ในที่สุดหวังซิ่วฟางก็ยอมทำตามแต่โดยดี หล่อนออกไปยืนอยู่ด้านหน้า เต้นตามจังหวะอย่างถูกต้อง

ส่วนพี่สาวคนอื่น ๆ ค่อนข้างเป็นมืออาชีพและจริงจังมาก หลังซ้อมเต้นกันหลายครั้ง ไม่นานนักท่าเต้นก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันและเข้ากับจังหวะเพลง

เสียงดนตรีในลานกว้างของอาคารพักอาศัยดังพอสมควร แถมเพลงนี้ก็เพิ่งจะออกเทปเมื่อปีที่แล้ว จึงได้รับความนิยมอย่างยิ่ง

ชายชราและหญิงชราที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังอาศัยอยู่ในเขตโรงงาน ต่างก็มารวมตัวกันเพื่อดูพวกเธอเต้นประกอบเพลง

“เป็นคนรุ่นใหม่นี่ดีจริง ๆ มีความกระตือรือร้นสูง ถ้าพวกเรายังเด็ก คงเสนอตัวเข้าร่วมการแสดงทางวัฒนธรรมด้วยแน่ ๆ”

“ใช่แล้ว เวลาผ่านไปพริบตาเดี๋ยวฉันก็แก่ลงมาก คงต้องปล่อยให้เป็นยุคของคนหนุ่มสาวแล้วล่ะ”

หลินเซี่ยเห็นคุณลุงและคุณป้าที่ร่างกายยังแข็งแรงสมวัยมาเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณลุง อยากเต้นด้วยกันไหมคะ? พวกคุณเข้าร่วมกับเราได้นะ”

ลุงหนิวพูดว่า “แต่ฉันอายุหกสิบสองแล้ว”

“ใช่แล้ว คนอายุมากอย่างพวกเราจะเต้นได้ยังไง จะทำให้คนหัวเราะซะเปล่า”

“ตราบใดที่พวกคุณมีใจรักและสุขภาพแข็งแรง เราไม่สนหรอกค่ะว่าคุณอายุเท่าไหร่ คิดซะว่าการเต้นนี้เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าสนใจ เชิญเข้าร่วมได้ทุกเมื่อเลยค่ะ” นักเต้นแอโรบิกบางคนอายุมากกว่าพวกเขาเสียอีก

คุณลุงคุณป้าเหล่านี้น่าจะเพิ่งเกษียณอายุได้ไม่นาน ยังดูกระฉับกระเฉง มีพลังงานเต็มเปี่ยม ที่สำคัญคือพวกเขาต้องมีความตั้งใจดีแน่

“พวกเธอขึ้นไปแสดงบนเวทีกันเถอะ คนแก่ ๆ อย่างพวกเราจะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นได้ยังไง?” แม้ว่าใจจริงลุงหนิวจะพร้อมลงมือทำ แต่สีหน้าของเขากลับเข้มขึ้นอีกครั้ง เมื่อคิดว่าบนเวทีล้วนมีแต่คนหนุ่มสาวกันทั้งนั้น

“ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองสามารถแบกรับภาระนี้ได้ และเต็มใจจะเข้าร่วมการแสดงของเรา ฉันมองว่ามันเป็นข้อดีซะมากกว่า จะได้ทำให้เพื่อน ๆ โรงงานอื่นเห็นว่าพนักงานเก่าที่เกษียณอายุจากโรงงานยานยนต์ของเรามีความสุขทางกายและใจยังไงบ้าง”

แนวคิดนำสมัยของหลินเซี่ย จุดประกายความกระตือรือร้นของลุงและป้าหลายคนให้สนใจเข้าร่วมโดยไร้ความกังวล

ลุงหลี่มองไปทางพี่สาวจางที่เป็นผู้รับผิดชอบการแสดงด้วยความคาดหวัง “เสี่ยวจาง พวกเราเข้าร่วมได้หรือเปล่า?”

“นี่…”

พี่สาวจางมองไปที่หลินเซี่ยและพูดอย่างเชื่องช้าว่า “เสี่ยวหลิน นี่เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยสหภาพแรงงานของเมืองไห่เฉิง โดยพื้นฐานแล้ว โรงงานทุกแห่งในไห่เฉิงต้องเตรียมการแสดงกันอย่างเต็มที่เพื่อนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานของตัวเอง เราจะทำเหมือนเป็นเรื่องเล่น ๆ ไม่ได้”

“พี่สาวจาง ฉันกลับคิดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการแข่งขัน คือการที่แต่ละโรงงานพยายามนำเสนอให้เห็นถึงศักยภาพของพนักงานของตัวเองมากกว่า ดังนั้นสุขภาพกายและสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การให้พนักงานที่เกษียณอายุแล้วเข้าร่วม ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ที่โรงงานเรามีต่อพวกเขา ฉันคิดว่าสิ่งนี้สำคัญกว่าการชนะรางวัลอีกนะคะ”

เธอพูดเสริม “แน่ล่ะ ฉันเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกในเขตโรงงานได้ไม่นาน อาจจะยังไม่เข้าใจในหลาย ๆ ด้าน ฉันแค่ลองเสนอแนะดู สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะตัดสินใจยังไง”

“ฉันเองก็ตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน ขอเวลาสักครู่ให้ฉันไปปรึกษาจากหัวหน้าก่อนนะ”

ว่าแล้วพี่สาวจางก็ไปขอคำแนะนำจากหัวหน้า ผลก็คือหัวหน้ายินยอมให้พนักงานที่เกษียณอายุแล้วเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับพวกเธอได้ แต่พวกเขาจะสามารถแสดงบนเวทีได้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมและสภาพร่างกายของพวกเขาเป็นหลัก

ที่จริงแล้วลุงป้าน้าอาเหล่านี้มีสุขภาพแข็งแรงดี ถ้าพวกเขากลับไปอยู่ในชนบทก็ยังถือว่าเป็นแรงงานที่เข้มแข็ง

“ถ้าอย่างนั้นลุงหลี่ ป้าหวัง และลุงหนิว พวกคุณทั้งสามมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ลองมาร่วมฝึกซ้อมกับพวกเราเถอะค่ะ แล้วเรามาดูกันว่าทักษะการเต้นของพวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ไปต่อไม่ไหวให้รีบบอกทันทีนะคะ ไม่ต้องร่วมแข่งขัน ถือเสียว่ามาเรียนเต้นและออกกำลังกายในวันธรรมดาเพื่อสุขภาพเป็นหลัก”

“ได้ ได้ พวกเราขอยืนข้างหลังและเต้นไปพร้อมกับพวกเธอแล้วกัน”

หวังซิ่วฟางถูกดันให้ไปอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครสนใจหล่อนอีก

แม้แต่อดีตพนักงานที่เกษียณอายุแล้วยังสนใจที่จะมีส่วนร่วมด้วย ยิ่งคนเยอะ หล่อนยิ่งถูกตัดออกได้ง่าย

หล่อนไม่ยอมถอนตัวไปทั้งแบบนี้แน่

ก่อนหน้านี้หล่อนแค่จงใจจะหาเรื่องและทำตัวเป็นขวากหนามของหลินเซี่ย แต่ใช่ว่าไม่อยากเข้าร่วมเสียหน่อย

หล่อนยังอยากยืนอยู่บนเวที อยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมของส่วนรวมเพื่อคว้ารางวัลให้กับโรงงานเช่นกัน

ดังนั้นในขณะที่ทุกคนเรียนรู้การเคลื่อนไหวจากหลินเซี่ย หวังซิ่วฟางจึงถอยไปยืนอยู่ข้างหลังลุงหลี่อย่างเงียบ ๆ พร้อมกับพยายามเต้นตามไปด้วย

ป้าและลุงทั้งสามคนนี้ ต่างก็เป็นผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับการแสดงทางวัฒนธรรมในปีก่อน ๆ ประกอบกับการที่พวกเขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ทั้งยังมีพื้นฐานการเต้นมาบ้าง หลังจากฝึกเคลื่อนไหวก้าวเท้าแบบแอโรบิกอย่างแม่นยำ พวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่สาวที่เงอะงะเหล่านี้เลย

หลังจากฝึกจังหวะก้าวสองครั้ง ไม่นานพวกเขาก็เริ่มเต้น ซึ่งอาจจะมีติดขัดอยู่บ้าง

หลังจากฝึกซ้อมต่อเนื่องประมาณสองชั่วโมง หลินเซี่ยก็หยุดเต้น มองดูทุกคนแล้วพูดว่า “เช้านี้เราจะพักกันเท่านี้ก่อน ถ้าพวกคุณมีเครื่องเล่นเทป สามารถเปิดเพลงฟังและฝึกเต้นอยู่ที่บ้านได้ ไว้ตอนบ่ายเรามาเรียนเต้นอีกครึ่งเพลงที่เหลือ”

“บ้านฉันมีเครื่องเล่นเทป แต่ไม่มีเทปเพลงนี้น่ะสิ เสี่ยวหลิน เธอไปซื้อเทปนี้มาจากไหน? เราอยากซื้อมาเปิดฟังบ้าง” ป้าหวังถาม

“ฉันซื้อมาจากร้านขายเครื่องเสียงค่ะ” หลินเซี่ยพูด “ฉันกำลังจะออกไปข้างนอกอยู่พอดี ถ้าใครอยากฝากซื้อเทปเพลงนี้ช่วยยกมือขึ้นหน่อยค่ะ หลังจากนี้พวกคุณจะได้แบ่งปันเทปให้กันและกันได้”

“เราสามคนขอคนละหนึ่งตลับ” คุณลุงและคุณป้าทั้งสามได้รับเงินบำนาญหลังเกษียณจึงไม่ตระหนี่ รีบยกมือขึ้นอย่างกระตือรือร้น

หวังซิ่วฟางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นด้วย

หลินเซี่ยนับจำนวน จากนั้นก็พยักหน้า “เอาล่ะ รวมแล้วต้องซื้อห้าตลับ ฉันจะลองไปเจรจาดูว่าทางร้านพอจะลดราคาให้ได้ไหม”

“เสี่ยวหลิน ในเมื่อเราไม่สามารถสวมชุดระบำยางเกอได้แล้ว หมายความว่าเราต้องซื้อชุดใหม่เพื่อใส่ขึ้นแสดงบนเวทีใช่ไหม? ไหนจะเครื่องสำอาง และอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วย”

หลินเซี่ยตอบกลับ “ฉันเป็นช่างแต่งหน้าค่ะ พอมีเครื่องสำอางอยู่บ้าง ส่วนเสื้อผ้าสำหรับใส่ขึ้นแสดง ฉันเสนอว่าเราแค่ซื้อชุดกีฬาง่าย ๆ ก็พอ หลังจบการแสดงจะได้หยิบมาใส่ได้อีก ถ้าซื้อชุดปักเลื่อมแวววาวแบบนั้น อย่างมากก็มีประโยชน์แค่ตอนใส่ขึ้นแสดง จากนั้นก็ไร้ประโยชน์ นำไปใช้ในงานต่อก็ไม่ได้ด้วย”

“แต่ชุดกีฬาจะธรรมดาเกินไปหรือเปล่า?” ในฐานะผู้อาวุโสที่เคยมีประสบการณ์ ลุงหนิวอดกังวลไม่ได้

“อาศัยไฟบนเวทีที่ส่องสว่างก็ช่วยให้เด่นได้ค่ะ ผู้หญิงใส่ชุดสีแดงแถบขาว ส่วนลุงหนิวกับลุงหลี่ใส่ชุดสีฟ้าแถบขาวก็ได้ สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวเหมือนกัน การแสดงของเราเน้นเรื่องสุขภาพและความแข็งแรงเป็นหลัก จุดมุ่งหมายคือไม่ว่าใครก็สามารถออกกำลังกายได้ ฉะนั้นไม่ควรแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาดจนเกินไป”

ลุงหลี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฉันคิดว่าจุดมุ่งหมายที่เสี่ยวหลินพูดนั้นดีทีเดียว การแสดงของโรงงานเราควรเน้นการออกกำลังกายให้เป็นจุดเด่น”

“ได้ งั้นพวกเราแยกย้ายกลับไปทำอาหารบ้านใครบ้านมันกันดีกว่า ทุกคนพอจะคุ้นเคยกับจังหวะบ้างแล้ว ตอนบ่ายเราทุกคนค่อยมาเปิดเพลงและซ้อมเต้นกันอีกครั้ง ฉันมีธุระต้องไปทำก่อน ไว้จะกลับมาติดตามผลการซ้อมของทุกคนค่ะ”

ขืนเต้นต่อไปวันนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว

วันนี้หลินเซี่ยอยู่บ้านคนเดียว เธอกลับบ้านและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง

ก่อนอื่น เธอเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วกดโทรไปที่บ้านของเจียงอวี่เฟย

คนที่รับโทรศัพท์คือพ่อของเจียงอวี่เฟย เมื่อหลินเซี่ยได้ยินเสียงเขา เธอก็พยายามกดเสียงลงให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วพูดอย่างสุภาพว่า “คุณลุง ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นของอวี่เฟยค่ะ”

“อวี่เฟย เพื่อนโทรมาหาน่ะ” คุณเจียงยื่นโทรศัพท์ให้เจียงอวี่เฟย

เจียงอวี่เฟยไม่ได้เดินมารับสายทันที แต่หันไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นว่า

“ขอโทษด้วย ฉันยังมีอย่างอื่นต้องทำ”

“พ่อฉันบอกว่า การแสดงครั้งนี้จะนำชื่อเสียงมาสู่โรงงานของเรา ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงควรมีส่วนร่วม” เด็กสาวคนนั้นมองหน้าหล่อนและพูดอย่างจริงจัง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เต้นให้มันดีก็ดีได้นี่ป้า งานส่วนรวมนะ อย่าทำเสียทั้งกลุ่มสิ

ไหหม่า(海馬)