ตอนที่ 80 ความใฝ่ฝันของหลินม่าย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 80 ความใฝ่ฝันของหลินม่าย

หลินเพ่ยร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม “ม่ายจื่อ… ทำไมเธอถึงใส่ร้ายป้ายสีกันแบบนี้? ครอบครัวเราเคยขายเธอไปแต่งงานแล้วเอาเงินค่าสินสอดมาเป็นค่าเล่าเรียนของฉันเสียที่ไหนกัน? เธอชอบอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เธอยืนกรานว่าจะแต่งงานกับเขาเอง…”

“ฮ่าๆ! เธอคิดว่าที่นี่อยู่ไกลจากหมู่บ้านแถบชนบทแล้วจะพูดจาไร้สาระยังไงก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ความจริงสินะ?”

หลินม่ายปรายตามองหล่อนอย่างนึกดูถูก “อย่าลืมล่ะ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเป็นคนหลอกให้ฉันยอมแต่งงานกับเขา ก็เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเธอโกงเงินค่าสินสอดยังไงล่ะ จนป่านนี้แล้วเขายังถูกขังอยู่ที่เรือนจำเจาหยางในฮั่นโข่วเพราะข้อหาฉ้อโกงการแต่งงานอยู่เลย ใครก็ตามที่อยากรู้ว่าความจริงเป็นมายังไง ถ้าพวกคุณไปที่เรือนจำเจาหยางในฮั่นโข่ว แล้วสืบหาว่าทำไมอู๋เสี่ยวเจี๋ยนถึงโดนคุมขัง พวกคุณจะรู้เองว่าคำพูดของใครกันแน่ที่โกหก!”

ชาวบ้านได้ยินแบบนั้นแล้วต่างก็มองไปทางหลินเพ่ยด้วยสายตาดูถูก ทำให้หล่อนรู้สึกราวกับถูกลำแสงอำมหิตส่องตรงมาที่แผ่นหลังของตัวเองตลอดเวลา

ต่อให้หล่อนจะมีไหวพริบว่องไวขนาดไหน หรือเสแสร้งแสดงละครเก่งเพียงใด แต่ตอนนี้กิริยาท่าทางของหล่อนไม่สามารถเสแสร้งต่อไปได้อีก

บรรดาชาวบ้านเห็นท่าทางของหล่อนแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่พูดจริง และฝ่ายไหนกันแน่ที่โกหก

หลินม่ายถามซุนกุ้ยเซียงอย่างประชดประชัน “อะไรกัน คุณกลายเป็นใบ้ไปแล้วหรือ? ฉันถามว่าทำไมลูกสาวคนโตของคุณถึงถูกไล่ออกจากโรงเรียน แค่นี้ยังตอบคำถามของฉันไม่ได้เลย ในเมื่อคุณไม่ยอมตอบ ถ้าอย่างนั้นฉันจะตอบให้แล้วกัน ก็เพราะลูกสาวของคุณไปเรียนโดยสวมรอยใช้ชื่อกับผลการเรียนของฉันยังไงล่ะ ฉันส่งเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานการศึกษาเพื่อเปิดโปงความจริงทั้งหมด หล่อนถึงถูกไล่ออกจากโรงเรียน”

ว่าแล้วเธอก็ขมวดคิ้ว “ฉันแค่รู้สึกแปลกใจ ลูกสาวของคุณแย่งชิงในสิ่งที่ควรจะเป็นของฉันไปแท้ ๆ แต่ทำไมถึงกลายเป็นฉันที่ไปทำลายชีวิตหล่อนเสียได้?”

ชาวบ้านต่างพากันโวยวาย หันไปพูดคุยกันว่า “พวกหล่อนต่างก็เป็นลูกในไส้ของหล่อนเหมือนกัน แต่ทำไมถึงปฏิบัติต่อพวกหล่อนแตกต่างกันราวหน้ามือกับหลังมือ เป็นแม่คนยังไงถึงได้ลำเอียงรักลูกไม่เท่ากันได้ขนาดนี้?”

ใครคนหนึ่งคาดเดา “น่ากลัวว่าลูกสาวคนโตของนางจะเป็นลูกในไส้ แต่ลูกสาวคนเล็กไม่ใช่น่ะสิ…”

ซุนกุ้ยเซียงได้ยินก็รีบหันไปแก้ต่าง “อย่าเดาอะไรส่งเดชนะ หล่อนก็เป็นลูกในไส้ของฉันเหมือนกัน!”

พูดจบก็ชี้นิ้วไปทางหลินม่าย “แค่เพราะตั้งแต่มันเกิดมา ก็มีแต่จะทำให้พ่อกับแม่อับจนลง!”

ชาวบ้านไม่ยอมรับข้อกล่าวหาของนาง “ต่อให้พวกคุณสองผัวเมียจะลำบากแค่ไหน ถึงยังไงหล่อนก็เป็นลูกแท้ ๆ ของพวกคุณไม่ใช่หรือ? คุณไม่ควรใจไม้ไส้ระกำกับหล่อนแบบนั้น!”

ชาวบ้านอีกคนหนึ่งพูดเสริมขึ้นมา “คุณอาจจะเกลียดที่ม่ายจื่อเกิดมาแล้วทำให้ครอบครัวตกระกำลำบาก แต่ทำไมคุณไม่ลองนึกย้อนดูบ้างว่าพวกคุณสองผัวเมียปฏิบัติกับหล่อนเลวร้ายอย่างไร? มิฉะนั้นหล่อนจะต่อต้านแม่แท้ ๆ ของตัวเองถึงขนาดนี้เลยหรือ? ที่หล่อนหนีออกมาแบบนี้ต้องมีเหตุผลแน่!”

ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

บางคนตำหนิซุนกุ้ยเซียง “ต่อให้ชาติก่อนเคยเป็นศัตรู ชาตินี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวดองเป็นแม่ลูก กลับไม่ให้ความรักกับหล่อน แต่ปฏิบัติต่อหล่อนอย่างโหดร้ายเพื่อแก้แค้น แล้วเมื่อไหร่กงเกวียนกำเกวียนถึงจะสิ้นสุดกัน?”

ซุนกุ้ยเซียงได้ยินคำพูดของชาวบ้านแล้วกลับพูดอะไรไม่ออก

ความจริงแล้วจดหมายร้องเรียนของหลินม่ายถูกส่งไปถึงสำนักงานการศึกษาประจำเขตตั้งแต่ปีก่อน แต่ด้วยช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับเทศกาลฉลองปีใหม่ ทำให้สำนักงานไม่มีเวลาจัดการเรื่องยิบย่อยเหล่านี้

จนกระทั่งหลังเทศกาลโคมไฟ สำนักงานการศึกษาประจำเขตถึงได้ส่งต่อจดหมายร้องเรียนของหลินม่ายไปยังสำนักงานการศึกษาประจำอำเภออวิ๋นไหล สั่งให้พวกเขาตรวจสอบความจริงอย่างละเอียด

การตรวจสอบความจริงให้กระจ่างไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลัง ใช้เวลาไม่นานเรื่องทั้งหมดก็เปิดเผย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนที่พี่สาวของหลินม่ายกำลังศึกษาอยู่ทันที

หลังจากหลินเพ่ยถูกไล่ออกจากโรงเรียน หล่อนก็เอาแต่ร้องไห้อย่างหนักอยู่ที่บ้าน

ไม่ต้องพูดถึงอนาคตอันสดใส แต่หลินม่ายยังทำให้หล่อนไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ จนไม่มีปัญญาหาทางจับผู้ชายฐานะดีได้อีกต่อไป ความฝันของครอบครัวตระกูลหลินที่หวังจะพึ่งพาหล่อนก็พลอยพังทลายตามไปด้วย

เรื่องนี้กระตุ้นความเกลียดชังของหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาที่มีต่อหลินม่ายมากกว่าเดิมหลายร้อยพันเท่า

ยิ่งไปกว่านั้น อู๋เสี่ยวเถา น้องสาวคนโตของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เกลียดชังหลินม่ายไม่แพ้กัน ที่เธอเป็นต้นเหตุทำให้พ่อ แม่ และพี่ชายของตัวเองต้องติดคุก

ชีวิตการแต่งงานของหล่อนที่เกือบจะเป็นไปได้สวยพังทลายไม่เหลือชิ้นดี ครอบครัวต้องมาตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน งานบ้านและงานเกษตรกรรมทั้งหมดตกมาอยู่ที่หล่อนเพียงคนเดียว

ช่วงเวลาที่หล่อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หล่อนตัดสินใจเดินขึ้นเขา ตั้งใจตรงดิ่งไปที่บ้านตระกูลหลิน

หล่อนบอกเล่าเรื่องทั้งหมดกับหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงผู้เป็นภรรยาของเขา ว่าตอนนี้หลินม่ายซื้อบ้านอยู่ในตัวเมือง แถมยังยุยังให้พวกเขาไปขอเงินค่าเลี้ยงดูจากหลินม่าย

หลังจากนั้นซุนกุ้ยเซียงจึงเดินทางเข้าเมืองพร้อมกับหลินเพ่ยเพื่อหวังแก้แค้น

ใครจะคิดว่านอกจากจะแก้แค้นไม่สำเร็จแล้ว ยังถูกหลินม่ายแฉความชั่วร้ายกลางสาธารณชนด้วยคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค

สองแม่ลูกแก้แค้นหลินม่ายไม่ได้ แถมยังไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากเธอเลยแม้แต่อย่างเดียว ดังนั้นพวกหล่อนจึงจำใจแบกหน้ากลับไปท่ามกลางการประณามจากชาวบ้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเพ่ยมีโอกาสเข้ามาในเมือง ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองใหญ่ดึงดูดใจหล่อนแทบจะทันที จนหล่อนไม่อยากกลับไปเหยียบหมู่บ้านสกุลหวังที่อยู่ห่างไกลอีกต่อไป

เพียงแต่ในเมืองนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับหล่อน ต่อให้ไม่อยากกลับแค่ไหนก็ไม่อาจทำตามใจปรารถนาได้

ทันทีที่ก้าวขึ้นรถไฟ หล่อนก็มองย้อนกลับไปยังสถานีรถไฟซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนกันพลุกพล่านด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์

…..

แผงลอยของแม่ต้าเป่าขายไม่ดีอย่างที่วาดหวัง หล่อนขายเกี๊ยวได้ไม่ถึงวันละห้าชามด้วยซ้ำไป

เดือนแรกผ่านพ้นไปแล้ว จนปฏิทินสุริยคติเคลื่อนเข้าสู่เดือนมีนาคม

ทันทีที่เข้าสู่เดือนมีนาคม สภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงได้ก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างสมบูรณ์ ต้นหลิวเริ่มแตกใบ ดอกไม้หลากสีสันผลิบานประชันโฉมกันอย่างเต็มที่ แม้แต่ต้นอิงฮวายังผลิดอกสีชมพูจนเต็มต้น

ไม่ว่าจะท้องถนนหรือตามตรอกซอกซอยล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศอันสดใส ผู้คนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับฤดูกาลกันแล้ว

ขณะเดียวกัน สภาพอากาศแบบนี้ยิ่งทำให้อาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืนเน่าเสียได้ง่าย

ไส้เกี๊ยวที่แม่ต้าเป่าห่อขายเป็นประจำเสียตั้งแต่เมื่อวาน แต่วันรุ่งขึ้นหล่อนก็ยังเอามันมาห่อแป้งและขายให้กับลูกค้า

ด้วยเหตุนี้ลูกค้าหลายคนที่อุดหนุนเกี๊ยวร้านหล่อนจึงท้องเสียไปตาม ๆ กัน ต่างเรียกร้องให้แม่ต้าเป่าแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่แม่ต้าเป่ากลับปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างว่าอาการท้องเสียของพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเกี๊ยวร้านหล่อนทั้งนั้น ทั้งยังขายเกี๊ยวที่ห่อด้วยไส้ที่เน่าแล้วเน่าอีกต่อไป

ลูกค้าที่ถูกแม่ต้าเป่าปฏิเสธความรับผิดชอบจึงไปร้องเรียนพฤติกรรมของหล่อนกับเทศกิจทันที

ถึงแม้พวกเขาจะกำหนดเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงไปที่แม่ต้าเป่าแค่คนเดียว แต่เจ้าหน้าที่เทศกิจกลับกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ค้ารายย่อยทั้งหมดที่ไม่มีใบอนุญาตการค้า

ทุกเช้าเวลาเจ็ดโมงตรง เจ้าหน้าที่เทศกิจจะมุ่งเน้นปราบปรามผู้ค้ารายย่อยบริเวณท่าเรือเป็นพิเศษ

ยุคสมัยนี้ไม่มีรถขายอาหารเหมือนยุคสมัยปัจจุบันในความทรงจำของหลินม่าย ถ้ามียานพาหนะแบบนั้น ตราบใดที่เจ้าหน้าที่เทศกิจมาก็แค่เก็บข้าวของแล้วขับรถหนี

ในยุคนี้พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยทั้งหลายต่างก็ใช้รถเข็นกันทั้งนั้น

เมื่อเจ้าหน้าที่เทศกิจมาถึง พวกเขาต้องกระวีกระวาดยกอุปกรณ์ทำมาหากินของตัวเองขึ้นบนรถเข็นให้เกลี้ยง แล้วลากรถเข็นวิ่งหนี

แต่กระบวนการที่ว่าค่อนข้างกินเวลาทีเดียว ทำให้เสี่ยงถูกจับได้ง่าย ๆ

ภายในระยะเวลาแค่สามวัน ผู้ค้าแผงลอยจำนวนมากถูกบีบบังคับให้ปิดแผงขายของอย่างถาวร

คนอื่น ๆ อาจจะเลิกค้าขายได้ เพราะพวกเขาต่างเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรือเมืองใกล้เคียง

ถึงแม้ไม่ได้เปิดแผงขายอาหาร อย่างน้อยกลับบ้านไปทำนาก็ยังพอมีพอกิน

หลังช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ หมู่บ้านในเมืองต่าง ๆ ได้รับการจัดระเบียบอย่างเป็นรูปธรรม มีการทำสัญญาว่าจ้างและจัดสรรที่ดินทำกินให้แต่ละครัวเรือน

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในตัวเมืองจึงหันมาพึ่งพาการทำนาหรือปลูกผักขาย แน่นอนว่ารายได้ดีไม่แพ้กัน

ตรงกันข้าม ถ้าหลินม่ายไม่เปิดแผงขายอาหาร อาศัยกินใช้เงินเก็บเพียงอย่างเดียว เธอจะอยู่รอดไปได้อีกนานแค่ไหนกัน?

ในเมื่อไม่สามารถขายเกี๊ยวแบบเดิมได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว

อาหารทั้งสองอย่างนี้สามารถเตรียมไว้ให้พร้อมตั้งแต่ที่บ้าน แค่ขนขึ้นรถเข็นแล้วลากออกไปก็ขายได้แล้ว

ถ้าเจ้าหน้าที่เทศกิจออกลาดตระเวนเมื่อไหร่ เธอก็แค่ลากรถเข็นวิ่งหนีไป ไม่ต้องเสียเวลาปิดแผงหนีเหมือนสมัยขายเกี๊ยว

หลินม่ายขายเกี๊ยว ฟางจั๋วหรานก็ตามมาอุดหนุนเกี๊ยวร้านเธอไม่ได้ขาด

พอเธอเปลี่ยนไปขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว เขาก็ตามมาอุดหนุนอาหารทั้งสองอย่างที่เธอทำเหมือนแฟนพันธุ์แท้

ถึงอย่างนั้นก็มีหลายครั้งที่เขายังไม่ทันควักเงินออกมาจ่ายค่าอาหารเช้า จู่ ๆ เทศกิจก็ออกปฏิบัติหน้าที่

หลินม่ายรีบร้อนลากรถเข็นวิ่งหนีไปเหมือนกับสายลมกระโชกแรง ทิ้งให้เขายืนเคว้งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเงินในมือ

ทุกครั้งที่เขาเห็นผู้หญิงร่างผอมบางอย่างหลินม่ายลากรถเข็นหนัก ๆ หลบหนีเทศกิจ เขาอดรู้สึกสงสารเห็นใจเธอไม่ได้

เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันกับเธอคนไหนทำงานหนักเท่าเธอมาก่อนเลย

เธอทำงานหนักก็จริง แต่ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ราวกับเธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองลำบาก

เช้าวันนี้ ฟางจั๋วหรานยังตามไปอุดหนุนอาหารเข้าจากร้านของหลินม่ายเช่นทุกครั้ง

คราวนี้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นดี เขาซื้ออาหารที่ต้องการเสร็จสรรพแล้ว แต่เทศกิจยังไม่ออกมาปฏิบัติหน้าที่

เหตุผลหลักคือช่วงนี้ไม่มีผู้ค้าแผงลอยมาตั้งแผงขายอาหารที่ท่าเรืออย่างคับคั่งเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่เทศกิจเริ่มผ่อนคลายมาตรการปราบปรามลงบ้าง

ฟางจั๋วหรานกัดซาลาเปาเข้าไปคำหนึ่งพลางพูดว่า “ผมว่าคุณควรเปลี่ยนอาชีพไปทำงานที่มีความมั่นคงกว่านี้ได้แล้ว มัวเล่นซ่อนแอบกับเทศกิจทุกวันแบบนี้ไม่ดีหรอก คุณจะเหนื่อยเกินไป”

“ฉันชินกับมันแล้วค่ะ” ระหว่างการสนทนา ลูกค้าสองสามรายก็มาซื้ออาหารเช้าจากเธอ

หลินม่ายขายอาหารเช้าให้พวกเขาพร้อมกับรับเงินทอนเงินไปด้วย “หางานที่มั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ต่อให้หาเจอ แต่เงินเดือนที่ได้รับคงไม่มากมายอะไรนักหรอก ทำอาชีพค้าขายต่อไปยังมีรายรับมากกว่าเสียอีก”

ตอนนี้เธอเปลี่ยนมาขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว ถึงแม้ต้องคอยลากรถเข็นหลบเลี่ยงเทศกิจทุกวัน แต่ข้อดีก็คือสามารถขายของได้ตั้งแต่หกโมงครึ่งไปจนถึงสิบโมงครึ่งเลยทีเดียว แถมยังขายต่อได้ในช่วงเวลาหลังอาหารมื้อกลางวันอีก เธอทำเงินได้มากกว่าขายเกี๊ยวด้วยซ้ำ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้เธอยอมแพ้กลางคันได้อย่างไร?!

เธอยังคิดว่าจะเก็บออมเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับเปิดร้านเป็นหลักแหล่งแทนการตั้งแผงลอย

เมื่อสองวันก่อน ในขณะที่เข็นรถหลบหนีพวกเทศกิจ เธอเข็นรถข้ามมายังถนนเซิ่งลี่ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือมาประมาณสองช่วงถนนเพื่อเปลี่ยนที่ขายของใหม่ชั่วคราว

เธอเหลือบไปเห็นร้านขายขนมเล็ก ๆ สองสามร้าน จึงอยากหาเช่าพื้นที่สำหรับเปิดร้านของตัวเองบ้าง

เธอไม่อยากเป็นแม่ค้าแผงลอยที่ไม่มีใบอนุญาตการค้าแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอกนะ

ชีวิตก่อนอาจเคยรันทด แต่ชีวิตนี้เธอไม่มีวันกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแน่

ชีวิตนี้เธอยังอยากทำอะไรอีกหลาย ๆ อย่างให้มากขึ้น เพื่อที่จะถีบตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตในสักวัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ยัยแม่กับพี่สาวแทนที่จะชนะเขา โดนชาวบ้านรุมประณามกลับไปแทบไม่ทันเลย ว้ายยย

พี่หมอตามกินอาหารฝีมือม่ายจื่อทุกเมนูเลยนะคะ ชอบอาหารหรือชอบคนทำกันแน่คะ

ไหหม่า(海馬)