จ้านเป่ยเซียวแอบชายตาไปเห็นตัวอักษรสองตัวก็รู้ว่านี่คือกฎตระกูลที่เขาให้เฟิ่งชิงหัวคัด จากนั้นดวงตาจู่ๆ ก็หนักใจขึ้นมา ในดวงตามีแสงแห่งความเย็นชาหลายเท่าพาดผ่าน
เฟิ่งชิงหัวมองมายังจ้านเป่ยเซียว แต่กลับสบตาเข้ากับจ้านเป่ยเซียวที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชาพอดี
เฟิ่งชิงหัวจึงเคลื่อนสายตาออกด้วยความรู้สึกผิดอย่างไม่รู้ตัว
วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชาของจ้านเป่ยเซียวก็ดังขึ้นมา: “หนานกงเยว่ลั่ว กฎตระกูลที่ข้าให้เจ้าคัดล่ะ?”
เฟิ่งชิงหัวชี้ไปยังใต้เท้าขององค์หญิงเหออาน จากนั้นก็กล่าวอย่างถอดถอนใจว่า: “เดิมทีข้าก็คัดกฎตระกูลอย่างสงบอยู่ แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ องค์หญิงก็พุ่งเข้ามาแล้วก็ฉีกทิ้งหมดเลย ข้าก็อธิบายให้นางฟังแล้วว่านี่คือของที่ท่านอ๋องให้ข้าคัด แต่นางยังไงก็ไม่ฟังที่ข้าพูดเลย”
ในขณะที่พูดอยู่ก็ทำท่าทางตัวเล็กอ่อนแอ น่าสงสาร อีกทั้งยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรงด้วย
หลิวหยิ่งที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวออกมาเช่นกันว่า: “ท่านนาย เป็นเช่นนี้จริงๆ ขอรับ”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นกลับกระแอมออกมาหนึ่งคำ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงแค่เคลื่อนสายตาไปจ้องมองยังองค์หญิงเหออานไว้: “ใครอนุญาตให้เจ้าออกจากวังหรือ?”
องค์หญิงเหออานหดคอลงแล้วกล่าวว่า: “เป็น เป็นเสด็จพ่อเพคะ”
“เสด็จพ่อให้เจ้ามาจวนอ๋องของข้าเพื่อแสดงอำนาจบาตรใหญ่ แล้วก็ถือโอกาสกลับดำเป็นขาวงั้นหรือ?”
“ไม่ ไม่ใช่ ข้า เสด็จพ่อให้ข้ามาหาพระชายาเจ็ดเพื่อกล่าวขอโทษ” ตัวอักษรสองพยางค์สุดท้าย ราวกับว่าได้ถูกบีบคั้นออกมาจากในซอกฟันขององค์หญิงเหออานก็ว่าได้ ทำท่าน่าสงสารเห็นใจเป็นอย่างมาก
“ขอโทษ? เจ้ามีอะไรจะขอโทษงั้นหรือ?” สายตาของจ้านเป่ยเซียวจ้องมองไปยังองค์หญิงเหออานอย่างไม่วางตา ทำให้นางได้เพียงรู้สึกว่าถูกกดดันเป็นอย่างมาก
องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาอย่างฝืนใจว่า: “ก็คือเหตุการณ์เมื่อวาน อันที่จริงแล้วเป็นข้าเองที่ติดสินบนคนในวังไว้ อยากจะใส่ร้ายความผิดให้แก่พระชายาเจ็ด ดังนั้นหลังจากที่เสด็จพ่อทราบความจริงก็เลยให้ข้ามาขอโทษพระชายาเจ็ด”
“ในเมื่อเป็นการขอโทษ งั้นเหตุใดกลับราวกับว่ามาล้างแค้นเล่า?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้า ข้า……” โดยปกติแล้วองค์หญิงเหออานพูดจาฉะฉานมาตลอด สมองก็ปราดเปรื่องเช่นกัน มักจะสามารถพูดจากดำให้กลายเป็นขาวได้ แต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจ้านเป่ยเซียว ก็แค่จ้องมองดวงตาของเขา นางก็รู้สึกหวาดกลัวออกมาในทันทีแล้ว
จ้านเป่ยเซียวขี้เกียจจะมององค์หญิงเหออานอีกแม้แต่แวบเดียว ก็เลยเคลื่อนสายตามองไปยังเฟิ่งชิงหัวที่อยู่ด้านข้างอย่างทำตัวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางเลย และกล่าวเสียงดังเยาะเย้ยอย่างทิ่มแทงเย็นชาเข้ากระดูก: “กฎตระกูลที่ข้าให้เจ้าคัดล่ะ? คัดไปเท่าไหร่แล้ว?”
“ท่านอ๋อง อันนั้น อันนี้ เอ่คือ” ท่าทางของเฟิ่งชิงหัวที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีอย่างทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็ยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่องค์หญิงเหออาน แสดงสีหน้าท่าทางออกมาอย่างไร้เดียงสาเล็กน้อย
องค์หญิงเหออานที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นสีหน้ายิ่งขาวซีดขึ้นมาใหญ่ ดูเหมือนว่าสังเกตได้ถึงสายตาของเฟิ่งชิงหัว องค์หญิงเหออานจ้องไปยังเฟิ่งชิงหัวด้วยอาการเตือนครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบก้มหน้าต่ำลงทันที
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้น นี่องค์หญิงเหออานยังกล้าจะข่มขู่นางงั้นหรือ?
คิดว่านางจะตกใจกลัวมากเลยหรือ?
เฟิ่งชิงหัวก็ไม่สนใจว่าจ้านเป่ยเซียวจะเห็นเศษเล็กๆ ที่อยู่บนพื้นหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มองมายังจ้านเป่ยเซียวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเสียใจ นั่งยองๆ ลงบนพื้นแล้วก็กำเอาเศษกระดาษเล็กๆ บนพื้นขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยอาการร้องห่มร้องไห้อย่างเศร้าสร้อยออกมา: “ท่านอ๋องเพคะ ข้าคัดกฎตระกูลมาตลอดทั้งเช้านะ ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ยังมีกฎตระกูลอีกตั้งมากมายที่ยังคัดไม่ทันก็กลายสภาพจากฟ้าไปเป็นเหวได้อย่างสิ้นเชิง ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะสามารถชดใช้ความผิดของตนเองได้”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้นต่างตกใจต่อการแสดงออกที่ร้องห่มร้องไห้โวยวายออกมาของเฟิ่งชิงหัว ได้เพียงรู้สึกว่าฉากนี้มันค่อนข้างจะพิสดารเป็นพิเศษ
ปรายตาของจ้านเป่ยเซียวก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย แล้วกดเอาคำพูดที่อยากจะพูดเอาไว้ และขมวดคิ้วเข้าหากัน
หากเขาไม่รู้ว่านี่นางกำลังจงใจยั่วยุเหออานให้ฉีกตำราทางด้านนั้นขาด เขาจ้านเป่ยเซียวก็แซ่เดียวกับนางแล้ว นี่ยังกล้าที่จะแสดงละครในบทบาทหมูกินเสือต่อหน้าเขาอีก
“หนานกงเยว่ลั่ว ความหมายของเจ้าก็คือจะบอกว่าพวกนี้ในมือของเจ้าก็คือกฎตระกูลที่คัดแล้วงั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือไง? นี่มันดูยังไงก็เป็นเพียงเศษกระดาษธรรมดาเท่านั้น!”
“ท่านอ๋อง นี่เป็นของที่ข้าคัดมาตลอดทั้งเช้าจริงๆ หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็พลิกขึ้นมาดูด้วยตัวเองได้” เสียงของเฟิ่งชิงหัวฟังดูอ่อนแอ แต่ในความหมายกลับแฝงไว้ด้วยการยั่วยุอยู่ในนั้นเล็กน้อย
ยังไงกฎตระกูลก็ได้ถูกฉีกจนขาดไปแล้ว ดูว่าจ้านเป่ยเซียวังจะเอาอะไรมาลงโทษนางได้อีก
“แม้ว่านี่จะเป็นของที่เจ้าคัด งั้นเล่มเดิมของข้าล่ะ?”
เฟิ่งชิงหัวมองมาทางเหออานครู่หนึ่งอย่างรวดเร็ว ก้มหน้า ไม่มีคำพูดใดออกมาอีกทั้งใบหน้า
จ้านเป่ยเซียวเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “หลิวหยิ่ง เกิดอะไรขึ้น”
หลิวหยิ่งเล่าถึงฉากการกระทำทุกอย่างหลังจากที่องค์หญิงเหออานเข้ามาและคำพูดที่กล่าวกับพระชายาอย่างไม่บิดเบือนอีกหนึ่งรอบ สามารถกล่าวได้ว่ามันช่างเหมือนกับสถานการณ์จริงมาก
จ้านเป่ยเซียวมองมายังเฟิ่งชิงหัวที่ยังแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาด้วยสายตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่ามีหน้ากากกั้นเอาไว้อยู่จะมองไม่ออกถึงรายละเอียดของอารมณ์ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับทำให้คนรู้สึกมีความกดดันเป็นอย่างมาก
“เหออาน เจ้ามีอะไรจะพูดไหม” จ้านเป่ยเซียวจ้องมาทางเฟิ่งชิงหัวอยู่ แต่กลับถามเหออาน
สายตาขององค์หญิงเหออานจ้องไปยังหลิวหยิ่งอย่างเอาเรื่องครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยท่าทางพยักหน้าอย่างอ่อนแอว่า: “เสด็จพี่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงแค่คิดว่านี่คือสิ่งที่หนานกงเยว่ลั่วเอาชื่อของท่านมาอ้างเพื่อโกหกเฉยๆ จู่ๆ ก็เลยโมโหขึ้นมาจึงฉีกตำราของท่านขาดไปเลย ข้า ข้าชดใช้ให้ท่านได้ไหมล่ะ ท่านอย่าโกรธเลยนะ”
“ชดใช้หรือ? บนโลกนี้มีเพียงแค่เล่มเดียวเท่านั้น และยังเป็นถึงสิ่งที่ข้าเขียนออกมาเองด้วย เจ้าจะชดใช้ยังไง?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างกดดันไม่ให้ทางหนีทีไล่ออกมา
เหออานบิดมือทั้งสองของตนอย่างกระวนกระวายใจ นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของเล่มนั้นจะสำคัญถึงเพียงนี้ หากรู้นานแล้วก็ไม่น่าจะฉีกจนแหลกละเอียดเช่นนั้นหรอก เช่นนี้แล้วหากเอามาปะติดต่อกันก็ยังสามารถรู้เนื้อหาโดยรวมได้ แล้วก็คัดลอกออกมาได้อีก
มองดูเศษกระดาษที่ขาวโพลนไปหมดกระจัดกระจายอยู่เต็มสระน้ำ ความคิดที่จะกระโดดลงสระน้ำขององค์หญิงเหออานก็มีขึ้นมาแล้ว
องค์หญิงเหออานกระอักกระอวลพูดไม่ออก จ้านเป่ยเซียวกล่าวถามออกมาด้วยเสียงเย็นชา: “ในเมื่อเจ้าคิดไม่ออก ข้าก็จะคิดแทนเจ้าเอง!”
ในขณะที่พูดอยู่ แขนเสื้อชุดเพ้าของจ้านเป่ยเซียวก็สะบัดออก เศษกระดาษกำหนึ่งที่อยู่ในมือของเฟิ่งชิงหัวก็ถูกลมทำให้ม้วนขึ้นมาเช่นเดียวกันกับบนพื้น หลังจากพายุหมุนทั่วท้องฟ้าไปหมด จุดสิ้นสุดทั้งหมดก็พัดหมุนมายังทางด้านขององค์หญิงเหออาน
เสียงสำลักดังขึ้น เหออานร่วงลงไปในน้ำ กระแทกกับดอกไม้น้ำที่สูงเมตรกว่าๆ
องค์หญิงเหออานพลางดิ้นรนอย่างรุนแรงและพลางร้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง: “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ข้าว่ายน้ำไม่เป็น!”
และพวกนางในและขันทีที่อยู่ด้านข้างแต่ละคนก็ราวกับว่าถูกสกัดจุดชีพจรสงบนิ่งเอาไว้อยู่ด้านข้างนั้น ขยับก็ยังไม่กล้าขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
เฟิ่งชิงหัวทำท่าทางยื่นมือออกไปปล้องปากอยู่ด้านข้าง: “องค์หญิง ไม่ต้องแสดงแล้ว สระน้ำนี้อย่างมากก็ไม่พ้นช่วงเอวของท่านหรอก นอกเสียจากท่านเอาศีรษะดำลงไปเอง มิเช่นนั้นก็ไม่จมหรอก”
พอองค์หญิงเหออานได้ฟัง ขาทั้งสองข้างก็ยืดลงไปด้านล่าง ก็สามารถเหยียบถึงพื้นผิวได้จริงๆ แล้วก็ยืนขึ้นมาในทันที ไม่ถึงช่วงท้องเอวด้านล่างพอดีเลยจริงๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าการร้องตะโกนเสียงดังให้ช่วยชีวิตของนางเมื่อครู่นี้มันช่างดูโง่เขลาเบาปัญญาเป็นพิเศษ
จ้านเป่ยเซียวแม้แต่มองก็ไม่มองเขาเลย แล้วก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ในเมื่อตำราของข้าถูกเจ้าโยนเข้าไปในสระน้ำ งั้นเจ้าก็เก็บเอาทีละแผ่นๆ มาประกบเข้าด้วยกันด้วยตัวเอง หลังจากประกบติดกันหมดแล้วก็คัดให้ข้าหนึ่งชุดด้วย มิเช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังจะจากที่นี่ไปเลย! ที่จวนอ๋องมีคอกเล้าเยอะแยะให้เจ้าได้พำนักเลยล่ะ”
มองดูเศษกระดาษที่เต็มสระน้ำ มีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มกลายสภาพแล้ว ร่องรอยของตัวอักษรบนนั้นก็เริ่มจางหายไปแล้ว
สีหน้าขององค์หญิงเหออานซึมไปเลย ในใจปรากฏเป็นความสิ้นหวังออกมา
เฟิ่งชิงหัวเริ่มอดไม่ได้ที่จะเกิดความเห็นใจต่อองค์หญิงเหออานขึ้นมา และก็เริ่มสงสัยในคำพูดที่นางพูดอยู่บ้างเล็กน้อย
นางบอกว่าเสด็จพี่คนนี้ดีต่อนางเป็นพิเศษ ดีจนโยนนางเข้าไปในน้ำได้เลย เพื่อให้ทำในสิ่งที่ไม่อาจจะทำสำเร็จได้อยู่แล้ว ก็เพื่อจะให้นางพักอยู่ในคอกเล้างั้นหรือ?
กลัวแต่เพียงว่าถึงตอนนั้นจะเป็นเล้าหมู เล้าไก่ คอกม้า คอกลา ยังจะต้องดูอารมณ์ของท่านอ๋องเจ็ดในตอนนั้นด้วยว่าเป็นอย่างไร