ตอนที่ 45 สายเลือดเคียงกระบี่ (rewrite)
กองทหารเกราะทองหรี่ตาลง
ปู้หรูมีสีหน้าปั้นยาก
สิ่งที่ทำให้เขาเกิดความคิดถอยไม่ใช่นามยอดผู้บำเพ็ญดาราชะตา ขอบเขตดาราชะตาไม่ถือว่าเท่าไรในเมืองหลวง มีหน้ามีตาก็จริง แต่การจะกดดันให้กรมผู้คุมกฎถอยจากการปฏิบัติหน้าที่อย่าง ‘ยุติธรรม’ แล้ว ยังขาดไปแสนแปดพันลี้
แต่เป็นนามของสายเลือด ‘เคียงกระบี่’
เมื่อสิบปีก่อน ตัวอ่อนสังหารสวีจั้งก่อเรื่องใหญ่ในเมืองหลวง หลังจากอาจารย์เผยหมินสิ้นชีพ สวีจั้งถือกระบี่ไปเยือนสามสำนักศึกษาในสี่ มีเพียงสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่ไม่เคยไป
ใครๆ ก็รู้ว่าอาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยคนนั้นในถ้ำกวางขาว ตอนนั้นรักและเคารพสวีจั้ง แต่ก็ไม่สมหวัง คู่ชีวิตของสวีจั้งมาจากภูเขาม่วง แต่วัดกันที่สายเลือดการสืบทอด เทพธิดาสุ่ยเยวี่ยไม่ด้อยไปกว่าคนนั้นแห่งภูเขาม่วงเลย
สุ่ยเยวี่ยมาจากสายเลือดเคียงกระบี่ของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
สี่สำนักศึกษาเสมอภาคกัน เป็นมาหลายยุค ทุกสำนักศึกษาจะมีอดีตเจ้าสำนักที่รุ่งโรจน์ที่สุดหลายท่าน อย่างเช่นบุตรยอดขุนนางกับบุตรสู่ฟ้า เป็นบรรพจารย์สองท่านของสำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขา และจวนขานฟ้าก็มีราชาเพลงปราชญ์ที่มีดวงชะตาแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง
ฟังจากชื่อก็รู้ว่าราชาเพลงปราชญ์คนนี้ต้องเหนือกว่าบุตรยอดขุนนางกับบุตรสู่ฟ้า คำในชื่อมีแข็งแกร่งและอ่อนแอ เป็นสัญลักษณ์ของดวงชะตา บุตรยอดขุนนางกับบุตรสู่ฟ้าเป็นนามที่แฝงดวงชะตาสูงยิ่ง บรรพจารย์สองท่านนี้ตอนอยู่ในยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุด ต่างเป็นตัวแทนของยุคสมัยของสำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขา
ทว่า ‘เคียงกระบี่’ ของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เล่าลือว่าเป็นการแต่งตั้งที่เหนือกว่า ‘ราชาเพลงปราชญ์’ น่าเสียดายที่เคียงกระบี่ยุคแรกจากไปก่อนวัยอันควร สาเหตุการตายไม่ชัดเจน
เคียงกระบี่ยุคแรกเป็นผู้บำเพ็ญบุรุษที่หาได้ยากในสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เป็นคนอ่อนโยนและไม่แก่งแย่งใคร พรสวรรค์วิถีกระบี่สูงจนไม่น่าเชื่อ น่าเสียดายที่เมื่อดอกหายากปรากฏก็โรยราในโลกมนุษย์ มรดกที่เหลือไว้ก็ไม่สมบูรณ์
ผู้สืบทอดสายเลือดเคียงกระบี่ มีพรสวรรค์เหนือชั้นทั้งหมด
ตอนนั้นสวีจั้งวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อรุ่นเยาว์ใต้ฟ้าต้าสุย อยู่ระดับเดียวกับฝูเหยาและโจวโหยว วิถีกระบี่เป็นที่สุดแห่งยุค เอาชนะอัจฉริยะมากมาย แต่มีเพียงแค่สายเลือดเคียงกระบี่แห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่ไม่ได้ประชันด้วย
ในตอนนั้น ความจริงเป็นการประชันวิถีกระบี่ที่น่าสนใจ
อาจารย์ของสวีจั้งคือปราชญ์กระบี่เผยหมิน
มรดกของสุ่ยเยวี่ยเป็นของเคียงกระบี่รุ่นแรก
วิถีกระบี่โบราณกับอันดับหนึ่งวิถีกระบี่ใต้ฟ้าต้าสุยปัจจุบันประชันกัน ใครจะแกร่งกว่ากัน
ยังไม่ไขข้อข้องใจ
ปากทางเข้าตรอกฝนพรำ เสียงของสุ่ยเยวี่ยดังขึ้นอีกครั้ง
“ถอนกำลัง ข้าจะถือเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”
นางมีใบหน้าเรียบนิ่ง ในดวงตามีความเย็นชาเสี้ยวหนึ่ง
ท่านหญิงคนนั้นแห่งถ้ำกวางขาวกำป้ายชื่อแน่น แสงสว่างกระจายออกมาเป็นเส้นสาย เจตจำนงกระบี่วนเวียน
สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น
ปู้หรูนึกถึงราชันดาราอี๋อู๋ข้างหลังตน
ราชันดาราอี๋อู๋เคยบอกเขาว่าคนที่ชื่อหนิงอี้เพิ่งมาถึงเมืองหลวง ข้างหลังไม่มีที่พึ่งพิง ไปล่วงเกินคนมากมายที่หลังเขาสู่ซาน ทุกคนอยากให้เขาตาย เป็นมะเขือนิ่มบีบง่าย
ตอนนี้ดูแล้วเป็นก้อนหินในห้องส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็ง
มีสายเลือดเคียงกระบี่ของถ้ำกวางขาวยินดีออกหน้าให้เขา ตนมาครั้งนี้ หากไปล่วงเกินนาง ก็คงถอยกลับไม่ได้
เจ้ากรมน้อยจวนขานฟ้าไม่มั่นใจแล้ว แต่ต้องทำหน้าหนา เงยหน้าขึ้น พูดเสียงดัง “ท่านหญิงสุ่ยเยวี่ย หรือว่าท่านลืมคำสอนของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวไปแล้วกัน!”
ท่านหญิงน้อยแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ตอนนั้นที่เขารกร้างแดนประจิม สวีจั้งเคยหยิบยกคำสอนสำนักนี้มาสั่งสอนตน…
คำสอนของสำนักศึกษาตนคือไม่แก่งแย่งชิง ไม่สนใจถามไถ่
สุ่ยเยวี่ยแค่ยิ้มเยาะ “แล้วอย่างไร เจ้าจะลองลงมือดูหน่อยหรือไม่”
ปู้หรูมีสีหน้าย่ำแย่ เขาไม่กล้าลงมือจริงๆ
ตอนนั้นสุ่ยเยวี่ยกับสวีจั้งเกิดอะไรกันขึ้นคนนอกไม่รู้ แต่ตอนนี้ดูแล้ว อาจารย์อาแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนนี้เหมือนจะต้องปกป้องผู้สืบทอดที่สวีจั้งให้ความสำคัญคนนี้ให้ได้ ต่อให้ผิดต่อคำสอนของสำนักศึกษา ก็ไม่บอกปัด
เวลานี้กองทหารเกราะทองจะบุกจะถอยก็ลำบาก
ปู้หรูจ้องหนิงอี้ เหมือนยังลังเลในการตัดสินใจ สุดท้ายถอนหายใจ
หนิงอี้มองร่างเงาชุดคลุมดำนั้นที่ลอยตรงหน้าตน ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
เขาพูดเสียงเบา “ขอบคุณผู้อาวุโส…บุญคุณนี้หนิงอี้จะจดจำให้ขึ้นใจ”
สุ่ยเยวี่ยไม่ได้มีสีหน้าโอนอ่อนลง ร่างอิทธิฤทธิ์ของนางมาเยือนเมืองหลวงผ่านป้ายชื่อ ถูกจำกัดอย่างยิ่ง อยู่ได้ไม่นานนักแล้ว ตอนนี้นางเพ่งมองทหารของจวนขานฟ้า ก่อนจะส่งกระแสจิตมาหาหนิงอี้ “เรื่องนี้…เกรงว่าคงไม่จบลงง่ายๆ”
หนิงอี้รู้สึกถึงคลื่นต่างออกไป
คุณชายน้อยแห่งจวนขานฟ้าฉินโซ่วนำป้ายชื่อที่เหมือนของหญิงถ้ำกวางขาวออกมา ระดับพอๆ กัน พวกนี้คือสมบัติสำนักศึกษาที่อยู่ในทะเลวิญญาณ สามารถเรียกร่างอิทธิฤทธิ์ของยอดผู้บำเพ็ญระดับดาราชะตาขึ้นไปออกมาได้
อำนาจคุกคามมหาศาลหมุนม้วนฟ้าดิน
หนิงอี้ใช้สองมือจับกระบี่ปักลงพื้น สีหน้าจริงจัง มองร่างอิทธิฤทธิ์ที่แกร่งและบ้าอำนาจกว่ากลิ่นอายพลังของสุ่ยเยวี่ยสามส่วน
“สายเลือดเคียงกระบี่ ช่างน่าตกใจมาก”
ร่างอิทธิฤทธิ์นั้นปกคลุมอยู่ในแสงดาราขมุกขมัว มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เสียงดูนุ่มนวลกว่าเทพธิดาสุ่ยเยวี่ยสามส่วน พูดด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าจะเหนือกว่ากฎหมายต้าสุยกัน”
“ราชันดาราอี๋อู๋…” เสียงของสุ่ยเยวี่ยมีความเย็นชาเสี้ยวหนึ่ง “กฎหมายต้าสุย ขอบเขตราชันดาราห้ามลงมือในอาณาเขต”
“แค่แสดงอิทธิฤทธิ์เท่านั้น แม่นางสุ่ยเยวี่ยอย่าจริงจังนักเลย” เสียงนุ่มนวลนั้นหัวเราะ
ร่างอิทธิฤทธิ์ของยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดารามาเยือนเมืองหลวง ก้อนหินแตกบนถนนทั้งตรอกฝนพรำลอยขึ้นจากพื้น ลอยในอากาศ รวมถึงธนูหักที่ยิงมาก่อนหน้านี้ เศษอาภรณ์ขาดรวมถึงหยดเลือดอิ่มเอิบ เศษหิมะที่จะละลายก็ไม่ ร่างอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่นั้นติดที่กฎหมายต้าสุย จึงไม่อาจแสดงอานุภาพได้ทั้งหมด เพียงแค่เผยร่างเลือนราง ยกมือขึ้น ประกบฝ่ามือเบาๆ ก็มีแสงดาราไหลหลาก พายุก่อตัวขึ้น เปลวเพลิงที่ปกคลุมหญิงสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเริ่มสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง จะดับลงได้ทุกเมื่อ
ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราคนนี้ไม่ได้ลงมือ แต่ใช้อำนาจคุกคามของตน
หญิงจากสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวฝืนต้านไว้
นี่เป็นสถานการณ์ที่พบเห็นได้ยากยิ่ง การต่อสู้ของสำนักศึกษา การต่อสู้ของเขาศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นคนรุ่นเดียวกันสู้กัน ถ้ำกวางขาวไม่ยุ่งเรื่องทางโลก ก็รู้หลักการนี้
แต่น่าเสียดายพวกนางไม่เข้าใจแผนการร้ายที่อีกสามสำนักศึกษาเล่นกันข้างนอก เหตุและผลหน้าหลังเชื่อมถึงกันไม่ได้ จึงยิ่งคาดไม่ถึงว่าการรับมือกับผู้บำเพ็ญหนุ่มที่พลังบำเพ็ญไม่ถึงสิบขอบเขตอย่างหนิงอี้ จวนขานฟ้าจะละวางเกียรติ ให้ยอดผู้บำเพ็ญระดับราชันดารามาด้วยตนเอง
สุ่ยเยวี่ยมีสีหน้าไม่ดีนัก นางพูดถากถาง “จิตใจของราชันดาราอี๋อู๋ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาขึ้นเลย”
“ข้าเป็นคนต่ำช้าจริงๆ” อี๋อู๋ยิ้มเล็กน้อย “มีคนเอาเปรียบข้าที่หลังเขาสู่ซาน มาเมืองหลวง จวนขานฟ้าข้าย่อมต้องคืนให้”
สุ่ยเยวี่ยยังอยากพูดอะไรอีก แต่หญิงสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวทนไม่ไหวแล้ว ถูกแสงดาราของราชันดาราอี๋อู๋กดดันจนจับป้ายชื่อไว้ไม่อยู่ ทั้งร่างอิทธิฤทธิ์กำลังจะสลายหายไปดั่งควัน หายไปในฟ้าดินตรอกฝนพรำ
มีคนก้าวออกมา ถือกระบี่ยาว ยืนหน้าหญิงสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
เกิดเสียงดังแก๊ง ปลายกระบี่กดบนพื้นหินดำ
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโสทำเพื่อข้า…มามากพอแล้ว หนิงอี้ซาบซึ้งใจไม่สิ้น”
สายเลือดเคียงกระบี่ เป็นคนใจกว้างตรงไปตรงมาจริงๆ หนิงอี้จดจำบุญคุณนี้ไว้แล้ว
ท่ามกลางสายตาซับซ้อนของหญิงถ้ำกวางขาว ร่างอิทธิฤทธิ์ของสุ่ยเยวี่ยถอนหายใจ ก่อนจะสลายหายไป ถูกพายุพัดหายไป
เส้นผมหนิงอี้ปลิวไสว เขามีสีหน้าแน่วแน่ มองคนจวนขานฟ้าทุกคนไกลๆ พลางเอ่ยเรียบนิ่ง “ราชันดาราอี๋อู๋ เจ้าจะเอาอย่างไร”
อิทธิฤทธิ์นั้นไม่รีบร้อนพูด แค่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนิงอี้ เราพบกันอีกแล้ว…ยังจำได้หรือไม่ว่าข้าเคยพูดอะไรไว้ ให้มาอย่างไรก็ต้องคืนไปอย่างนั้น จวนขานฟ้าข้ายินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขก”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว
เขาพ่นลมหายใจขุ่น กำพินิจเหมันต์แน่น เริ่มดึงความเป็นเทพในน้ำวนสุดชีวิต…ไม่รู้ว่ากระบี่ที่ตนใช้พลังทั้งหมดจะฟันทำลายอิทธิฤทธิ์ราชันดาราที่ขวางหน้าได้หรือไม่ จะทำลายกฎที่ปามาใส่หน้าตนได้หรือไม่
หนิงอี้พูดเสียงกังวาน “จวนขานฟ้า ข้าย่อมไปเยือนแน่!”
ราชันดาราอี๋อู๋ที่อยู่ไกลออกไปเห็นท่าทางของหนิงอี้ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าคิดเล่นลูกไม้ ไม่มีประโยชน์…ต่ำกว่าดาราชะตาล้วนเป็นมดปลวก”
ราชันดาราอี๋อู๋ยื่นนิ้วมานิ้วหนึ่ง ผนึกแสงดาราในฟ้าดิน
วิธีการนี้เหนือชั้นกว่าค่ายกลในตรอกฝนพรำไม่รู้กี่เท่า
แต่น่าเสียดาย ราชันดาราอี๋อู๋ไม่รู้ว่าวิธีนี้ไม่อาจผนึกความเป็นเทพในตันเถียนหนิงอี้ได้ และไม่อาจขวางกระบี่หนักที่หลอมรวมความเป็นเทพออกมาจากที่ราบกระดูกได้
แสงดาราทั้งตรอกฝนพรำถูกผนึก
แต่ทหารที่เจ้ากรมน้อยจวนขานฟ้าพามารวมถึงศิษย์ข้างหลังฉินโซ่วไม่ได้รับผลกระทบ
ฉินโซ่วที่ชูป้ายชื่อ ตอนนี้มองหนิงอี้ด้วยรอยยิ้ม พูดเสียงเบา “เจ้ายังคิดมาเป็นแขกที่จวนขานฟ้าข้าอีกรึ เจ้าจะออกจากกรมผู้คุมกฎได้หรือไม่ก่อน”
“กรมผู้คุมกฎทุกคนฟังคำสั่ง…”
ปู้หรูเอ่ยอย่างเฉยชา “เตรียมลงมือ!”
กองทหารเกราะทองชูง้าวยาวขึ้น พลันสั่นสะเทือนดิน
ถนนสั่นไหว
ท่านหญิงถ้ำกวางขาวข้างหนิงอี้หน้าเขียว เอ่ยเนิบนาบกับคนข้างหลัง “รวมค่ายกล”
ศิษย์หญิงถ้ำกวางขาวข้างหลังมองหน้ากัน ก่อนเริ่มรวมค่ายกล ปราณกระบี่สลับกันวนเวียนรอบหนิงอี้ จะปกป้องเด็กหนุ่มที่อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยให้ความสำคัญคนนี้
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ร่างจริงของอาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยออกจากสำนักศึกษาแล้ว ไม่นานก็จะมาถึงเมืองหลวง
ในกลุ่มคน เด็กสาวเผยฝานที่เห็นทุกอย่างมีสีหน้าเฉยชา ไม่ขยับไหวแม้แต่น้อย นิ้วมือกดตรงระหว่างคิ้วใต้งอบเงียบๆ
หากอีกฝ่ายจะลงมือจริงๆ ตนจะสำแดงกระบี่ซ่อน ใช้ค่ายกล…ขอแค่ร่างอิทธิฤทธิ์ของราชันดาราอี๋อู๋ไม่สอดมืออีก ก็น่าจะพาหนิงอี้ไปได้
นอกตรอก สองข้างถนน พายุฝนกำลังมาคุ
ช่วงที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดนั้น…
มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเข้ามา
“ท่านเจ้าลัทธิมาแล้ว!”
อีกด้านของตรอกฝนพรำ มีคนตะโกนเสียงดัง เสียงใสของกระดิ่งสามวิสุทธ์ทำลายความเงียบสงบก่อนพายุฝนจะมาเยือน
นักพรตชุดคลุมหยาบตรงสุดปลายถนน แค่ขยับร่างวูบไหวครั้งเดียวก็มาอยู่กลางสองกลุ่มที่กำลังคุมเชิงกัน
ไม่มีใครเห็นชัดว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็มาอยู่ตำแหน่งนี้แล้ว
หันหลังให้หนิงอี้ หันหน้าให้จวนขานฟ้า
นักพรตชุดคลุมหยาบต่อว่าด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “ฉินโซ่ว! ปู้หรู! ยังไม่หยุดมืออีกรึ”
……………………….