ตอนที่ 71 เอาแต่ใจตัวเอง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 71 เอาแต่ใจตัวเอง
“พวกเจ้ามันคนชั่วช้าเนรคุณ!” หลู่หยวนเผิงใช้แส้ชี้ไปยังกลุ่มคนเห็นแก่เงินซึ่งคุกเข่ารวมกันอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยความโกรธเคือง “ตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงสละชีพเพื่อปกป้องให้พวกเจ้าได้อยู่ในเมืองหลวงอันรุ่งเรืองอย่างสงบสุข พวกเจ้าไม่สำนึกบุญคุณแต่กลับมาใส่ร้ายป้ายสีคนที่มีคุณธรรม จงรักภักดีเช่นนี้! พวกเจ้ายังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่!”

“พวกเจ้าก็ด้วย!” หลู่หยวนเผิงใช้แส้ชี้ไปทางชายสองคนที่อ้างว่าเป็นคนจากยุทธภพ “หากไม่มีตระกูลไป๋คอยคุ้มกันชายแดน จะมีคนในยุทธภพอย่างพวกเจ้าหรืออย่างไร ความภักดีแห่งยุทธภพ?! พวกเจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน บุรุษตระกูลไป๋สละชีพเพื่อพวกเราชาวต้าจิ้น แต่เพื่อเงินแล้ว…พวกเจ้าถึงกับบีบให้สตรีที่เหลือของตระกูลไป๋หมดหนทางสู้เลยอย่างนั้นหรือ!”

ชาวบ้านที่เดิมทีโกรธเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินคำกล่าวของคุณชายเจ้าสำราญอย่างหลู่หยวนเผิงก็โมโหจนทนไม่ไหว ถลกแขนเสื้อขึ้นเริ่มลงมือ…

“พวกสวะ! ข้าจะตีคนเนรคุณอย่างพวกเจ้าให้ตายไปเลย!”

บริเวณหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงอลหม่านขึ้นในทันที แม้กระทั่งหลู่หยวนเผิงยังถือแส้เข้าร่วมวงชกต่อยด้วย

มีเพียงเซียวหรงเหยี่ยนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เพียงลำพัง ไม่นานชายหนุ่มจึงหันไปสั่งองครักษ์ “คุ้มกันชายสองคนนั่นเอาไว้ อย่าให้โดนตีตาย”

บรรดาญาติของทหารที่มาอาละวาดหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงถูกทำร้ายพลางถูกรุมต้อนไปยังที่ว่าการจิงจ้าวอิ่นพร้อมกับชายสองคนที่อ้างตนว่าเป็นคนจากยุทธภพ

เดิมทีจิงจ้าวอิ่นก็คาดการไว้แล้วว่าปีนี้ต้องมีแต่เรื่องไม่ดีเพราะบุรุษแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงล้วนเสียชีวิตลงที่หนานเจียงหมดแล้ว ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่าบ่ายวันแรกของปี หลานชายคนสุดท้องซึ่งเป็นหลานคนโปรดที่สุดของมหาเสนาบดีฝ่ายขวาและบรรดาชาวบ้านในเมืองหลวงจะส่งของขวัญต้อนรับปีใหม่ชิ้นใหญ่แบบนี้มาให้เขา

เพราะไม่อยากให้เรื่องรบกวนไปถึงองค์หญิงใหญ่และบรรดาผู้ใหญ่ที่เพิ่งได้พักผ่อน ไป๋จิ่นถงจึงนำตัวไป๋จิ่นจื้อไปที่เรือนชิงฮุยของไป๋ชิงเหยียน

ไป๋จิ่นจื้อคุกเข่าอยู่บนพื้นอิฐของเรือนชิงฮุย ยืดคอแข็ง นางมิกลัวกฎของตระกูล แค่รู้สึกว่าตนเองไม่ผิด

หลูผิงถือท่อนไม้สำหรับลงโทษไว้ในมือ ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกสงสาร อย่างไรเสียวันนี้ผู้อื่นเป็นคนมาหาเรื่องจวนเจิ้นกั๋วกงก่อน คุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อต้องการรักษาชื่อเสียงของตระกูลเอาไว้จึงลงมือทำร้ายคนเช่นนั้น

คุณหนูสามไป๋จิ่นถงซึ่งยืนอยู่ข้างไป๋ชิงเหยียนยืนเอามือไขว้หลัง เหลือบมองไปที่ไป๋จิ่นจื้อซึ่งน้ำตาคลอแวบหนึ่ง นางขอร้องไป๋ชิงเหยียนด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ เสี่ยวซื่อสำนึกผิดแล้วก็พอเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียวันนี้ผู้อื่นเป็นคนมาหาเรื่องเราก่อน”

เมื่อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนเม้มปากแน่น ดวงตาคมกริบจ้องไปทางไป๋จิ่นจื้อ ไป๋จิ่นถงรีบกล่าวขึ้นทันที “เสี่ยวซื่อ! สำนึกผิดกับพี่หญิงใหญ่เดี๋ยวนี้!”

ไป๋จิ่นซิ่วที่เปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จแล้วรีบเดินเข้ามาในเรือนชิงฮุยโดยมีชิงซูคอยประคอง นางมองไปที่ไป๋จิ่นจื้อซึ่งคุกเข่าอยู่กลางลานหญ้าแวบหนึ่ง จากนั้นเดินตรงไปหาไป๋ชิงเหยียน ย่อกายทำความเคารพพลางขอร้องแทนไป๋จิ่นจื้อ “พี่หญิงใหญ่ เสี่ยวซื่อทำผิดก็จริง แต่นางทำไปเพราะมีเหตุผล เสี่ยวซื่อต้องการปกป้องชื่อเสียงของตระกูลเราไว้นะเจ้าคะ”

“หากพี่หญิงใหญ่ต้องการโบย เสี่ยวซื่อน้อมรับ แต่เสี่ยวซื่อไม่ผิดเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด น้ำตาคลอมองดูไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน “เสี่ยวซื่อทำไปเพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าไม่ผิด!”

ไป๋จิ่นจื้อถลึงตาใส่ไป๋จิ่นซิ่ว “พี่รองต่างหาก คนเนรคุณเห็นแก่เงินพวกนั้นจงใจใส่ร้ายจวนเจิ้นกั๋วกงของเรา แต่พี่รองกลับปล่อยให้พวกนั้นทำตามใจชอบต่อหน้าต่อตา! พี่หญิงรองเป็นคนขี้ขลาดอ่อนแอ! แต่เสี่ยวซื่อมิใช่!”

มองดูสีหน้าแข็งกร้าวของไป๋จิ่นจื้อ ไป๋ชิงเหยียนข่มความเจ็บปวดและผิดหวังเอาไว้ เอ่ยขึ้น “ลุงผิง พวกท่านไปรอด้านนอกเรือนก่อน”

เรือนชิงฮุยที่กว้างขวาง บัดนี้มีเพียงสี่พี่น้อง

“พี่หญิงรองของเจ้าขี้ขลาดอ่อนแออย่างนั้นหรือ! หากพี่หญิงรองของเจ้าขี้ขลาดจะฝ่าศัตรูบุกเข้าไปช่วยพี่ชายสามของเจ้าทั้งๆ ที่เกือบโดนฟันแขนขาดอย่างนั้นหรือ! ตั้งแต่เล็กจนโตพี่หญิงรองรับผิดแทนเจ้าจนโดนโบยไม่ต่ำกว่าสองร้อยที แบบนี้เรียกขี้ขลาดหรือ! เมื่อครู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง หากพี่หญิงรองของเจ้าไม่อาศัยจังหวะนั้นร้องไห้ออกมา เจ้าคิดว่าชาวบ้านจะรู้สึกซาบซึ้งออกมาปกป้องตระกูลไป๋ของเราจนลืมเรื่องที่เจ้าฟาดแส้ใส่ชาวบ้านเช่นนั้นหรือ ตอนที่อยู่จวนจงหย่งโหว พี่หญิงรองของเจ้าแค่ยังไม่ลงมือเท่านั้น เมื่อนางลงมือ…ก็บีบจนฉินหล่างต้องรีบย้ายออกจากจวนจงหย่งโหว! หากพี่หญิงรองของเจ้าขี้ขลาด เจ้าที่เอาแต่ลงมือทำร้ายผู้อื่นคือผู้กล้าอย่างนั้นหรือ!”

ไป๋จิ่นจื้อเบนหน้าหนี นางยังรู้สึกว่าตนไม่ผิด

“ตอนที่พี่หญิงรองห้ามเจ้าเอาไว้ นางได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าคนที่มาก่อเรื่องที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงพวกนั้นมีจุดประสงค์ไม่ดี ห้ามเจ้าวู่วาม!” ไป๋ชิงเหยียนถามเสียงสูง “ฟาดแส้ไปมาหน้าจวนเจิ้นกั๋วกง เอาแต่พร่ำว่าจะฆ่าคน! ช่างเป็นผู้กล้าเสียจริง วันนี้หากหลู่หยวนเผิงไม่ได้พาตัวชายสองคนนั่นมาที่จวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อเปิดโปงแผนการของพวกมัน เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือไม่”

ไป๋จิ่นจื้อนึกถึงคำกล่าวของหลู่หยวนเผิงที่บอกว่าชายสองคนนั้นจะฆ่าปิดปากบรรดาญาติของทหารแล้วโยนความผิดให้จวนเจิ้นกั๋วกง ในใจของนางเริ่มหวาดหวั่นแต่ยังคงฝืนไม่ยอมรับผิด

ไป๋ชิงเหยียนชี้ไปทางหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง “หากคนพวกนั้นกลับไปแล้วโดนฆ่าปิดปาก สิ่งแรกที่จิงจ้าวอิ่นจะทำก็คือมาจับเจ้าที่จวนเจิ้นกั๋วกง!”

เมื่อนึกได้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ชื่อเสียงและความชื่นชมของชาวบ้านที่มีต่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกทำลายจนหมดสิ้น ไป๋ชิงเหยียนก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง อำนาจและใจคนคืออาวุธเดียวที่นางสามารถใช้เป็นเกราะคุ้มครองตระกูลไป๋

“ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด! จับก็จับไปสิ! ข้ามิกลัว อย่างมากก็แค่ติดคุก เมื่อจิงจ้าวอิ่นตรวจสอบแน่ชัดเขาก็จะคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ข้า!” ไป๋จิ่นจื้อท่าทีแข็งกร้าวท่าทีราวกับพร้อมยอมตาย

ดวงตาคมกริบของไป๋ชิงเหยียนจ้องไปยังน้องสาวที่ชอบเอาชนะ คิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง นางบันดาลโทสะในทันที “ไร้เดียงสา! เรื่องนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง เจ้าคิดว่าเจ้าโดนจิงจ้าวอิ่นจับไปแล้วจะได้ความยุติธรรมคืนอย่างนั้นหรือ พวกเขามีแต่จะยัดข้อหาให้เจ้าจนเจ้าโดนโทษประหาร เช่นนี้จึงจะทำลายภาพลักษณ์ของตระกูลไป๋ในใจของชาวบ้านได้ ทำลายอำนาจของตระกูลไป๋ได้! ส่วนเจ้า ไม่ฟังคำเตือนของพี่หญิงรอง เอาแต่จะกระโดดลงไปในกับดัก แถมยังลงมือทำร้ายพี่หญิงรองของเจ้าอีก!”

“เรื่องในวันนี้ หากหลู่หยวนเผิงมิได้นำตัวชายสองคนนั่นมาแล้วญาติของทหารเหล่านั้นโดนฆ่าปิดปาก แค่ข้อหาฆ่าญาติของทหารเพื่อระบายความโกรธก็สามารถทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมานานนับร้อยปีของตระกูลไป๋ให้พังพินาศได้แล้ว หลักที่ว่าทำดีร้อยเรื่องมิเท่าทำชั่วเรื่องเดียว เจ้าเอามันไปไว้ที่ใดหมดแล้ว หากเจ้าติดคุก คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังก็จะสร้างข่าวลือมากขึ้น จากนั้นโยนความผิดพวกนั้นให้ตระกูลไป๋จนตระกูลเราต้องโทษประหารทั้งตระกูล บุรุษตระกูลไป๋ไม่หลงเหลือแม้แต่ผู้เดียว เราไม่มีคนอยู่ในราชสำนัก เดิมทีก็ลำบากมากอยู่แล้ว หากไม่มีชาวบ้านคอยปกป้องคุ้มครองก็ยิ่งพบกับหายนะเร็วเท่านั้น! นี่คือจุดจบของตระกูลไป๋ซึ่งคนที่วางแผนเรื่องนี้ต้องการจะเห็น!”

ไป๋จิ่นจื้อกำชายเสื้อของตัวเองแน่น เย็นวาบไปทั้งร่าง กัดฟันกรอดไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับดวงตาคมกริบของไป๋ชิงเหยียน

ไป๋ชิงเหยียนเข้มงวดกับน้องสาวหวังว่านางจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากว่านี้จึงเอ่ยเสียงสูงกว่าเดิม “ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตนหรือทำการใดๆ เจ้าสามารถอวดดีได้ แต่เจ้าต้องมั่นใจว่าเจ้ามีความสามารถและควบคุมสถานการณ์อยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว แต่เจ้าลองดูตัวเจ้าสิ แข่งขันพละกำลังกับสตรีกลางคนนั่น เอาแต่โมโหคนเห็นแก่ตัวพวกนั้นจนไม่สนใจสถานการณ์ ต้องการเพียงระบายความโกรธของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว สะบัดแส้เพื่อความสะใจเพียงชั่ววูบโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเลยสักนิด”

เมื่อไป๋จิ่นจื้อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนสั่งสอนนางอย่างรุนแรงเช่นนี้ น้ำตาเริ่มไหลพราก ไป๋จิ่นซิ่วเห็นแล้วสงสารเป็นอย่างมาก ขอร้องไป๋ชิงเหยียนด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ เสี่ยวซื่อยังเด็กเลยเอาแต่ใจไปบ้าง ครั้งนี้นางทำตามใจตัวเองเพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง ขอแค่เสี่ยวซื่อสำนึกผิด สั่งสอนสักเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ!”