ตอนที่ 87 ตามพัวพันไม่เลิก

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 87 ตามพัวพันไม่เลิก

แต่ในพริบตาที่ลู่เซิ่งจงตกตะลึงใจลอยก็ได้เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น

ด้ามกระบี่ในมือไป๋เหยาพลันพุ่งออกไป กระแทกเข้าที่บริเวณจุดชีพจรตรงเอวของลู่เซิ่งจง

กว่าลู่เซิ่งจงจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ ประกอบกับพลังของเขาห่างชั้นจากไป๋เหยา ต่อให้เขาไม่ใจลอยก็ยากจะหลบได้

บั้นเอวพลันปวดร้าว กระแสพลังที่กระแทกเข้าใส่แล่นพล่านไปทั่วร่าง ป้องกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แรงดันมหาศาลพุ่งผ่านจมูกและปาก โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมาดัง “พรืด”

เขายังไม่ทันเบี่ยงตัวหนี มือข้างหนึ่งของไป๋เหยาก็คว้าหัวไหล่เขาเอาไว้ พร้อมทั้งกดตัวเขาให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ มืออีกข้างไล่สกัดจุดตามร่างกายเขา ผนึกเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดเส้นของเขาไว้ หลังจากตัดโอกาสไม่ให้เขาใช้พลังได้แล้ว ไป๋เหยาถึงจะผลักมือปล่อยตัวเขาไป

ลู่เซิ่งจงร่างส่ายโอนเอน วิงเวียนตาลาย ลมหายใจถี่กระชั้นติดขัด พลังในร่างปั่นป่วนพลุ่งพล่าน ทรุดนั่งลงบนพื้น สำรอกโลหิตออกมาอีกสองคำ

ไม่ง่ายเลยกว่าอาการจะทุเลาลง ลู่เซิ่งจงพยายามสะบัดหน้า เรียกสติกลับมาได้เล็กน้อย ภายในใจร้องคร่ำครวญ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะมองตัวตนของเขาออกแล้ว แต่เขายังคงโอบอุ้มความหวังอันน้อยนิดไว้ หันขวับกลับไปมองไป๋เหยา เอ่ยเสียงเศร้า “ไยต้องทำร้ายข้าด้วย?”

ไป๋เหยาเอ่ยอย่างเฉยชา “ในร่างเจ้ามีพลังสะท้อนออกมา” นี่เป็นการเตือนอีกฝ่ายว่าอย่าได้เสแสร้งต่อไปเลย

ลู่เซิ่งจงไม่ยอมแพ้ “ข้าบำเพ็ญเพียรไม่ได้หรือไร?”

“มองทางนี้ก่อน!” หนิวโหย่วเต้าร้องเรียก เมื่อลู่เซิ่งจงหันหน้ามองตามเสียงเรียก เขาก็แย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าขอแนะนำตัวสักหน่อยแล้วกัน ข้าคือหนิวโหย่วเต้า ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์! ตอนอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ข้ามีศิษย์พี่อยู่คนหนึ่งนามว่าซ่งเหยี่ยนชิง เขาเคยใช้ข้าแต่งกลอนหลายบทให้เขา” พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ ตัวเขาก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน มีความสุขอย่างยิ่ง คิดๆ ไปก็ขบขันนัก

ยามที่ได้ยินกลอนบทนั้นเป็นครั้งแรก เขานึกถึงคนสองคนขึ้นมาทันที คนหนึ่งคือซ่งเหยี่ยนชิง อีกคนคือถังอี๋ผู้ที่ซ่งเหยี่ยนชิงเฝ้าหลงใหล แต่ถังอี๋ผุดขึ้นมาในสมองเพียงครู่ก็ถูกเขาตัดทิ้งไปทันที

ลู่เซิ่งจงตกตะลึงในทันใด ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่อีกฝ่ายถึงบอกว่าตนเองเป็นคนแต่งกลอนบทนั้นขึ้น

วินาทีที่ถูกโจมตี เขายังนึกแปลกใจอยู่ว่าอีกฝ่ายทราบฐานะของเขาได้อย่างไร ไม่รู้เลยว่าตนเผยพิรุธไปตอนไหน จึงเอ่ยโต้แย้งด้วยความหวังอันริบหรี่ ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้ว ผู้แต่งกลอนตัวจริงยืนอยู่ตรงหน้าตนแล้ว ตนยังมีหน้ามาทำตัวกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่อีก เกรงว่าในสายตาของอีกฝ่าย ตนคงไม่ได้ต่างอะไรกับคนโง่กระมัง

พอคิดถึงจุดนี้ ลู่เซิงจงก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก อยากโขกศีรษะฆ่าตัวตายใจแทบขาด ไม่เคยขายหน้าขนาดนี้มาก่อน ครั้งนี้เรียกได้ว่าอับอายไปถึงวงศ์ตระกูลแล้วจริงๆ คนเขาเฝ้ามองตนวิ่งมารนหาที่ตายถึงที่ คาดว่าอีกฝ่ายคงขบขันกันยกใหญ่แน่!

ในใจเขาก่นด่าไปถึงโคตรเหง้าบรรพบุรุษของซ่งเหยี่ยนชิงแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าไอ้สารเลวตัวนั้นจะเอากลอนที่ผู้อื่นแต่งมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน ขโมยผลงานผู้อื่นก็แย่พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะขโมยผลงานมาจากศิษย์ร่วมสำนักอีก ไม่กลัวขายหน้าคนในสำนักบ้างหรือ?

ยามที่ซ่งเหยี่ยนชิงออกเที่ยวเตร่ตามหอนางโลมในเมืองหลวง ได้อาศัยบทกลอนเหล่านั้นเกี้ยวพาหญิงงาม ความจริงเขาก็เคยสงสัยอยู่แล้วว่าบทกลอนเหล่านั้นมิใช่ผลงานของซ่งเหยี่ยนชิง แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเลย ทว่ามีจุดหนึ่งที่เขามั่นใจได้ ในเมื่อซ่งเหยี่ยนชิงกล้าบอกว่ากลอนเหล่านั้นเป็นผลงานที่ตนแต่งขึ้น เช่นนั้นซ่งเหยี่ยนชิงก็น่าจะตกลงกับผู้แต่งตัวจริงเอาไว้แล้ว มิเช่นนั้นหากผู้แต่งตัวจริงออกมาต่อว่า มิใช่แค่เขาที่จะเสียหน้า หากแต่เป็นตระกูลซ่งทั้งตระกูล ซ่งเหยี่ยนชิงไม่น่าจะโง่จนไม่เข้าใจกระทั่งเรื่องนี้

แต่เขาก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าซ่งเหยี่ยนชิงจะเหิมเกริมและหน้าด้านไร้ยางอายกว่าที่คาดไว้ คิดไม่ถึงว่าจะขโมยผลงานของศิษย์ร่วมสำนักมา หากเจ้าขโมยกลอนของคนที่มีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันยังพอว่า แต่นี่กลับไปขโมยกลอนของศิษย์ร่วมสำนักที่เป็นอริกัน ต้องโง่ขนาดไหนถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้?

ภายในใจลู่เซิ่งจงนึกอยากขุดรื้อสุสานบรรพชนตระกูลซ่งขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ ตนทุ่มเทความคิดจิตใจเพื่อช่วยล้างแค้นให้ไอ้สารเลวคนนั้น ผู้ใดจะทราบว่าไอ้สารเลวนั่นไม่ได้หลอกเขาแค่ตอนยังมีชีวิต ขนาดตายไปแล้วก็ยังสร้างปัญหาให้เขาอีก

แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือที่ผ่านมาหนิวโหย่วเต้าถูกกักบริเวณไว้ในสวนดอกท้อมาโดยตลอด ซ่งเหยี่ยนชิงทราบเรื่องนี้ คาดการณ์ไปว่าชั่วชีวิตนี้หนิวโหย่วคงไม่มีทางได้ออกมาใช้ชีวิตนอกสวนดอกท้อเป็นแน่ ดังนั้นถึงได้กล้าขโมยผลงานอย่างไม่เกรงกลัว กล้าป่าวประกาศกับคนอื่นว่ากลอนเหล่านั้นเป็นผลงานของเขา ภายหลังที่ไปไล่ล่าสังหารหนิวโหย่วเต้าก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ด้วย

“…..” ซางซูชิงหันมองหนิวโหย่วเต้า กระจ่างแจ้งในทันใด นางเข้าใจแล้ว

หลังจากเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางรู้สึกทั้งโมโหทั้งขบขัน เต้าเหยี่ยผู้นี้เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าตนแต่งกลอนเป็น ตอนนี้ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะ

ซางซูชิงมองลู่เซิ่งจงอีกครั้ง รู้สึกเวทนาอยู่บ้าง มาประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้ได้ ต้องโชคร้ายขนาดไหนกัน?

ลู่เซิ่งจงค่อยๆ เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา ยกมือปาดเลือดบริเวณจมูกและปาก นั่งกางขาทั้งสองข้างอยู่บนพื้น

หนิวโหย่วเต้าประสานมือพลางกล่าวกับไป๋เหยาว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสไป๋ที่ช่วยเหลือ เดี๋ยวเรื่องราวต่อจากนี้ผู้เยาว์จะเป็นคนจัดการเอง”

ไป๋เหยาปรายตามองคนที่นั่งบนพื้นแวบหนึ่ง กอดกระบี่หันหลังจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับซางซูชิงด้วยรอยยิ้ม “ท่านหญิง ทางฝั่งบัณฑิตเหล่านั้นคงต้องรบกวนท่านหญิงช่วยอำพรางให้กระหม่อมด้วย อย่าให้พวกเขาจับพิรุธอันใดได้”

ซางซูชิงส่ายหน้าเล็กน้อย รู้สึกขบขัน ลุกขึ้นก้าวจากไป

หลังจากที่ภายในศาลาเหลือกันแค่สามคน หนิวโหย่วเต้าลากเก้าอี้มาวางตรงหน้าลู่เซิ่งจง ค้ำกระบี่ไว้แล้วนั่งลงไป “หากยังมีอะไรโต้แย้งก็ว่ามา ข้ารอฟังอยู่”

ลู่เซิ่งจงหันไปถ่มเลือดคำหนึ่ง หัวเราะเฮอะๆ เอ่ยอย่างอับจนหนทางว่า “ในเมื่อเจ้าจับพิรุธข้าได้แต่แรกแล้ว ไยถึงไม่ลงมือแต่แรกเล่า?”

หนิวโหย่วเต้าให้คำตอบ “เจ้าเป็นแค่มือสังหารที่รับคำสั่งใครสักคนมา ในเมื่อตกอยู่ในกำมือข้าแล้ว จะลงมือตอนไหนมันสำคัญด้วยหรือ?”

ลู่เซิ่งจงหัวเราะคราหนึ่ง “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องเชิญบัณฑิตอวดรู้พวกนั้นมาตบตาข้าด้วย?”

หนิวโหย่วเต้าอธิบาย “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะหาช่องทางจากร้านเครื่องเขียนได้ วางแผนปักหลักเฝ้ารอเป้าหมาย ตัวเองไม่ยอมเข้ามา แต่จะให้ฝั่งข้าเป็นฝ่ายไปหาเจ้าแทน ทำให้ยากจะนึกสงสัยในตัวเจ้าได้ หากมิใช่เพราะกลอนบทนี้ แผนของเจ้าคงจะประสบความสำเร็จไปแล้ว จะประมือกับผู้มีปัญญา ย่อมต้องระมัดระวังรอบคอบหน่อย ให้เจ้ามาคนเดียวจะดูน่าสงสัยเกินไป แต่พอให้มากันเป็นกลุ่ม เจ้าเห็นคนมากก็วางใจ บอกให้เจ้ามาเจ้าก็มา”

ลู่เซิ่งจงยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ก็แค่มือสังหารไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น จับตัวมาเลยก็ได้นี่นา ไยต้องทำอะไรวุ่นวายเช่นนี้ด้วย?”

“ตัวเจ้าเองก็ยอมรับแล้วว่าเจ้าเป็นมือสังหารไร้ค่า ดังนั้นบทบาทหน้าที่ของเจ้าคือ…ผู้บงการเจ้าใช้ประโยชน์จากตัวเจ้า โดยมีเป้าหมายคือข้า! พูดอีกอย่างคือศัตรูที่แท้จริงของข้ามิใช่ตัวกลางอย่างเจ้า ข้าเองก็คิดจะใช้ประโยชน์จากเจ้า เพื่อต่อกรกับผู้ที่บงการเจ้าเช่นกัน เจ้าน่าจะเข้าใจความหมายของข้ากระมัง” หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ อธิบายไป

ลู่เซิ่งจงหัวเราะพลางพยักหน้ารับนิดๆ “เข้าใจแล้ว จัดการมือสังหารคนหนึ่งไม่เพียงพอจะระบายโทสะในใจเจ้า!”

หนิวโหย่วเต้ากระดิกนิ้วเคาะด้ามกระบี่ช้าๆ เริ่มซักถาม “ชื่อเสียงเรียงนาม มาจากสำนักไหน มีความเป็นมาอย่างไร หากไม่อยากทรมานก็สารภาพออกมาเองซะ!”

มาถึงจุดนี้ มีจุดจบแค่สองทางเท่านั้น ตายกับรอด แน่นอนว่าลู่เซิ่งจงย่อมเลือกอย่างหลัง

หลังจากอีกฝ่ายบอกเล่าทุกอย่างที่ควรเล่าแล้ว หนิวโหย่วเต้าจ้องมองลู่เซิ่งจงพลางใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นจึงโบกมือให้หยวนกัง

หยวนกังรีบออกไปทันที ผ่านไปสักพัก หยวนฟางเดินนำสมณะสองรูปเข้ามา คิดไม่ถึงว่าจะพาพรรคพวกมาด้วย

หลังจากยืนยันเป้าหมายแล้ว หยวนฟางก็โบกมือคราหนึ่ง สมณะทั้งสองรูปพุ่งเข้าใส่ทันที เอาเศษผ้ายัดปากลู่เซิ่งจงไว้ก่อน ตามด้วยใช้โซ่ตรวนพันธนาการลู่เซิ่งจงอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ใช้กระสอบใบหนึ่งคลุมลู่เซิ่งจงจากหัวจรดเท้า ก่อนจะออกแรงหามลู่เซิ่งจงออกไป

มุมปากหนิวโหย่วเต้ากระตุกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นวิธีลงมือจัดการ เขาพบว่าสมณะเหล่านี้เชี่ยวชาญเรื่องประเภทนี้จริงๆ

จากนั้นเขาก็ออกจากศาลาพร้อมหยวนกัง มายังเรือนเล็กอันเป็นที่พำนักของไป๋เหยาอีกครั้ง

หลังยืนคอยอยู่ในศาลาครู่หนึ่ง ถึงเห็นไป๋เหยาค่อยๆ เดินออกมาจากในเรือน

ไป๋เหยาที่นั่งลงในศาลาไม่ได้เอ่ยเชิญพวกเขานั่ง กล่าวถามอย่างเฉยชาว่า “ผลเป็นอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นามว่าลู่เซิ่งจง มิใช่คนของซ่งซู หากแต่เป็นคนของหวังเหิง ศิษย์สำนักเบญจคีรี ด้านนอกยังมีศิษย์สำนักเซียนสถิตอีกห้าคน ในกลุ่มมีผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองสองคน ในบรรดาห้าคนนั้นมีบุตรชายพ่อบ้านหลิวลู่แห่งตระกูลซ่งอยู่ด้วย นามว่าหลิวจื่ออวี๋”

ไป๋เหยาแค่นเสียง “สำนักเบญจคีรีกล้ามาแส่เรื่องของสำนักหยกสวรรค์ คงเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้เอง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส จะปล่อยให้บุตรชายของหลิวลู่หนีไปไม่ได้ คนที่เหลือจะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ได้ทั้งนั้น ทางที่ดีที่สุดคือให้เหลือรอดไปรายงานสถานการณ์สักคน หลิวลู่มีบุตรชายเพียงคนเดียว หากทราบว่าลู่เซิ่งจงหักหลังบุตรชายเขา เขาจะต้องไปเอาเรื่องกับสำนักเบญจคีรีแน่ สำนักเบญจคีรีไม่คู่ควรให้สำนักหยกสวรรค์ต้องลงมือเอง ปล่อยให้พวกเขากัดกันเองดีกว่าขอรับ”

ไป๋เหยาไม่หือไม่อือ ไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับเรื่องนี้ แต่กลับกล่าวเตือนประโยคหนึ่ง “เพิ่งได้รับแจ้งมา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ละทิ้งถิ่นฐานบรรพชนแล้ว อพยพออกจากเขาสวรรค์พิสุทธิ์ไปหมดแล้ว”

“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้าตะลึงเล็กน้อย แม้แต่ถิ่นฐานบรรพชนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็สละแล้วหรือ? แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็เข้าใจได้ไม่ยาก คาดว่าคงต้องการลี้ภัย เขาเอ่ยถามสั้นๆ “ไปไหนขอรับ?”

ไป๋เหยากล่าวตอบ “ไม่รู้! แต่เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกคนนั้นน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ หลายวันมานี้น้ำสักหยดไม่ได้ตกถึงท้องเขา น่าจะทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยแย้ง “ไม่มีผู้ใดใช้ให้เขาคุกเข่า เขาสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ…”

…….

หลังออกจากทางนี้แล้วกลับไปที่เรือนของตน หนิวโหย่วเต้าก็ออกคำสั่งต่อหยวนกังทันที “ให้คนของซางเฉาจงเข้าจับกุมพ่อค้าคนนั้นอย่างลับๆ อย่าให้ทางเฟิ่งรั่วหนานรู้เรื่อง”

พ่อค้าที่เอ่ยถึงคือผู้ส่งสารที่อันเสี่ยวหม่านผู้เป็นศิษย์น้องของลู่เซิ่งจงส่งมา เพื่อปกปิดฐานะตัวตนแล้ว ลู่เซิ่งจงจึงไม่กล้าพกปีกทองที่ใช้สำหรับส่งข่าวสารเอาไว้ข้างกาย ดังนั้นอันเสี่ยวหม่านจึงส่งตัวคนผู้หนึ่งมาคอยติดต่อประสานงานกับลู่เซิ่งจง ผู้ส่งสารปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอำเภอ รับผิดชอบส่งข่าวสารให้ลู่เซิ่งจงโดยเฉพาะ

“อีกอย่าง นายไปคุยกับเจ้าติดอ่างคนนั้นที บอกเขาว่าคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทอดทิ้งสำนักหลบหนีไปแล้ว ให้เขารีบไสหัวตามไปหาซะ อย่ามาคุกเข่าอยู่หน้าประตูให้คนเขาหงุดหงิดเลย!” หนิวโหย่วเต้าโบกมือไล่ด้วยความฉุนเฉียว

หยวนกังพยักหน้ารับ หันหลังเดินออกไป

หนิวโหย่วเต้านอนเอนลงบนเก้าอี้เอนหลังที่อยู่ใต้ต้นไม้อีกครั้ง นี่เป็นนิสัยที่ติดมาจากตอนอยู่สวนดอกท้อ

เมื่อหยวนกังกลับมาอีกครั้ง ก็แจ้งข่าวร้ายอย่างหนึ่งให้เขาทราบ “เต้าเหยี่ย เจ้าติดอ่างคนนั้นบอกว่าเจ้าสำนักอยู่ที่นี่ ยังคงไม่ยอมจากไป!”

“….” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก ใช้ชีวิตมาสองชาติเพิ่งเคยพบเจอคนโง่หัวรั้นเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาสบถออกมา “แม่งเอ้ย นี่คิดจะใช้แผนทรมานตัวเองกับฉันเหรอ?”

เขาไม่เข้าใจเลยว่าเว่ยตัวคิดอะไรอยู่ คนตาบอดยังมองออกเลยว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ต้อนรับเขา แถมยังคิดสังหารเขาด้วย เขาไม่มีทางกลับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปรนหาที่ตาย แล้วก็ไม่มีทางกลับไปทวงตำแหน่งเจ้าสำนักจากถังอี๋ทั้งๆ ที่มีกำลังเพียงน้อยนิดแน่ มาตามพัวพันเขาไม่เลิกแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?

……………………………………………