ตอนที่ 93 ซาลาเปาน้อยทุบตีสุนัข
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง…”
เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะต้องแยกทางกับสหายที่ ‘บินด้วยกัน’ สุนัขตัวน้อยก็เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ มันเห่าตามท้ายรถที่กำลังแล่นออกไปเสียงดัง
มู่เถาเยาลูบหัวมันเบาๆ
ตี้อู๋เปียนหยอกเย้าเธอไปว่า “ซาลาเปาน้อย ทำได้ดีนี่ เข้าป่าครั้งเดียวเก็บทั้งคนทั้งสุนัขกลับมาพร้อมเลย!”
“อุบัติเหตุน่ะ ว่าแต่ทำไมทุกคนถึงออกมากันหมดล่ะคะ คงไม่ใช่ว่าจะตามขึ้นไปค้นหาฉันบนภูเขาใช่ไหม”
เมื่อเห็นไฟฉายที่คาดอยู่บนศีรษะ ไฟฉายในมือ เชือก และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายที่ใช้สำหรับการปีนเขา มู่เถาเยาก็ถามยิ้มๆ
“ก็ใช่น่ะสิ ปู่และย่าเป็นห่วงเธอมาก ในตอนที่เธอโบกมือและหายตัวไป พวกเขาก็สั่งให้คนไปซื้อเครื่องมือพวกนี้มาเตรียมไว้แล้ว”
“ฉันไม่ได้โบกมือสักหน่อย…” จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
มู่เถาเยาเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าหมดแล้ว จึงรู้ว่าสายนี้ต้องเป็นของศาสตราจารย์หลินหรือไม่ก็อาจารย์แม่แน่ๆ
กดรับ
“…”
“ศาสตราจารย์คะ หนูกลับลงมาแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง”
“…”
“โอเคค่ะ หนูจะออกไปเดี๋ยวนี้”
มู่เถาเยาวางสายและหันไปพูดกับทุกคนว่า “ศาสตราจารย์ของหนูกำลังรอหนูอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ค่ะ หนูจะกลับมาก่อนสามทุ่มนะคะ”
“ในเมื่อคนก็กลับมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็สบายใจแล้วล่ะ หลานไปจัดการธุระของหลานต่อเถอะ” ย่าเย่ว์พูดพร้อมกับดึงหลานสาวตัวน้อยให้เข้าไปใกล้
“โอเคค่ะ อ้อ จริงสิ มาสทิฟฟ์ตัวน้อยนี่ฉันเก็บได้จากบนภูเขา มันยืนกรานที่จะตามฉันกลับมาให้ได้ ตี้อู๋เปียน คุณช่วยหาใครสักคนพามันไปตรวจร่างกายและฉีดวัคซีนให้หน่อยได้ไหม”
แม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะดูแข็งแรง แต่เธอก็ไม่ใช่สัตวแพทย์ ที่บ้านมีแต่คนแก่ เด็ก และผู้ป่วย ตรวจให้ครบถ้วนสักหน่อยเธอถึงจะสบายใจขึ้น
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “เธอไปทำงานของเธอเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการให้”
“อื้ม”
มู่เถาเยาย่อตัวลงลูบหัวที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยของเจ้าหมาน้อย พูดกับมันสองสามคำ จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถ
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง…”
มาสทิฟฟ์ตัวน้อยทำท่าจะวิ่งไล่หลังรถที่แล่นออกไปทันที
ตี้อู๋เปียนเรียกหยุดมันไว้ “ตอนนี้เธอยังมีธุระบางอย่างที่ต้องทำ แกรออยู่ที่นี่เถอะ อย่าตามไปสร้างปัญหาให้เธอ”
มาสทิฟฟ์น้อยหันกลับไปมองตี้อู๋เปียนอย่างสงสัย
สร้างปัญหาหมายถึงอะไร
มันมีอายุเพียงสองเดือนซึ่งเทียบเท่ากับเด็กอายุเพียงสามขวบ มันไม่รู้ว่าคำพูดของตี้อู๋เปียนหมายถึงอะไร
“เธอจะกลับมานอนที่นี่ในคืนนี้ ไม่ทิ้งแกไว้ข้างหลังหรอก อีกเดี๋ยวฉันจะให้คนส่งแกไปตรวจสุขภาพ”
“โฮ่ง…”
จะกลับมา ไม่ทิ้ง เข้าใจแล้ว แต่อย่าโกหกลูกหมาเชียวล่ะ!
“ฉันไม่โกหกแกหรอก ก็บ้านของเธออยู่ที่นี่”
“โฮ่ง…” งั้นผมจะเชื่อคุณก่อน
ถ้าหากคืนนี้เจ้าของไม่กลับมา มันจะกัดเขา!
ผู้อาวุโสหลายคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นหนึ่งคนและหนึ่งสุนัขพูดคุยกัน
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตี้อู๋เปียนสามารถสื่อสารกับสัตว์และพืชได้จริงๆ พวกเขาจึงคิดว่าหายากนักที่จะได้เห็นด้านเด็กๆ แบบนี้จากตี้อู๋เปียน จึงรู้สึกตลกขบขันเล็กน้อย
“กลับกันเถอะ เตรียมตัวกินข้าวได้แล้ว”
ปกติในเวลาแบบนี้พวกเขาคงจะทานอาหารเย็นกันใกล้เสร็จแล้ว แต่เพราะวันนี้เป็นห่วงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทุกคนจึงไม่รู้สึกอยากอาหาร
ตอนนี้คนกลับมาแล้ว พวกเขาเลยรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
กลุ่มคนเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นของตึกหลัก ถุงลมน้อยวิ่งปรี่เข้ามากำลังคิดจะกระโดดเกาะขาพี่สาว แต่เมื่อเขาไม่เห็นมู่เถาเยา ใบหน้าเล็กๆ ของเขาก็ดูผิดหวังมาก
“เสี่ยวอันเหยี่ย พี่สาวของหนูไปทำธุระข้างนอก เธอกำลังออกไปรักษาใครสักคน เพราะฉะนั้นเธอจะไม่กลับมาจนกว่าจะดึก”
ถุงลมน้อยเบะปาก ดวงตามีหยดน้ำตารื้นขึ้นจางๆ
“โฮ่ง…”
มาสทิฟฟ์ตัวน้อยมีความสุขมากเมื่อได้เห็นเพื่อนในวัยเดียวกัน
ดวงตาของถุงลมน้อยเป็นประกายวาววาบ
แม้ว่าที่บ้านเองก็เลี้ยงสุนัขตัวใหญ่ไว้หลายตัว แต่พวกมันล้วนไม่น่ารักพอสำหรับถุงลมน้อย
“อาเล็กครับ อาเล็กซื้อเจ้าตัวเล็กให้อันเหยี่ยเหรอ”
แต่ก่อนที่ใครบางคนจะทันได้ตอบ คนตัวเล็กก็โผเข้าไปกอดเจ้ามาสทิฟฟ์ตัวน้อยแล้ว
“เปล่าซื้อ เป็นพี่สาวของเธอที่อุ้มมันกลับมาจากภูเขา” ตี้อู๋เปียนอุ้มหลานตัวน้อยของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขากอดสุนัข
ตอนนี้มันยังไม่ได้ถูกทำความสะอาด เลยดูสกปรกมาก!
“พี่สาวต้องเอาสุนัขมาให้อันเหยี่ยแน่ๆ” ดวงตากลมโตของถุงลมน้อยเป็นประกาย
“…” ใบหน้าอ้วนๆ นี่ช่างมั่นหน้าเสียเหลือเกินนะ
“อาเล็ก ปล่อยอันเหยี่ยลงหน่อย อันเหยี่ยอยากเล่นกับลูกหมาด้วย”
“อย่าเพิ่งเล่น ต้องพามันไปตรวจร่างกายกับอาบน้ำก่อน”
“ลูกหมาป่วยเหรอครับ” ถุงลมน้อยดูเป็นทุกข์มาก
“เปล่า แค่ป้องกันเอาไว้”
ตี้อู๋เปียนสั่งคนให้ช่วยพาสุนัขตัวน้อยออกไป
ย่าตี้ยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ เรามาทานอาหารเย็นกันก่อนเถอะ เสี่ยวอันเหยี่ยก็น่าจะหิวแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
ถุงลมน้อยจับมือย่าตี้แล้วพยักหน้า “ผมหิวแล้ว”
เนื่องจากมีคนหายไปจากโต๊ะอาหารเย็นหนึ่งคน ทุกคนจึงไม่ได้กินอะไรมากมาย
หลังอาหารเย็น ทุกคนไม่อยากออกไปเดินเล่น ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรอให้มู่เถาเยากลับบ้าน
สุนัขที่เก็บกลับมา กลับมาจากการตรวจร่างกายแล้ว มันนอนหมอบอยู่ที่เท้าของตี้อู๋เปียนและรอเจ้านายของมันกลับมาพร้อมกับทุกคนหลังกินอาหารจนอิ่มแล้ว และเห่าขณะที่มองไปที่ประตูเป็นครั้งคราว
สำหรับสาเหตุที่มันไม่เข้าไปนอนเล่นอยู่ใกล้ๆ ถุงลมน้อย เป็นเพราะถ้าหากมันถูกคนคนนี้หลอกจริงๆ มันจะได้กัดเขาได้สะดวกหน่อย!
ตี้อู๋เปียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หลังจากทักทายผู้อาวุโสสองสามคำ เขาก็อุ้มดอกฉยงฮวาและหิ้วถุงลมน้อยกับลูกสุนัขตัวน้อยออกไปเดินเล่น
เหตุผลหลักที่เขาพาเจ้าตัวน้อยๆ เหล่านี้ออกมาก็คือ เขาต้องการรู้เกี่ยวกับสถานการณ์บนภูเขา ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่พูดได้ชัดหรือยัง
หนึ่งคนตัวใหญ่ หนึ่งคนตัวเล็ก ลูกสุนัขและต้นไม้เดินเล่นอย่างสบายๆ อยู่ไม่ไกลจากประตู จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงบนม้านั่งที่สามารถมองเห็นได้จากบานหน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศสจากห้องนั่งเล่น
ถุงลมน้อยไถลตัวลงจากเก้าอี้และเดินอ้อมตี้อู๋เปียนไปหาเสี่ยวเฮยเฮยเพื่อนใหม่ของเขา
อืม หมาน้อยยังไม่มีชื่อ เพราะงั้นอันเหยี่ยจะตั้งให้!
เหตุผลแรกเป็นเพราะมันมีขนสีดำสนิททั้งตัวไม่มีสีอื่นแซมมาเลย เหตุผลที่สองคือมันสอดคล้องกับชื่อของเสี่ยวไป๋ไป๋
“อันเหยี่ย อย่าเพิ่งเล่นกับลูกหมา อาเล็กต้องการคุยกับมันสักพัก”
“อ้อ”
ถุงลมน้อยวิ่งกลับไปนั่งที่เดิมอย่างเชื่อฟังแม้ในใจจะไม่เต็มใจนักก็ตาม
ตี้อู๋เปียนลูบหัวเล็กๆ ของหลานชายเขา จากนั้นก็หันไปหาเสี่ยวเฮยเฮยและพูดว่า “หมาน้อย แกไปเจอกับซาลาเปาน้อยได้ยังไง”
หรือซาลาเปาน้อยทุบตีสุนัข เจ้าหมาน้อยแพ้ก็เลยต้องตามเธอกลับมาด้วย?
“โฮ่ง…โฮ่งโฮ่ง…” เจ้านายเอาของให้ผมกิน
ใช่แล้ว ไม่ผิด พอกินแล้วมันก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้อีกครั้ง!
ตี้อู๋เปียน “…”
โดนตกง่ายขนาดนี้เลย?
“เกิดอะไรขึ้นบนภูเขา ลุงจินขาหักได้ยังไง” ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาเลยไม่ได้ซักถามให้ละเอียด
แน่นอนเขารู้ว่าลุงจินคนนี้เป็นใคร
เพราะก่อนหน้านี้เพื่อค้นหาตัวตนของเสี่ยวฉยง เขาเลยได้นัดพบกับนักอนุกรมวิธานพืชหลายคน หนึ่งในนั้นก็มีชื่อของนักพฤกษศาสตร์ชื่อดังจินเฉิงเจียงอยู่ด้วย
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ในเวลานั้นจินเฉิงเจียงต้องเดินทางไปต่างประเทศพอดี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่เคยพบหน้ากัน แต่รูปถ่ายและชีวประวัติของจินเฉิงเจียงยังคงอยู่ในหัวของเขา
พอได้พบหน้ากันวันนี้ เขาถึงเพิ่งจำคนคนนี้ได้
“โฮ่ง…” เขาล้ม
“ล้มจนขาหัก? ล้มจากที่ไหน ล้มยังไง”
“โฮ่งโฮ่ง…” พูดอะไร? ผมไม่เข้าใจ!
ตี้อู๋เปียน “…”
ลืมมันไปซะเถอะ เขาจะคาดหวังให้เด็กสามขวบทำอะไรได้บ้าง
“เจ้านี่ แกเคยเห็นมันมาก่อนหรือเปล่า”
ตี้อู๋เปียนชี้ไปที่ดอกฉยงฮวาและถามลูกหมา
“โฮ่งโฮ่ง…โฮ่งโฮ่ง…” นี่มันคืออะไรเหรอ กินได้หรือเปล่า
เสี่ยวเฮยเฮยอ้าปากและทำท่ากำลังจะงับลงไป
เสี่ยวฉยงฮวากรีดร้องดังลั่น มันกลัวมากจนต้องเอนร่างที่เพรียวบางของมันไปทางตี้อู๋เปียน
“อย่ากินข้านะ!!!” ตี้อู๋เปียนผลักหัวลูกสุนัขออกไปอย่างรวดเร็ว
“โฮ่ง…” อ้อ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถถามอะไรจากเจ้าตัวเล็กได้เลย เลยปล่อยให้ถุงลมน้อยไปวิ่งเล่นกับมัน
สิบห้านาทีต่อมา หนึ่งคนตัวใหญ่ หนึ่งคนตัวเล็ก ลูกสุนัขและต้นไม้ก็กลับมาที่ห้องนั่งเล่น
ประมาณสามทุ่ม มู่เถาเยาก็กลับมา
คนในห้องลุกขึ้นจากโซฟาทันทีและปรี่เข้าไปล้อมเธอ
ถุงลมน้อยกระโดดเกาะต้นขาเธอไม่ยอมปล่อย!
รู้สึกดีจังเลย!
“พี่สาว…พี่สาว…พี่สาว…” เสียงเล็กๆ ติดงัวเงียร้องออดอ้อน
มู่เถาเยากอดเขาและจุ๊บเขาเบาๆ ด้วยความปวดใจ
ทันทีที่คนตัวเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธอได้ เขาก็หลับไปในเวลาไม่กี่วินาที
พี่เลี้ยงเข้ามาอุ้มเขากลับไปที่ห้อง
“เสี่ยวเถาเยา หนูเองก็คงเหนื่อยแล้วเหมือนกัน รีบขึ้นไปนอนพักเถอะจ้ะ พรุ่งนี้ไว้เราค่อยคุยกันใหม่” ย่าตี้รู้สึกสงสารมู่เถาเยามาก ตอนที่อยู่บนภูเขาเธอช่วยทั้งคนช่วยทั้งสุนัข แถมกลับลงมาแล้วยังต้องไปช่วยรักษาผู้ป่วยอีก
ย่าเย่ว์พูดอย่างเห็นด้วย “นั่นสิ เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ หลานควรไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าไปเข้าเรียน”
“ย่าคะ อีกหน่อยย่าเรียกหนูว่าเยาเยาเถอะค่ะ หนูชินแล้ว”
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบ แต่เธอไม่ใช่เย่ว์จืออิ๋ง ดังนั้นจึงไม่สะดวกใจเท่าไหร่หากจะใช้ชื่อของเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น แซ่ ‘มู่’ คือแซ่ของหมู่บ้านเถาหยวนซาน ไม่ใช่ ‘มู่’ ที่มาจากแผ่นดินจงโจว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อของเธอ
“ได้ๆๆ งั้นต่อจากนี้ไปย่าจะเรียกหลานว่าเสี่ยวเยาเยานะ” แน่นอนว่าย่าเย่ว์ย่อมไม่คัดค้าน
ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหลานสาวของเธอมีความสุข!