บทที่ 82 ไข่เค็มสรรเสริญ

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ฉินปู้เข่อและเจ้าของร่างเดิมไม่เคยพบกับซือต๋ามาก่อน แต่จากการติดต่อกับจานหานชิว ฉินปู้เข่อจึงจำได้ว่านางเคยกล่าวถึงซือต๋าให้เจ้าของร่างเดิมฟัง

เหตุผลนั้นง่ายมากก็คือว่าแม่สาวน้อยจานหานชิวชอบซือต๋า ซึ่งถึงขั้นที่ว่ามองเขาด้วยดวงตาอันเป็นประกาย

นั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดซือต๋าในคำบอกเล่าจากปากของจานหานชิวถึงแตกต่างจากที่นางเห็นอย่างนั้นหรือ?!

คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของชายทั้งสามในห้องพุ่งความสนใจมาที่นาง

ซือต๋าเหลือบมองหมี่โม่หรู่แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสะใภ้รู้จักข้าด้วยหรือ?”

“หม่อมฉันขอถามก่อนว่าในต้าเซี่ยมีซือต๋ากี่คน?”

นางได้ยินมาว่าซือต๋าเป็นหลานชายคนโตของสหายของฉีเหวินกง ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับและเป็นนายน้อยหนุ่มรูปงาม แต่ไม่ว่านางจะมองอย่างไรในตอนนี้ นางก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดียวกับที่จานหานชิวเล่าให้ฟัง

“หนึ่งเดียวในใต้หล้า”

ฉินปู้เข่อลูบหน้าผากตัวเอง คนสมัยก่อนไม่ได้หลอกลวงนาง ในสายตาของคู่รักนั้นย่อมมองว่าอีกฝ่ายดูดีเสมอ แม้จะไม่ใช่ไซซีพานอัน ร่วนอวี่และชายหนุ่มรูปงามคนอื่น ๆ ก็ตาม

“หม่อมฉันไม่ได้บอกว่าหม่อมฉันรู้จักกับท่าน แต่หม่อมฉันเคยได้ยินว่านายน้อยซือต๋าเป็นหลานชายของฉีเหวินกง และเป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง หม่อมฉันจึงประหลาดใจเล็กน้อยที่มีโอกาสได้พบท่านในวันนี้”

ซือต๋าเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาสะกิดหมี่โม่หรู่ด้วยข้อศอกแล้วแซวว่า “กิตติศัพท์ของข้าช่างลึกลับเสียจริง”

“ฮ่า ๆ” ฉินปู้เข่อขี้เกียจเกินกว่าจะมองซือต๋าอีกครั้ง

“ข้าคุยกับเจ้ามาตั้งนานแล้ว เจ้าโง่เขลาหรืออย่างไร?!” เมื่อเห็นว่าซือต๋าไม่ตอบเป็นเวลานานแล้ว หมี่ฉงจึงตะคอกใส่ซือต๋าอีกครั้ง

ซือต๋าหัวเราะเบา ๆ “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสนทนากับน้องสะใภ้ของข้าอยู่ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับน้องสะใภ้ ฉะนั้นข้าจึงต้องวางตัวให้ดี”

“วางตัวบิดาเจ้าน่ะสิ!”

……

ฉินปู้เข่อมองชายสองคนที่กำลังโต้เถียงและทะเลาะกันอยู่ต่อหน้านางแล้วกะพริบตา “พวกเขาทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเพคะ?!”

“ใช่” หมี่โม่หรู่มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา

ฉินปู้เข่อเม้มปากแล้วส่ายหัว “เริ่มต้นพูดคุยอย่างสันติดีกว่า มันน่าเบื่อที่จะต้องมาทะเลาะกันเช่นนี้ พวกเขาไม่ปรองดองกันเลย”

พูดราวกับว่าการทะเลาะเบาะแว้งไม่ต่างจากความรัก

“เพียงแค่ชินกับมัน พวกเขาจะหยุดเมื่อพวกเขาเหนื่อยที่จะโต้เถียง”

เมื่อเห็นว่าฉินปู้เข่อยังคงทุบปูขนอยู่ หมี่โม่หรู่ก็เอื้อมมือออกไปหยิบค้อนขนาดเล็กในมือของนาง “ปูขนมีฤทธิ์เย็นและชื้น แม้ว่ามันจะอร่อยแต่ก็ควรกินให้น้อยลงและกินอย่างอื่นด้วย”

“โอ้” ฉินปู้เข่อเม้มปากและขยี้หู ชายร่างใหญ่สองคนดุด่ากันราวกับสตรีปากร้าย มันช่างระคายหูเสียจริง

ไม่ใช่แค่พูดประโยคเดียวหรอกหรือ เพียงแค่พูดกันเบา ๆ หนึ่งหรือสองคำให้กันและกันก็จบ ไม่ต้องเพิ่มคำหยาบเข้าไป

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ฉินปู้เข่อก็ก้มศีรษะลงกลอกตาแล้วเอียงศีรษะ “หม่อมฉันอยากกินไข่เค็ม ขอสั่งไข่เค็มอีกฟองได้หรือไม่เพคะ”

“ได้เลย”

จานไข่เค็มหนึ่งจานถูกยกมา ฉินปู้เข่อแอบเพิ่มไข่เค็มจากระบบอีกสองฟองอย่างเงียบเชียบ

คราวที่แล้วเพราะนางไม่ได้สั่งหน่อไม้วสันตฤดูและหยิบหน่อไม้วสันตฤดูจานหนึ่งออกมาจากระบบ ทำให้หมี่โม่หรู่ผู้รอบคอบสังเกตพบพิรุธ แต่คราวนี้มีไข่เค็มวางอยู่บนโต๊ะ ดังนั้นหมี่โม่หรู่จึงไม่อาจจับพิรุธได้

“ว้าว เถ้าแก่ซือ ไข่เค็มที่นี่เลิศรสนัก ท่านทั้งสองต้องการพักกินไข่เค็มสักหน่อยเพื่อเพิ่มพลัง แล้วค่อยทะเลาะกันต่อหรือไม่เพคะ?!”

ฉินปู้เข่อปอกไข่เค็มกินเอง จากนั้นจึงหยิบไข่เค็มขึ้นมาสองฟองแล้วโยนไปให้หมี่ฉงและซือต๋า

เดิมทีทั้งสองคนไม่ได้ตั้งใจจะกิน แต่อาหารอยู่ในมือแล้ว ดังนั้นหากไม่กินก็คงจะดูไม่ดีนัก

ซือต๋านั่งลงอย่างโกรธเคืองและจิบชา ก่อนจะปอกไข่ในมือแล้วกัดเข้าไป เอ๊ะ?! วันนี้ไข่น่าจะอร่อยกว่าปกตินะ แม่ครัวที่รับผิดชอบดองไข่เค็มเปลี่ยนสูตรหรือ?

หลังจากกินเข้าไปชั่วอึดใจเดียวซือต๋าก็ดื่มชาอีกครั้ง และพร้อมเริ่มการด่าทอหมี่ฉงในครึ่งหลัง เขาไม่ได้เจอชายผู้นี้มาครึ่งปีแล้วและฝีปากของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก เขาจึงเถียงทุกประโยคได้อย่างสมบูรณ์แบบ

การไม่ได้เห็นสีหน้าห่อเหี่ยวของหมี่ฉงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด

ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้น หมี่ฉงรู้สึกชุ่มคอแล้วก็เริ่มเปิดศึกครึ่งหลังก่อน “ซือต๋า เจ้าโตมาโดยกินอะไรเป็นอาหาร ปากของเจ้าช่างอ่อนหวานยิ่งนัก ทุกถ้อยคำของเจ้าตราตรึงในหัวใจของผู้อื่น”

อ่า หมี่ฉงหน้าบึ้งอย่างโกรธจัด เดิมทีเขาต้องการจะพูดว่า “ปากเจ้าเหม็นนัก ทุกประโยคช่างน่าขยะแขยงจนถึงตายได้” แต่เหตุใดจู่ ๆ คำพูดก็เปลี่ยนไป

“เจ้ามอดข้าว! ทุกครั้งที่เจ้ามาที่นี่ก็แทบจะไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารตลอด เจ้าช่างเป็นคนขยัน มัธยัสถ์ อดทนและเรียบง่ายเสียจริง” หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว ซือต๋าก็เบิกตากว้างแล้วปิดปากตัวเอง

เดิมทีเขาต้องการจะบอกว่าหมี่ฉงเป็นคนจน แต่เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงพูดออกมาเช่นนี้

ไม่สิ ตั้งแต่เด็กจนโตเขาสามารถเอาชนะหมี่ฉงได้เสมอ คราวนี้เขาจะพ่ายแพ้ได้อย่างไร!

ลองอีกครั้ง!

“หมี่ฉง เจ้าไปทำอะไรกับหมี่โม่หรู่อยู่ทุกวัน? เจ้าตามติดเขาตั้งแต่เขายังไม่ได้แต่งงาน และบัดนี้เจ้าก็ยังอยู่กับเขาแม้ว่าเขาจะแต่งงานแล้ว! จริงหรือไม่ที่ว่าเจ้าเป็นห่วงสุขภาพของหมี่โม่หรู่และต้องการไปดูแลเขาทุกที่ทุกเวลา…”

ซือต๋าตกใจอีกครั้ง เขากำลังพูดถึงอะไรอยู่

“เจ้าเคยบอกกับข้าว่าเจ้าไม่ได้กลับบ้านทั้งวัน เจ้าคิดว่าร้านหมิงเทาเยี่ยนเป็นบ้านของเจ้า และยังทุ่มเทดูแลกิจการของเจ้าทุกวันโดยไม่กินหรือนอน…”

หมี่ฉงกัดลิ้นตัวเองอีกครั้ง เหตุใดสิ่งที่เขาคิดจึงแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาพูด และมันกลับกลายเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ด้วยวิธีนี้ ทั้งสองจึงแสดงความห่วงใยกันและกันด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัดและรุนแรงอย่างยิ่ง

หมี่โม่หรู่ฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง และเหลือบมองฉินปู้เข่อที่กำลังรับประทานอาหารอย่างเพลิดเพลินและยกยิ้มมุมปาก

นี่เป็นฝีมือของพระชายาตัวน้อยของข้าอีกแล้วหรือ?!

ครั้งล่าสุดหมี่เซวียนและหมี่ฉงก็กอดกันร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล

เมื่อทั้งสองสรรเสริญกันและกันต่อหน้าพวกเขาจนหมดคำจะพูดแล้ว และอ้าปากค้างอยู่ที่โต๊ะ ในที่สุดฉินปู้เข่อก็วางตะเกียบและลูบท้องของตน

อิ่มจังเลย

ไม่น่าแปลกใจที่มีละครเกี่ยวกับอาหารมากมายในแอป B ปรากฏว่าการได้ยินคำสบถในขณะรับประทานอาหารส่งผลต่อความอยากอาหารของคนได้จริง ๆ

ไข่เค็มสรรเสริญเป็นสิ่งที่สมชื่อจริง ๆ มันสามารถทำให้คนสรรเสริญคนอื่นโดยไม่สมัครใจได้

เมื่อทั้งสองกล่าวชมเชยกันและกันด้วยท่าทีที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกเขาก็จะจบการแสดงละครพูดตลกอย่างสมบูรณ์

ช่างดีนัก อาหารรสเลิศนัก

“พี่ชายสาม เถ้าแก่ซือ พวกท่านทั้งสองเรียบร้อยหรือยังเพคะ”

ซือต๋าโบกมืออย่างอ่อนแรงแล้วหยิบลูกคิดสีทองขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ “มา ข้าจะคิดเงินให้ เจ้ามอดข้าว”

“ข้าชื่อหมี่ฉง ไม่ใช่ ‘มอด’!” หมี่ฉงเปิดปากตอบโต้ การต่อสู้ครั้งนี้เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” ซือต๋าดีดลูกคิด “ข้าบอกแล้วว่าจะให้ส่วนลดร้อยละสิบแก่เจ้า นี่แหละคือราคา”

“เอ้านี่ หยุดพูดคำเดิม ๆ ที่น่าขยะแขยงเหล่านั้นเสีย”

ซือต๋าหยิบตั๋วเงินแล้วลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะเก็บเงิน ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตูห้องก็มีเสียงแปลกใจและเขินอายดังขึ้นจากสตรีผู้หนึ่ง

“ซือ นายน้อยซือ” ดวงตาสีเข้มของจานหานชิวเป็นประกาย นางไม่คิดว่าจะพบเขาที่นี่

ซือต๋าเหลือบมองนางแล้วพูดอย่างสุภาพ “แม่นางจาน”

“ข้ามาที่นี่กับพี่สาวและน้องชายของข้าเจ้าค่ะ” จานหานชิวอดไม่ได้ที่จะพูดอีกสองสามคำกับคนที่นางชอบ

“วันนี้แม่นางจานดูมีเสน่ห์และงดงามเสียจนยากจะลืมเลือน”

หากสตรีธรรมดาได้ยินคำเหล่านี้ก็คงจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายมักมากบ้าตัณหา แต่การได้ยินคำชมเชยจากคนที่รักเช่นนี้ก็กลายเป็นอีกความหมายหนึ่ง

แก้มของจานหานชิวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นนางก็ก้มศีรษะลงอย่างเขินอายและขวยเขิน “ขอบคุณนายน้อยซือสำหรับคำชมของท่านเจ้าค่ะ”

“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าหมายถึง…” เมื่อเห็นว่าจานหานชิวเข้าใจผิด ซือต๋าจึงรีบอธิบาย แต่บัดนี้เขาควบคุมปากไม่ได้ และเขาแค่อยากจะชมเชยผู้อื่นเมื่อมองดูพวกเขา

“หมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ?” จานหานชิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองเขาด้วยความรัก

………………………………………………………………………