บทที่ 47 ช่างหลอกลวงเสียจริง!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 47 ช่างหลอกลวงเสียจริง!

ไป๋ชิวหรานเจ็บปวดอยู่ในใจเสมอ

ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณระดับหกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบสี่… ไม่สิ ระดับหกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบห้า แม้หลังจากผ่านไปสามพันปีพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อชดเชยจุดอ่อนทั้งหมด ทว่าก็ยังคงมีอีกหลายแง่มุมที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้

หนึ่งในนั้นคือพลังปราณแก่นแท้ กระแสพลังลมปราณในร่างไป๋ชิวหรานใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทนแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าลมปราณดังกล่าวมีปริมาณมากเพียงใด แต่เป้าหมายยังห่างไกลจากการเติมเต็มห้วงมหาสมุทรแห่งลมปราณทั้งหมดได้ ดังนั้น การใช้ขีดจำกัดของกระแสลมปราณเพื่อบีบอัดพลังปราณจึงกลายเป็นความหวังสุดท้าย

หากไร้ซึ่งพลังปราณแก่นแท้ เขาก็ไม่สามารถแสดงกระบวนท่าทางพื้นฐานสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปได้ เช่น เหาะเหินด้วยการเหยียบกระบี่บิน หรือแม้แต่การร่ายเวทคาถา

แม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะชดเชยได้โดยการปิดผนึก แต่สุดท้ายแล้วการปิดผนึกก็สามารถชดเชยได้เพียงเคล็ดวิชาหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันเท่านั้น อีกทั้งห้วงมหาสมุทรแห่งลมปราณก็ไม่มีที่สิ้นสุด บางเคล็ดวิชาจึงจำต้องใช้พลังปราณแก่นแท้ เพื่อโคจรลมปราณจากธาตุบางอย่างในเวลาเดียวกัน แม้ปรารถนาจะใช้เคล็ดวิชาเหล่านั้น แต่ไป๋ชิวหรานก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากเฝ้ามองด้วยความแห้งเหี่ยว

การเหาะเหินเดินอากาศด้วยกระบี่บินยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำให้ไป๋ชิวหรานเจ็บปวดทรมานไปตลอดกาล หลายปีก่อนสมัยที่อาจารย์เขายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่ชอบทำมากที่สุดคือการพาศิษย์น้องออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนัก ซึ่งเวลาเดียวกันนี้ไป๋ชิวหรานก็ได้แต่ยืนอยู่บนยอดเขา จ้องมองอย่างอิจฉาริษยา

ดังนั้น หลังจากได้ยินอีกฝ่ายพูดพล่ามว่า ‘เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณ จะมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?’ โทสะจึงปะทุขึ้นด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานยังพยายามอดทนอดกลั้นต่ออาจารย์และผองศิษย์สำนักไป่เยว่

“ทางที่ดีท่านอย่ารีบร้อนลงมือไปเลยดีกว่า ข้าพูดความจริง… หากไม่แล้วจะต้องเสียใจ”

“เหอะ สหายน้อย เจ้าใช้กลวิธีหลอกลวงเช่นนี้ ข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว”

ผู้ฝึกตนชราที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำโบกมือ

“อย่ากล่าวถึงเรื่องอื่นเลย หากปล่อยกระบี่บินออกมาได้ ข้าจะถือเสียว่าเจ้าเป็นฝ่ายชนะ”

ใบหน้าของไป๋ชิวหรานยิ่งทรุดลงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าขบขันจะตายอยู่แล้ว”

บรรดาศิษย์สำนักไป่เยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้ฝึกตนชรา ต่างชี้ไปยังไป๋ชิวหราน ก่อนจะหัวร่องอหงายด้วยความขบขันเสียเต็มประดา

“แม้แต่กระบี่บินยังปล่อยออกมาไม่ได้ เจ้านี่ช่างหลอกลวงกันเสียจริง! ศิษย์พี่ศิษย์น้อง มาเถอะ… มาร่วมกันสั่งสอนน้องชายขั้นกลั่นลมปราณผู้นี้ดูเสียให้เต็มตา ว่าแท้จริงแล้วกระบี่บินเป็นอย่างไร?!”

ศิษย์สำนักไป่เยว่เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้น พวกเขาพลันปล่อยกระบี่บินออกมา แต่ละเล่มสีสันสดใส บางคนถึงกับควบคุมกระบี่บิน โดยจงใจให้ลอยฉวัดเฉวียนไปมาตรงปลายจมูกไป๋ชิวหรานเพื่อยั่วโทสะ

“รังแกกันเกินไปแล้ว! ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานกลุ่มนี้ร่วมหัวกันกลั่นแกล้งข้าที่บรรลุเพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น โลกนี้ยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่หรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานก้มหน้าลง สีหน้าดำคล้ำไม่ต่างจากน้ำหมึก ทันใดนั้น กลับเงยหน้าขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มอันแสนเย็นชาให้กับศิษย์สำนักไป่เยว่

“ฮึ่ม! ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไรว่าปล่อยกระบี่บินไม่ได้?! อย่าชะล่าใจกันไปหน่อยเลย!”

มือของเขาสะบัดไปด้านข้าง ขณะหยิบเชือกเซียนที่หลอมขึ้นจากเส้นเอ็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ออกมาจากถุงเก็บสมบัติ

“ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นตอนนี้ ว่าข้า… ไป๋ชิวหรานก็มีกระบี่อยู่ในมือเช่นเดียวกัน!”

ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นพร้อมกับเชือกเซียนที่สะบัดลอยออกไป ก่อนกระหวัดรัดพันรอบรูปปั้นหินฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งติ่งกั๋วซึ่งถือกระบี่ขนาดใหญ่ ความยาวประมาณห้าถึงสิบจั้งไว้ในมือ ก่อนออกแรงดึงเชือกจนฝ่ามือของรูปปั้นองค์ฮ่องเต้ติ่งกั๋วข้างที่ถือกระบี่ แตกออกเป็นเสี่ยง กระบี่ศิลาเล่มใหญ่ถูกเขาคว้ามาไว้ในครอบครองทันที จากนั้นจึงสะบัดเหวี่ยงไปกลางอากาศด้วยกระแสลมแรง กระทั่งเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“แม่เจ้าโว้ย!”

สีหน้าศิษย์สำนักไป่เยว่แปรเปลี่ยนไปจากเดิมทันควัน แม้แต่ผู้อาวุโสซึ่งบรรลุขอบเขตแกนทองคำก็ยังเผยสีหน้าซีดเผือด

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำ เขาสามารถใช้พลังทั้งหมดในการถล่มภูเขาให้กลายเป็นหุบเหวได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ด้วยพละกำลังทางกายภาพเพียงอย่างเดียวของไป๋ชิวหราน การดึงกระบี่ศิลาน้ำหนักมหาศาล ทั้งยังมีความยาวมากกว่ารอบเอวคนสองคนรวมกันให้กวัดแกว่งไปมาบนท้องฟ้าได้ อีกทั้งยังสะบัดฉวัดเฉวียนราวกับแส้ แม้แต่เขาเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน

“สหายน้อย… ไม่… สหาย!”

ผู้อาวุโสที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำรีบยกมือขึ้นห้ามปรามทันที

“โปรดใจเย็นลงก่อน!”

“ระงับโทสะเสียเถิด!”

ไป๋ชิวหรานถ่ายเทพลังปราณออกมาจากร่างก่อนบังคับให้ไหลผ่านเข้าไปในกระบี่ศิลา ทันใดนั้น กระบี่ศิลาพลันเปล่งแสงเรืองรองอันทรงพลังออกมา เขาเปล่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ก่อนดึงกระบี่ศิลาอีกครั้งให้ฟาดลงใส่ลำตัวศิษย์สำนักไป่เยว่

“สิ่งที่ข้ารำคาญใจอย่างที่สุด คือการที่ผู้คนปล่อยกระบี่บินออกมาต่อหน้าต่อตา! กระบี่จงพุ่งลงมาซะ!”

กระบี่ศิลาลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศก่อนจะพุ่งข้ามเวหามาด้วยความเร็วสูง ใบกระบี่ซึ่งมีพลังปราณไหลเวียนพลุ่งพล่านดูแข็งแกร่งและมีน้ำหนักมากไม่ต่างไปจากกำแพงหิน มันพุ่งเข้ากดทับบรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักไป่เยว่ ศิษย์สำนักไป่เยว่ต่างหวาดกลัวเสียจนทำอะไรไม่ถูก มีเพียงผู้อาวุโสที่บรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำที่ยังครองสติไว้ได้ เขาร่ายเวทคาถาไม่กี่ครั้ง ทั่วทั้งกายพลันเปล่งแสงสีทองออกมา สองฝ่ามือยกขึ้นดันกระบี่ศิลาเพื่อออกแรงต้านไว้

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำก็ยังไม่อาจทำลายความแข็งแกร่งของกระบี่ศิลาที่มีพลังปราณแก่นแท้ไหลเวียนอยู่อย่างเต็มเปี่ยมได้ เขาถูกปราณจิตสังหารสำแดงฤทธิ์เดช ผู้อาวุโสจึงถูกกระบี่ศิลากดทับลงบนลำตัวโดยแรงจนถึงขั้นกระอักโลหิตออกมา กระบี่ศิลาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่บรรดาศิษย์สำนักไป่เยว่

เสียงระเบิดดังกึกก้องขั้นอีกครั้ง พร้อมกับรอยแตกลึกที่เกิดจากกระบี่ศิลา ซึ่งปรากฏขึ้นตรงบริเวณใกล้เคียงรูปปั้นหินฮ่องเต้องค์ก่อน ศิษย์สำนักไป่เยว่ต่างกระอักโลหิตออกมาเช่นเดียวกับอาจารย์ของพวกเขา เพราะหลีกไม่พ้นการถูกทุบตีจนกระเด็นออกห่างไป

อย่างไรก็ตามยังไม่ถึงแก่ความตายแต่อย่างใด เพียงได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดคณานับ

“เป็นอะไรไป? กระบี่บินเจ้าเหนือกว่าข้าเสียอีกมิใช่รึ?!”

เมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็ได้แต่แค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะสะบัดเชือกเซียนในมืออีกครั้งเพื่อเก็บกระบี่ศิลากลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิมได้อย่างแม่นยำ

ณ ส่วนลึกภายในป่าทึบของภูเขาติ่งเจียง จั่วเหยียนเฟยใช้เคล็ดวิชาควบคู่ไปกับการใช้กระบวนเท้าที่ถูกฝึกปรือมาจากกองทัพเทพยุทธ์ ร่วมกับความคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศของป่าเขาโดยรอบ นางวิ่งผ่านป่าทึบอย่างต่อเนื่อง บางครั้งยังฉวยโอกาสโจมตีเผยชานกับเผยต้าวที่วิ่งติดตามมาด้านหลัง

ทางฝั่งเผยชานกับเผยต้าวโกรธเคืองการกระทำของจั่วเหยียนเฟยเสียจนไม่ได้สังเกตเลยว่าด้วยกระบวนเท้าและสภาพภูมิประเทศที่อีกฝ่ายมีความคุ้นเคยกว่า ทำให้นางสามารถสลัดพวกเขาออกไปได้ ก่อนจะหลบลี้หนีหายไปอย่างสมบูรณ์

พวกเขาไล่ตามจั่วเหยียนเฟยไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงหุบเขาลึกที่มีขนาดแคบเพียงหนึ่งคนสัญจรผ่านได้เท่านั้น

จั่วเหยียนเฟยพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว เผยชานและเผยต้าวต่างติดตามไปอย่างไม่นึกลังเลเช่นกัน แต่ระหว่างทางกลับเห็นว่าจั่วเหยียนเฟยชะลอฝีเท้าลง…

“ไม่หนีต่อแล้วหรือ พลังปราณแก่นแท้เจ้าสิ้นสุดเพียงเท่านี้รึ?”

เผยต้าวยิ้มเยาะพลางกำหมัดแน่น

“ตามจับเจ้าให้ยอมพ่ายแพ้โดยละม่อม… แม้ว่าศิษย์พี่เผยชิงจะกล่าวเช่นนั้น แต่แม่นางน้อยเช่นเจ้าก็ทรมานพวกเรามานานทีเดียว หากไม่เอาคืนเสียบ้างก็คงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก”

“แม่นางผู้นี้อดทนต่อความเจ็บปวดของผิวหนังและโลหิตเพียงชั่วขณะก็บรรลุระดับการฝึกตนไปอีกขึ้นหนึ่งแล้ว… ทว่าพวกเราต่างเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับกลาง ส่วนผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับปลาย สองคนกลับต่อสู้กับเจ้าที่บรรลุเพียงขั้นสร้างรากฐานระดับต้น ซ้ำเรายังมีความสามารถในการควบคุมพลังมากกว่ายิ่งนัก ต่อให้เป็นศิษย์กองทัพเทพยุทธ์ ก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะพวกเราได้”

เผยชานเองเกลี้ยกล่อมนางเช่นกัน

“วางใจเถิด ถึงอย่างไรจะไม่ทำให้ชีวิตของเจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย และจะไม่ทำให้ความบริสุทธิ์ของแม่นางต้องเสื่อมเสีย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายจุดทีเดียวที่พวกเจ้ายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับกองทัพเทพยุทธ์อย่างถ่องแท้”

จั่วเหยียนเฟยก้าวเท้าออกไป หอกสั้นสองเล่มในมือแปรสภาพกลายเป็นหอกยาว

“ตัวอย่างเช่น… ศิษย์กองทัพเทพยุทธ์ของเรา สามารถต้านทานสภาวะธาตุ และสามารถเอาชนะศัตรูได้แม้ต้องเผชิญหน้าในอัตราหนึ่งต่อสอง!”

หลังจากกล่าวจบ นางก็รวบรวมพลังปราณแก่นแท้ ก่อนจะเรียกใช้เคล็ดวิชาลับของกองทัพเทพยุทธ์ในทันที

ในฐานะที่เป็นศิษย์กองทัพเทพยุทธ์ ซึ่งเน้นการปลูกฝังศิษย์ให้เป็นนักรบเป็นหลัก สิ่งที่ถนัดที่สุดไม่เพียงแต่การใช้อาวุธกับการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการต่อสู้ในลักษณะพิเศษอื่นที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งกล้าหาญ ในฐานะนักรบ… เมื่ออยู่ท่ามกลางสนามรบแล้ว ต่อให้ต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าหลายเท่า แต่นักรบที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแม้จวนตัวถึงขั้นสละชีพต้องลากศัตรูให้ลงสู่ขุมนรกไปพร้อมกัน…

ด้วยแนวคิดนี้ เหล่าเสนาธิการกองทัพเทพยุทธ์จึงคิดค้นเคล็ดวิชาลับขึ้นมา ผู้ที่ใช้วิชาลับนี้ เมื่อใช้กระบวนท่ากองทัพเทพยุทธ์จะได้รับพลังส่งเสริม ยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักเพียงใด พลังที่ปลดปล่อยออกมาก็จะยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเมื่อบาดเจ็บหนักถึงขั้นหนึ่ง เคล็ดวิชานี้จะกระตุ้นพลังปราณแก่นแท้ออกมาเพื่อซ่อมแซมร่างกายของผู้เรียกใช้เคล็ดวิชาด้วยตัวของมันเอง ทำให้ผู้ฝึกตนสู้กับศัตรูได้อย่างต่อเนื่องยาวนานยิ่งขึ้น

ผู้ฝึกตนระดับสูงของกองทัพเทพยุทธ์ที่อยู่กลางสนามรบ ในฐานะที่เสียเปรียบต่อศัตรู กลับมีความแข็งแกร่งอย่างมหาศาลราวเครื่องจักรสังหารที่เอาชนะศัตรูในอัตราหนึ่งต่อหนึ่งร้อย เคล็ดวิชาที่ขุนพลเทพยุทธ์ผู้นี้ใช้จึงกลายเป็นเคล็ดวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง มีชื่อเรียกว่า…

‘นาวาล่มสลาย!’

จั่วเหยียนเฟยคำรามเสียงต่ำ เคล็ดวิชาลับถูกเรียกใช้แล้ว ภายใต้การกระตุ้นพลังลมปราณภายในร่าง เลือดลมภายในพลันเดือดพล่าน!

“คิดผิดแล้วล่ะ ข้าล่อพวกเจ้ามาที่นี่ ไม่ใช่เพราะหมดแรงหรือต้องการอ้อนวอนขอความเมตตาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ…”

หอกเงินในมือนางพลิกหมุนตลบราวกับเรือนกายของมังกรเงิน ขุนพลหญิงมีท่าทางองอาจห้าวหาญ ถือมันไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกมือหนึ่งชี้ไปยังเผยชานกับเผยต้าวก่อนกล่าวต่อว่า

“เป็นเพราะข้าอยากเอาชนะพวกเจ้าเสียที่นี่ พลิกสถานการณ์เลวร้ายกลับกลายเป็นดีให้จงได้!”