บทที่ 90 องค์ชายเองก็ท่องออกมาเถิด

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 90 องค์ชายเองก็ท่องออกมาเถิด

บทที่ 90 องค์ชายเองก็ท่องออกมาเถิด

เสี่ยวเป่าขยับขาสั้น ๆ วิ่งไปหาท่านพ่อ ดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับเต็มไปด้วยดวงดาราอยู่ภายในนั้น

  

“ท่านพ่อออ!”

  

เสียงของเจ้าก้อนแป้งดังกังวานชัดเจน

  

เพราะตื่นเต้นเกินไปทำให้นางวิ่งเข้าไปด้านในโดยตรง จากนั้นจึงค่อย ๆ พบว่าท่านพ่อดูเหมือนกำลังจะยุ่งอยู่?

  

“องค์หญิงเก้า”

  

เหล่าขุนนางเฒ่ายกยิ้มบนใบหน้า ไม่กล่าวโทษหรือเอ่ยตำหนิ อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก และทุกครั้งก็ไม่เคยเห็นฝ่าบาทตำหนิต่อว่าอะไรองค์หญิงเก้า

  

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดรักใคร่เอ็นดูองค์หญิงถึงเพียงนี้!

เจ้าก้อนแป้งที่ลิงโลดเปลี่ยนมาเป็นนิ่งสงบและว่าง่ายในพริบตา

  

“เสด็จพ่อเพคะ”

  

นางเอ่ยขึ้นมาเสียงอ่อน

  

ความจริงแล้ว หากเป็นการปรึกษาหารือเรื่องสำคัญ หนานกงสือเยวียนจะสั่งให้ฝูไห่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อเสี่ยวเป่ามาก็จะถูกเกลี้ยกล่อมให้ไปรอยังห้องด้านข้าง

  

สำหรับการปรึกษาหารือในครั้งนี้ไม่ได้สำคัญอันใด เสี่ยวเป่าจะเข้ามารบกวนก็ไม่เป็นไร

  

อย่างเช่นยามนี้ เป็นเหล่าขุนนางเฒ่ากลุ่มหนึ่งที่กังวลใจกับเรื่องการแต่งงานของเขาและบุตรชายของเขา

  

พวกเขายังไม่ยอมแพ้ แม้องค์ชายรองจะเดินทางไปถึงเมืองหน้าด่านแล้ว แต่การแต่งงานขององค์ชายล้วนมีฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน เพียงแค่ฮ่องเต้พยักหน้าตกลง ตำแหน่งของพระชายาขององค์ชายก็จะถูกตัดสิน

  

ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัวกันเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้เห็นชอบ

  

หนานกงสือเยวียนรู้สึกว่าคนเหล่านี้ไม่มีเรื่องอะไรจะทำ เอาแต่หาความยุ่งยากมาให้ ใต้หล้ามีเรื่องมากมายกลับไม่สนใจ นอกเสียจากจับจ้องมาทางหลังบ้านของเขาและพระโอรส

  

“เสี่ยวเป่ามานี่”

  

เสี่ยวเป่าวิ่งดุ๊กดิ๊กพร้อมหิ้วตะกร้าใบเล็กเข้าไปหา

  

“เสด็จพ่อ เฉ่าเหมยของเสี่ยวเป่าสุกแล้ว เสี่ยวเป่าจะมอบผลที่ใหญ่สุดให้กับท่าน!”

  

นางตั้งใจเลือกผลที่ใหญ่และน่าอร่อยที่สุดเอาไว้ให้ท่านพ่อโดยเฉพาะ

  

หนานกงสือเยวียนย่อมรู้เรื่องเฉาเหม่ยของเสี่ยวเป่า ทว่าเขาก็ไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเองมาก่อน

  

ตอนนั้นเอง ดวงตาของทุกคนต่างถูกผลไม้สีแดงดึงดูดไว้

  

“สุกแล้ว?”

  

หนานกงสือเยวียนหยิบผลไม้สีแดงที่เสี่ยวเป่ายื่นให้ ผลของมันค่อนข้างใหญ่ ใหญ่กว่ากำปั้นของเด็กน้อย กลิ่นหอมลอยโชยออกมาเตะจมูก มันเป็นกลิ่นที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

  

“เสด็จพ่อเสวยเถิดเพคะ เสี่ยวเป่าจะไปหาพวกท่านพี่ก่อน”

  

พูดจบแล้ว นางก็รีบจากไปพร้อมกับตะกร้าใบเล็ก เฉ่าเหมยมีอยู่เพียงไม่กี่ลูกจึงไม่สามารถแจกจ่ายให้คนอื่นได้ อีกอย่างพวกท่านพี่ยังไม่ได้ลองกินเลย

  

เสี่ยวเป่าวิ่งดุ๊กดิ๊กด้วยขาสั้นป้อมออกไปแล้ว เหล่าขุนนางชราก็ยังคงจับจ้องไปทางสิ่งที่อยู่ในมือของฮ่องเต้

  

ขุนนางชราผู้หนึ่งลูบเคราของตนเอง “ฝ่าบาท เฉ่าเหมยคือสิ่งใดกัน เหตุใดกระหม่อมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”

  

คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นพ้อง

  

หนานกงสือเยวียนกล่าวว่า “เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่องค์หญิงเก้าปลูกขึ้นมาเอง”

  

แม้จะพูดออกมาอย่างสบาย ๆ แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความโอ้อวด

  

“เฉ่าเหมยที่องค์หญิงเก้าปลูกเพิ่งจะสุก ดังนั้นจึงไม่อาจแจกจ่ายให้ทุกท่านได้”

  

เหล่าขุนนางต่างพยักหน้าอย่างสุภาพ ทว่ากลิ่นของเฉ่าเหมยก็ชวนให้น้ำลายสอจริง ๆ

  

“สำหรับเรื่องอื่นค่อยว่ากันภายหลัง”

  

รอจนกว่าเขาจะไปถามบุตรชายคนโตว่าต้องการมีครอบครัวแล้วหรือไม่

  

เหล่าขุนนางต่างหน้านิ่วคิ้วขมวด ฮ่องเต้ไม่ได้กระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานเลยแม้แต่น้อย วังหลังเองก็มีพระสนมอยู่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนนี้บุตรชายก็ยังไม่ได้แต่งงานเลยสักคน ที่สำคัญสุดคือผู้เป็นบิดาไม่ได้ใส่ใจจะหาลูกสะใภ้เลยสักนิด!

  

ฮ่องเต้พระองค์นี้ นอกจากงานกับพระธิดาแล้ว เหล่าพระโอรสไม่ได้อยู่ในสายพระเนตรของเขาเลยหรืออย่างไร?!!

  

เสี่ยวเป่านำเฉ่าเหมยที่เหลืออยู่ไปยังห้องหนังสือ

  

ยามนี้อยู่ในช่วงเวลาเรียน เสี่ยวเป่าไม่ได้เข้าไปรบกวนเหล่าพี่ชาย จึงทำเพียงนั่งรออยู่บนหินก้อนหนึ่งด้านนอกห้องหนังสือ วางตะกร้าลงด้านข้าง ก่อนจะหยิบเฉ่าเหมยลูกใหญ่ออกมาส่งให้เสี่ยวไป๋ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็วางอีกหนึ่งลูกบนก้อนหินที่ดูสะอาดให้ผึ้งได้กิน

  

นางหยิบเฉ่าเหมยขึ้นมาให้ตัวเองหนึ่งลูก ก่อนอ้าปากงับลงไป เมื่อเข้าปากแล้ว มือสองข้างก็พลันยกมือขึ้นประคองใบหน้าที่กำลังแสดงออกถึงความพึงพอใจ

  

อร่อยเกินไปแล้ว!

  

ดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ

เสี่ยวไป๋เองก็มีสีหน้าไม่ต่างไปจากนาง หางน้อย ๆ กระดิกไปมา

  

แม้ว่าจะไม่อาจเห็นสีหน้าของผึ้ง แต่มันก็ส่งเสียงหึ่ง ๆ บินโลดเต้นรอบเฉ่าเหมยผลใหญ่

  

ระหว่างที่เจ้าตัวน้อยทั้งสามกำลังพึงพอใจ กลิ่นหอมกรุ่นก็ถูกสายลมพัดพาเข้าไปยังหน้าต่างของห้องหนังสือ

  

หนานกงฉีจวินที่กำลังนั่งหลับน้ำลายไหลอยู่หลังห้องทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นเย้ายวนใจทำให้เขาค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาจากนิทรา

  

อาจารย์ที่อยู่บนแท่นส่ายหัวไปอ่านหนังสือไป ชวนให้คนที่อยู่ด้านล่างง่วงงุน

  

หนานกงฉีจวินที่ตื่นขึ้นมาแล้วสูดปากตนเอง ก่อนจะสะกิดหลังหนานกงฉีรุ่ยแล้วกระซิบเสียงเบา

  

“เหตุใดข้าจึงได้กลิ่นหอมน่ากิน?”

  

หนานกงฉีรุ่ยไม่ได้หันกลับมา “ฝันหวานหรือไง”

  

หนานกงฉีจวินขยับจมูกฟุดฟิด “ไม่ใช่ เจ้าลองดมดูดี ๆ ข้าได้กลิ่นหอมจริง ๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นผลไม้บางอย่าง มันจะต้องอร่อยมากแน่ ๆ!”

  

หนานกงฉีรุ่ย “หุบปาก”

  

ผู้เป็นอาจารย์หันมามอง

  

ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ เสียงของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา

  

“องค์ชายเจ็ด องค์ชายแปด พวกท่านมีข่าวดีอะไรก็บอกให้คนแก่อย่างข้าฟังด้วยเถิด”

  

ทั้งสองคนที่ถูกเรียกชื่อกลายเป็นจุดสนใจทันที

  

หนานกงฉีรุ่ยเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ข้าไม่ได้พูดอันใด”

  

หนานกงฉีจวินพยักหน้าอย่างเร่งรบ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ท่านอาจารย์สอนต่อเถิด พวกเราจะเบาเสียงไม่ให้รบกวนท่านอย่างแน่นอน”

  

หนานกงฉีรุ่ย “…”

  

เขาเคยเห็นคนโง่ แต่ก็ไม่เคยเห็นคนโง่ที่ตรงไปตรงมาขนาดนี้มาก่อน!

  

อาจารย์จ้องเขม็งไปยังหนานกงฉีจวินด้วยความโกรธจนเคราขยับ “คุยเสียงเบา? องค์ชายเจ็ด องค์ชายแปด แผนของแต่ละวันเริ่มต้นจากตอนเช้า*[1] อายุยังน้อยแต่กลับไม่ขยันมั่นเพียร แก่ตัวไปจะลำบาก…”

  

เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ผู้นี้มีวาทศิลป์ เอ่ยอ้างตำรับตำราพูดเสียจนน้ำลายกระเด็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้*[2] ประหนึ่งว่าการไม่ตั้งใจเรียนของพวกเขาเป็นการทำความผิดอย่างร้ายแรง

หนานกงฉีจวินฟังจนหูอื้ออึง เด็กชายกลอกตาขึ้นด้านบน

  

ชายชราผู้นี้ยังคงพูดออกมาไม่มีทางทีว่าจะหยุด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเลิกเรียน

  

หนานกงฉีรุ่ยเอ่ยขึ้นมา “อาจารย์ เมื่อครู่ข้ากับน้องเจ็ดกำลังถกกันเรื่องบทเรียน”

  

หนานกงฉีจวินพยักหน้าราวกับไก่จิก “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้ากำลังถกเรื่องบทเรียนกับพี่เจ็ด”

  

เขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่า พี่เจ็ดที่อยู่ข้างหน้าตนเองกำลังแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา แม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตาก็ตาม

  

อาจารย์ที่กำลังร่ายยาวหยุดพูดชั่วคราว “โอ้? เช่นนั้นองค์ชายเจ็ดกับองค์ชายแปดบอกชายชราผู้นี้ได้หรือไม่ว่าพวกท่านกำลังพูดคุยถกกันเรื่องใด?”

  

หนานกงฉีรุ่ยไม่ถ่อมตนหรือหยิ่งยโส เอ่ยออกมาโดยไม่มีความประหม่าแม้แต่น้อย “สิ่งที่อาจารย์เพิ่งสอน ข้าสามารถท่องออกมาได้”

  

หนานกงฉีจวินที่อยู่ด้านหลัง “…”

  

ไม่ใช่สิ พวกเราเป็นพี่น้องก็ควรจะร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันไม่ใช่หรือ? ท่านบอกว่าท่องได้ได้อย่างไรกัน!

  

อาจารย์กระแอมไอออกมาสองครั้งก่อนจะลูบเคราของตนเอง

  

“เช่นนั้นองค์ชายเจ็ดก็ลองท่องออกมาเถิด”

  

หนานกงฉีรุ่ยยืนขึ้นเอามือไพล่หลัง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรม เปรียบประหนึ่งเป็นดาวเหนือ สถิตมั่นรายล้อมด้วยดารา ขงจื๊อกล่าวเอาไว้ อันคัมภีร์กวีนิพนธ์ทั้งสามร้อย หากอธิบายด้วยประโยคเดียว…”

  

หลังจากเอ่ยจบแล้ว เขาก็หันไปมองอาจารย์ด้วยความสงบนิ่ง “ท่านอาจารย์คิดเห็นเช่นไร”

  

อาจารย์ลูบเคราพยักหน้า “ดี ดูเหมือนว่าองค์ชายเจ็ดจะตั้งใจเล่าเรียน ฉลาดเฉลียวไม่ธรรมดาเช่นนั้น องค์ชายแปด…”

  

เขาปรายตาไปมองร่างของเด็กชายที่แทบจะเอาหัวมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะ

  

ตอนนั้นเองทุกคนต่างเผยรอยยิ้มเฝ้ารอดู

  

หนานกงฉีจวินลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

  

“องค์ชายแปดเองก็ท่องออกมาเถิด”

  

หนานกงฉีจวิน “…”

  

หากเขารู้ เขาจะต้องมัวรีรออีกหรือ?

  

“ขง…ขงจื๊อกล่าว…กล่าวไว้ว่า…”

  

เขาเกาหูเกาแก้มไม่อาจพูดสิ่งใดต่อได้

  

ท่านอาจารย์รู้สึกเกลียดชังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ขึ้นมาทันที

[1] แผนของแต่ละวันเริ่มต้นจากตอนเช้า (一日之计在于晨) เป็นสุภาษิตคำพังเพยจีน ใช้กล่าวถึงการดำเนินชีวิตให้ได้ดี และเกี่ยวกับความขยันหมั่นเพียร

[2] เกลียดชังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ (恨铁不成钢) หมายถึง ตั้งความหวังหรือเข้มงวดด้วยเพื่อหวังว่าจะได้ดิบได้ดี