เห็นได้อย่างชัดเจนเลย ทุกคนนึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
คนขับรถเหยียบเบรก แต่ทว่าในท้ายที่สุดมันก็สายเกินไปมากเสียแล้ว เขาเห็นหลานเสี่ยวถางถูกเขาชนจนตัวลอย หลังจากนั้น ก็ร่วงตกลงไปบนพื้นไซต์งานก่อสร้างทางด้านข้าง
เขาตกตะลึงจนสมองขาวโพลนไปหมด ในตอนที่มีสติกลับคืนมานั้นเอง ก็เหยียบคันเร่งแล้วขับออกไปไกลเสียแล้ว
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่ว่าในช่วงวินาทีที่ตนเองถูกชนเข้าให้นั้น ความเจ็บปวดมากมายมหาศาลของร่างกายนั้นราวกับว่าเดิมก็ไม่ใช่ของตนเอง ความรู้สึกราวกับว่าเป็นกระจกที่แตกละเอียด ตั้งแต่รู้สึกได้อย่างชัดเจน จนไปถึงแข็งทื่อ อีกทั้งยังรวมไปถึงอาการที่ไร้เรี่ยวแรงมากยิ่งขึ้น
เธอสบตามองเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากร่างกายด้วยความนิ่งงัน เธอคิดอยากที่จะยื่นมือออกไปกดเอาไว้ แต่ทว่า เลือดนั้นไหลออกมาตามร่องนิ้วมือ เธอตกตะลึงจนเดิมก็ไม่รู้ว่าควรที่จะกดหยุดเลือดตรงไหนก่อนดี
สือเพ่ยหลินก็นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงเลยว่าเมื่อเขาได้ผลักออกไปแล้วจะเป็นแบบนี้ เมื่อเห็นหลานเสี่ยวถางจมอยู่ในกองเลือด เขาจึงรีบกุลีกุจอปล่อยเฉินจื่อโร่ว แล้วคิดอยากที่จะเข้าไปอุ้มหลานเสี่ยวถางขึ้นมา
แต่ทว่า เมื่อเฉินจื่อโร่วเห็นว่าสือเพ่ยหลินกำลังจะไป หัวใจก็ตกตะลึงขึ้นมาทันที เธอรีบกดเข้าที่หน้าท้องของตนเองเอาไว้ทันที “พี่เพ่ยหลินคะ ฉัน ท้องของฉันเจ็บจังเลยค่ะ……”
พูดไป อีกทั้งเธอยังจงใจป้ายเลือดที่อยู่บนใบหน้าให้เลอะกว่าเดิมด้วย ก็คุกเข่าอย่างอ่อนแรงอยู่แบบนั้นบนพื้น ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกตะลึงเสียงดังว่า “พี่เพ่ยหลินคะ ท้องของฉันเจ็บ เบบี๋ของพวกเราจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ? พี่เพ่ยหลินคะ รีบพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาลเร็ว……”
ฝีเท้าของสือเพ่ยหลินที่กำลังจะเดินเข้าไปหาหลานเสี่ยวถางพลันชะงักหยุดลงในทันที เขาหมุนตัวกลับไปมองเฉินจื่อโร่ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัวว่า “ท้องของเธอเป็นอะไรไปน่ะ? เด็กในท้องเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันไม่ทราบค่ะ พี่เพ่ยหลินคะ รีบพาฉันไปโรงพยาบาลเร็ว รออีกประเดี๋ยวก็ไม่ได้แล้วนะคะ……” เฉินจื่อโร่วพูดไป ก่อนจะกดลงไปที่ท้องแล้วเริ่มส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา
“จื่อโร่ว ไม่ต้องกังวลนะ พวกเราจะไปโรงพยาบาลกันตอนนี้เลย!” สือเพ่ยหลินพูดไป เดิมก็ไม่กล้าที่จะหันไปมองหลานเสี่ยวถางที่อยู่ด้านข้างอีกครั้งหนึ่งเลย ราวกับว่าที่ด้านหลังมีวิญญาณตามติดอยู่ก็ไม่ปาน ก่อนจะอุ้มเฉินจื่อโร่วขึ้นมา แล้วสาวเท้าก้าวยาวไปยังรถของเขาที่จอดไกล ๆ อยู่ทางด้านข้าง
สือเพ่ยหลินวางเฉินจื่อโร่วลง ก่อนจะหันไปมองที่หลานเสี่ยวถาง ภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า เลือดสีแดงสดนั้นแยงตา มันสับสนวุ่นวายคนทำให้ดวงตาของเขาเจ็บปวด หัวใจราวกับว่าถูกแมลงรุมกัด สือเพ่ยหลินกดหยุดอยู่ที่จับประตูรถ กำลังจะเข้าไปช่วยหลานเสี่ยวถาง
แต่ทว่า เมื่อเขาขยับตัวไปครู่หนึ่ง แขนก็ถูกเฉินจื่อโร่วกกกอดเอาไว้อย่างแน่นหนา น้ำเสียงของเธอดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด “พี่เพ่ยหลินคะ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะคะ ทนไม่ไหวแล้วนะคะ……”
สือเพ่ยหลินสบตามองมือของหลานเสี่ยวถางที่ยกชูขึ้นมาอยู่ไกล ๆ บนมือเต็มไปด้วยเลือด เขาบอกได้ไม่ชัดเจนนักว่าความรู้สึกภายในหัวใจคืออะไร รู้สึกเพียงแต่ว่ามันทั้งสับสนทั้งกดดันเท่านั้น แต่ทว่า ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้ขยับฝีเท้าไปไหนเลย
ข้างใบหู ก็มีเสียงเมื่อวานของคุณหมอดังขึ้นมา หมอบอกว่า ความสำเร็จของการสร้างกระดูกนั้นมีไม่มากนัก อีกทั้งยังต้องทำพลาสมาถึงจะสามารถมีประสิทธิภาพได้มากที่สุด……
ภายในหัวใจของเขาตัดสินใจเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะกำมือเข้าหากันแน่นอย่างรวดเร็ว กัดฟัน ปิดประตูรถ ก่อนจะติดเครื่องยนต์
บนพื้นที่ไซต์งานก่อสร้าง หลานเสี่ยวถางสบตามองรถของสือเพ่ยหลินที่หายออกไปจากสายตาแล้วอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างของเธอเริ่มเย็นเฉียบขึ้นมาในทันที
เป็นเพราะเลือดที่เสียไป เธอรู้สึกว่าอัตราการรอดชีวิตของเธอค่อย ๆ มลายหายไปแล้ว ไร้เรี่ยวแรงราวกับเกลียวคลื่นก็ไม่ปาน ค่อย ๆ ดึงเธอให้จมลงแม้กระทั่งสติสัมปชัญญะก็เริ่มเลือนรางขึ้นแล้ว
ด้านหน้าของสายตาทั้งหมด ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นพร่ามัว โลกทั้งใบราวกับว่าถูกม่านหมอกบดบังเอาไว้ชั้นหนึ่ง
ในตอนที่กำลังงุนงงไร้สติ หลานเสี่ยวถางนึกถึงต่างหูหยกคู่นั้น นึกถึงคุณย่าหลานที่บอกว่าให้เธอมีชีวิตที่มีความสุขต่อไป สติสัมปชัญญะของเธอก็เริ่มค่อย ๆ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
แทบจะออกแรงไปทั้งหมดแล้ว เธอยกมือขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาปลดล็อกจากในกระเป๋ากางเกง หลังจากนั้น อาศัยความจำ ลูบคลำไปยังตำแหน่งของการโทร แล้วกดเข้าไปในแป้นตัวเลข
เบอร์ที่เธอโทรออกไปเบอร์สุดท้ายก่อนหน้านี้ ก็คือโทรหาสือมูเฉิน
ในช่วงเวลาที่กดลงไปแล้วนั้นเธอ จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกหมดหวังขึ้นมาทันที
เธอจะลืมไปได้อย่างไรกัน เครื่องบินของสือมูเฉินคือในตอนเช้า ตอนนี้ก็คงที่จะนั่งเครื่องบินไปแล้วน่ะสิ!
แต่ทว่า ตอนนี้เธอไร้เรี่ยวแรงที่จะกดวางสายไปเสียแล้ว ดวงตาของเธอพร่ามัว มองอะไรไม่ชัดเจน แม้กระทั่ง แม้กระทั่งหน้าจอก็จะมองแทบไม่เห็นอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า จู่ ๆ น้ำเสียงคุ้นเคยของชายหนุ่มกลับดังเข้ามาในใบหู “เสี่ยวถางหรือครับ?”
หลานเสี่ยวถางคิดว่า ตนเองนั้นฝันไปเสียแล้ว ในห้วงแห่งความฝัน น้ำเสียงของเขายังคงน่าฟัง เกรงว่าคงจะเป็นน้ำเสียงที่ฟังแล้วเพราะที่สุดไปตลอดชีวิตของเธอ
เธอเปิดริมฝีปากแห้งกรังออก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แทบจะฟังไม่ชัดเจนและอ่อนแรงว่า “มูเฉินคะ ช่วยฉัน……”
สายการบินของสือมูเฉินวันนี้ช้านิดหน่อย เพียงแต่ว่าตอนนี้ เขาก็ขึ้นมาบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว เมื่อครู่นี้พึ่งจะคาดเข็มขัดนิรภัย กำลังจะปิดเครื่อง หลานเสี่ยวถางก็โทรศัพท์เข้ามา
ในตอนที่เขารับสาย มีความรู้สึกขบขันอยู่เล็กน้อย หรือว่าเธอนึกว่าเขาไปถึงที่นั่นแล้วกันนะ?
เพียงแต่ว่า หลังจากที่เขาได้ยินเธอเรียกชื่อของเขาแล้วนั้น ทำไมถึงได้ยินไม่ชัดเจนเลยนะว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่?
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สือมูเฉินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า “เสี่ยวถาง เป็นอะไรไปครับ? เสียงของคุณเบาไปหน่อยนะครับ”
ในตอนนี้เอง ริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางขยับไปมาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความยากลำบากว่า “ช่วยฉันด้วย……”
แต่ทว่าน่าเสียดาย เธอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปแล้ว เสียงก็ยังคงแผ่วเบาอยู่ดี เล็กมากจนแทบจะเป็นเพียงแค่การขยับริมฝีปากเท่านั้น แต่ทว่ากลับไม่สามารถเปล่งออกไปให้คนได้ยินได้เลย
พูดจบ มือของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงในการถือแล้ว โทรศัพท์มือถือร่วงหล่นจากมือ หล่นไปกระทบเข้ากับหินที่อยู่บนพื้นถนนไร้เรี่ยวแรงที่จะเก็บมันขึ้นมาอีกแล้ว
ร่างของสือมูเฉินนั่งตัวตรงในทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงของเธอ แต่ทว่า กลับได้ยินเหมือนเสียงของอะไรบางอย่างตกกระแทกพื้น
ถ้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันนะ?!
เมื่อสือมูเฉินคิดมาได้จนถึงตรงนี้แล้ว ก็รีบกุลีกุจอเรียกชื่อของหลานเสี่ยวถางผ่านโทรศัพท์ติดต่อกันอยู่หลายครั้งทันที แต่ทว่า โทรศัพท์ยังคงอยู่ในรูปแบบของการต่อสายสนทนาอยู่ แต่ทว่ากลับไม่มีคนตอบเขากลับ
เมื่อสัมผัสได้แล้วว่ามันไม่ถูกต้อง เขาจึงลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที ก่อนจะพุ่งไปหาทางหย่าหยุนตรงทางเดินอีกข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณทางครับ ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ กระเป๋าเดินทางของผมอยู่บนเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่คุณถึงแล้วก็ช่วยรับมันแล้วส่งไปที่โรงแรมให้ทีนะครับ ขอบคุณครับ!”
พูดจบ ก็ไม่ได้รอให้ทางหย่าหยุนตอบกลับมา ก็มุ่งหน้าตรงไปที่ประตูทางออกของเครื่องบินเสียแล้ว
พนักงานบนเครื่องบินที่อยู่ตรงประตูเห็นเขาออกไป จึงอดไม่ได้ที่จะขวางเอาไว้ “คุณคะ เครื่องบินกำลังจะขึ้นแล้วนะคะ คุณ……”
“ผมไม่บินแล้วครับ!” สือมูเฉินพูดไป ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาเดินไปพลางเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางทางปลายสายโทรศัพท์ฝั่งนั้นไปพลางว่า “เสี่ยวถางครับ ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้แหละ ผมจะไม่วางสาย ผมจะคุยกับคุณอยู่ตลอดนะครับ——”
พูดไป เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง หลังจากนั้น เปิดเครื่อง
เมื่อรอกระทั่งการเปิดเครื่องเสร็จสิ้นลงแล้ว สือมูเฉินรีบปลดล็อกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะต่อสายโทรศัพท์โทรออกไป “รีบช่วยฉันสืบเดียวนี้เลย ตอนนี้ฉันกับ 188 ตำแหน่งของคนเบอร์นั้นรายละเอียดอยู่ที่ไหน สืบได้แล้วโทรกลับมาหาฉันด้วย”
พูดจบ เขาก็หันไปเอ่ยกับโทรศัพท์มือถือที่กำลังต่อสายกันอยู่อีกครั้ง “เสี่ยวถางครับ คุณได้รับอันตรายหรือเปล่าครับ? ผมจะไปช่วยคุณตอนนี้แหละ คุณอดทนหน่อยนะ รอผมนะ……”
เดิมสติสัมปชัญญะของหลานเสี่ยวถางแตกกระเจิงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่า ใบหูกลับได้ยินเสียงของสือมูเฉินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เสียงนั้นเบานิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะว่าโทรศัพท์มือถือกับใบหูของเธอนั่นอยู่ไกลกันสักเล็กน้อย
เมื่อตอนแรกเริ่ม เธอได้ยินไม่ชัดเจนนัก กระทั่งถึงช่วงสุดท้าย ก็สามารถที่จะเข้าใจความหมายของเขาได้แล้ว
หัวใจของเธอกระชุ่มกระชวยขึ้นมาในทันที นี่ไม่ใช่ห้วงแห่งความฝันก่อนที่จะตายของเธอ แต่ทว่า สือมูเฉินยังไม่ได้จากไปไหนจริง ๆ อีกทั้งยังจะมาช่วยเธอด้วย!
เธออยากที่จะร้องไห้ออกมาเล็กน้อย แต่ทว่า กลับส่งเสียงไม่ออก มีเพียงแค่น้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างไรเสียง สายตาแต่เดิมที่เลือนรางตอนนี้ก็เลือนรางมากยิ่งไปกว่าเดิมเรียบร้อยแล้ว
“เสี่ยวถางครับ คุณยังฟังอยู่หรือเปล่า?” น้ำเสียงจากปลายสายดังคงดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “อีกประเดี๋ยวผมก็จะตามไปทันแล้วครับ คุณอดทนนะ ไม่ต้องไปที่ไหนทั้งนั้น รอผมนะครับ”
เธออยากที่จะเอ่ยว่าเธอจะรอเขา เธออยากที่จะพยักหน้า แต่ทว่า แม้กระทั่งขยับนิ้วหัวแม่มือยังทำไม่ได้เลย
“เสี่ยวถางครับ คุณย่าของคุณให้คุณมีชีวิตต่อไปให้ดี ยังจำได้ไหมครับ?” สือมูเฉินเอ่ยว่า “อีกทั้งยังมีคุณพ่อคุณแม่แท้ ๆ ของคุณอีกด้วยนะครับ พวกเขาจะต้องรอคุณกลับบ้านอยู่ที่ไหนสักแห่งของโลกใบนี้แน่ ๆ ดังนั้นแล้ว ต้องอดทนเอาไว้นะครับ……”
ลมหายใจของเธอกระชั้นชิดมากขึ้นหลายส่วน ใช่แล้ว มีลูกที่ไหนที่พลัดพรากจากพ่อแม่แท้ ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ ที่ไม่อยากจะรับรู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเองคือใครกันบ้างล่ะ?
เธออยากรู้ ว่าทำไมในตอนแรกพ่อกับแม่ถึงไม่ต้องการเธอ เป็นเพราะว่าในตอนนั้นไม่สามารถเลี้ยงดู หรือเพราะอะไรกันแน่?
สือมูเฉินในตอนนี้ขับรถไปพลางสบตามองแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องหนึ่งไปพลาง บนหน้าจอ ระยะห่างของเขากับหลานเสี่ยวถางกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่หยุด
เขารู้ ว่าเธอจะต้องได้รับอันตรายอะไรบางอย่างแน่ ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับบาดเจับด้วย มิฉะนั้นแล้ว ไม่สามารถที่จะต่อสายหากันตลอดแบบนี้ แต่กลับไม่ตอบเขาแน่ ๆ
อีกทั้งเดิมตำแหน่งของเธอก็ไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย เห็นได้อย่างชัดเจนเลย เกรงว่าตอนนี้เธอคงจะขยับไปไหนไม่ได้เรียบร้อยแล้ว
“เสี่ยวถางครับ อีกประเดี๋ยวผมก็จะถึงแล้วนะครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นมาว่า “อดทนนะ รอให้ผมไปช่วยคุณนะ!”
“อื้อ” ผ่านไปนาน ท้ายที่สุดแล้วหลานเสี่ยวถางก็ส่งเสียงที่อ่อนแรงอย่างมากออกมาครั้งหนึ่ง
สือมูเฉินที่กำลังขับรถอยู่พลันชะงักไปครู่หนึ่งในทันที เมื่อครู่นี้ในช่วงเวลานั้นเอง ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงของเธอแล้ว
น้ำเสียงราวกับว่าเป็นกระดาษแผ่นบางที่ถูกลมพัด อ่อนแรงขาดง่าย แต่ทว่า เป็นหลักฐานว่าเธอยังมีชีวิตอยู่!
เขาขับรถอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สนใจสัญญาณไฟจราจรโดยทั้งสิ้น ขึ้นทางด่วนของสนามบิน ก็เริ่มขับรถเร็วโดยไม่สนใจอะไรแล้ว
สุดท้ายแล้ว สือมูเฉินเห็นแล้วว่าระยะห่างของพวกเขาตอนนี้เล็กลงไม่ถึงห้าร้อยเมตรแล้ว เขาล็อกเป้าหมายชัดเจน ก่อนจะขับเข้าไปในไซต์งานก่อสร้าง
ด้านหน้าเป็นทางคดโค้ง หัวใจของสือมูเฉินแข็งเกร็ง แทบจะคาดเดาถึงอะไรได้บางอย่าง เขาลดความเร็วลงอย่างรวดเร็ว เกรงว่าในตอนที่ขับผ่านทางคดโค้งไปแล้ว เป็นเพราะว่าทัศนวิสัยไม่ดี แล้วจะชนเข้ากับหลานเสี่ยวถางที่ปลายโค้ง
ล้อของรถบดเบียดส่งเสียงดังกับถนน หลานเสี่ยวถางที่อยู่ในความสับสนมึนงง ราวกับว่าได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากในโทรศัพท์ มันเหมือนกับ ดังขึ้นมาในโลกความเป็นจริงอีกครั้ง
แม้กระทั่ง น้ำเสียงที่ทับซ้อนกันสองเสียง เป็นเพราะว่าใกล้กันมาก จึงไม่สามารถแยกแยะได้
ราวกับว่าสัมผัสกับอะไรได้บางอย่าง หัวใจของเธอแปรเปลี่ยนเป็นมีเรี่ยวแรงขึ้นมา ในชั่วพริบตาเดียวก็เต้นแรงขึ้นมาครั้งหนึ่ง
สือมูเฉินจอดรถลงที่ถนนด้านข้างอย่างรวดเร็ว สายตาของเขามองตกลงไปยังร่างของหลานเสี่ยวถางที่อยู่บนพื้นไซต์งานก่อสร้างทางด้านข้าง สายตาราวกับว่าถูกน้ำร้อนลวกเข้าให้ก็ไม่ปาน
ใต้ร่างของเธอมีเลือดสีแดงสดอยู่กองหนึ่ง เป็นเพราะว่าแสงแดดส่องมาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนไปเป็นเข้มขึ้นเรียบร้อยแล้ว
เธอนอนไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเผือด ลมหายใจรวยริน ราวกับว่าสามารถสลายกลายเป็นฟองอากาศไปได้ในทุกขณะ
โทรศัพท์ของเธอที่ต่อสายหาเขา มันตกอยู่ที่ข้าง ๆ ใบหูของเธอ จุดสีแดงของตำแหน่งของเขาและเป้าหมายนั้น หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง
ในชีวิตครั้งแรก เขามีความไม่มั่นใจอยู่เล็กน้อย แม้กระทั่งมีความหวาดกลัวเล็ก ๆ อยู่ด้วย เกรงว่าตนเองจะมาช้าไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าระยะห่างที่ไม่ถึงหนึ่งเมตรสุดท้าย แต่ทว่าราวกับถูกกั้นเอาไว้ด้วยกำแพงของความเป็นความตาย เขาไม่รู้เลย ว่าตอนนี้เธอเดินผ่านกำแพงไปอีกด้านหนึ่งแล้วหรือยัง
สือมูเฉินย่อตัวลง ก่อนจะยื่นมือไปหาหลานเสี่ยวถาง หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางครับ ผมมาช่วยคุณแล้วนะ”