ตอนที่ 62 เจ้าคือสุนัขรับใช้ชั้นดี
การเดินทางสองวันถัดมาเป็นไปอย่างตึงเครียด เพราะออกเดินทางข้ามคืนแทบทุกวันแบบไม่ได้ให้ม้าหยุดพัก
อวี้ชิงลั่วรู้สึกหงุดหงิดกับคนที่ตามไล่ฆ่าระลอกแล้วระลอกเล่าเหล่านั้นเจียนจะตายอยู่แล้ว นางเพียงแค่อยากไปถึงเมืองหลวงและได้เจอหน้าหนานหนานโดยเร็ว จากนั้นจะได้ตีตัวออกห่างจากเย่ซิวตู๋เสียที
เสิ่นอิงและคนอื่น ๆ มิกล้าออกความคิดเห็นมากเกินไป หลังจากที่พวกเขาได้เห็นอวี้ชิงลั่วฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาในวันนั้น เมื่อเห็นนางและจินหลิวหลีในตอนนี้ พวกเขาต่างก็ทำได้เพียงแค่ยอมทำตามที่พวกนางกล่าว
โชคดีที่ระหว่างทางนับว่าเป็นไปอย่างราบรื่น ราบรื่นเสียจนดูเงียบสงบเกินไป
คาดว่าคงมีแค่จินหลิวหลีและโม่เสียนที่ทราบว่าเย่ซิวตู๋ช่วยพวกเขาจัดการคนเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ ไปมิน้อย
หลังจากผ่านไปสามวันให้หลัง ในที่สุดรถม้าก็เดินทางมาถึงประตูเมืองหลวง
อวี้ชิงลั่วหลับตา ปล่อยให้เสิ่นอิงขับรถม้าเข้าไปด้านในประตูสูงของจวนใหญ่แห่งหนึ่งโดยไม่หยุดพัก
“แม่นางอวี้ พวกเรามาถึงแล้ว”
อวี้ชิงลั่วกระโดดลงจากรถม้า นางช้อนสายตามองจวนหลังใหญ่ตรงหน้า จวนแห่งนี้ดูคล้ายกับบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ด้านนอกประตูใหญ่มีคนเดินผ่านไปมาไม่มาก ที่นี่อยู่ห่างจากวังหลวง การเดินทางจึงต้องใช้เวลาสักหน่อย
ประตูจวนถูกเปิดออกนานแล้ว ภายในนั้นมีเหล่าคนรับใช้วิ่งกรูกันออกมา ครั้นเห็นนางต่างก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเสิ่นอิงและคนอื่น ๆ อยู่ข้าง ๆ จึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างขยันขันแข็ง ท่าทางดูนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
อวี้ชิงลั่วกวาดสายตามองพวกเขา เอ่ยถาม “ลูกชายของข้าอยู่ที่ใด?”
“ขอรับ?” พ่อบ้านภายในจวนมองไปที่โม่เสียนด้วยความสงสัย อีกฝ่ายกระแอมเบา ๆ หนึ่งเสียง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านอยู่ที่ใด?”
“นายท่าน…ยังไม่กลับมาขอรับ”
โม่เสียนชะงัก “ยังไม่กลับมา?”
หรือว่าทั้งสองคนนั้นจะถูกพวกเขาทิ้งให้ไล่ตามอยู่ข้างหลัง?
ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อนายท่านยังมาไม่ถึง พวกเขาก็มีเหตุผลให้แม่นางอวี้อยู่ที่นี่ต่อไป
คิดเช่นนี้ โม่เสียนก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นประจบประแจง วิ่งมาข้าง ๆ อวี้ชิงลั่ว กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “แม่นางอวี้ ระหว่างทางนายท่านอาจล่าช้าไปสักหน่อย ตอนนี้ยังมาไม่ถึง เช่นนั้นพวกเราเข้าไปพักผ่อนด้านในสักหน่อยดีหรือไม่?”
มาถึงเมืองหลวงแล้ว พวกเขาก็พอได้หายใจโล่งคอสักหน่อย อย่างน้อย ๆ ภายใต้ฝ่าพระบาทของโอรสแห่งสวรรค์ คนเหล่านั้นคงมิกล้าทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วจนกลายเป็นปม นางคิดว่ามาถึงที่นี่จะได้ตัวหนานหนานพร้อมกับเงินสิบห้าล้านก้วนก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วเสียอีก ไหนเลยพวกตนกลับมาถึงก่อนพวกเขา ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นพวกเขาแม้แต่เงา
นางไม่คิดอยากจะเข้าไปยังสถานที่แห่งนี้ เพราะรู้สึกได้ว่าหากเข้าไปคงเป็นเรื่องยากที่จะออกมา
ทว่าเมื่อหันไปเห็นเสิ่นอิง หลิวหลีและคนอื่น ๆ มีสีหน้าอิดโรย นางจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ก็ได้ เข้าไปเถอะ”
โม่เสียนและเหวินเทียนหันสบตากัน และแอบถอนหายใจอยู่ภายในใจพร้อม ๆ กัน พวกเขาต่างก็ทราบดีถึงแผนการของนายท่าน ย่อมทราบดีว่าการให้อวี้ชิงลั่วอยู่ในจวนเป็นเรื่องที่สำคัญ วันนี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว ความทุกข์ทรมานระหว่างทางของพวกเขาไม่เสียเปล่า
เพียงแต่ตอนนี้นายท่านยังกลับมาไม่ถึงจวน คงมิใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทางหรอกกระมัง และไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้มาถึงที่ไหนแล้ว
เย่ซิวตู๋ในตอนนี้ เพิ่งจะพาหนานหนานเข้ามาด้านในประตูเมือง
ทันทีที่เจ้าเด็กคนนี้เข้าประตูเมือง เขาก็กลายเป็นบ้า แตกต่างจากท่าทางทรงปัญญาเมื่อสองวันก่อนที่ออกเดินทางข้ามคืนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงราวฟ้ากับเหว ร่างกายเปล่งประกายราวกับข้าคือทูตสวรรค์ผู้มาที่นี่เพื่อกอบกู้โลก
หนานหนานเกิดที่เมืองหลวง แต่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาก่อน ช่วงปีแรก ๆ อวี้ชิงลั่วพาเขาลงใต้เพื่อพักฟื้นในสถานที่ที่มีอุณหภูมิอบอุ่นกว่า จนกระทั่งร่างกายของเขาแข็งแรง ก็ติดตามอวี้ชิงลั่วท่องไปยังสถานที่อื่น ๆ
สถานที่แห่งนี้ เขาไม่เคยได้เหยียบเข้ามามาก่อนเลย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้เห็นของแปลกประหลาดเหล่านั้นที่ไม่เคยได้เห็น ดวงตาของเด็กน้อยพลันเป็นประกายแวววาว เย่ซิวตู๋อยากจะหยุดเขาก็หยุดไม่อยู่
“ท่านลุงเย่ ข้าได้ยินท่านย่าเก๋อบอกว่าปลาของหอหลินสุ่ยในเมืองหลวงอร่อยที่สุด พวกเราไปกินกันตอนนี้ดีเลยได้หรือไม่ ข้าหิวมาก น้ำลายก็ไหลออกมาแล้ว ท่านดูสิ ๆๆ” หนานหนานชี้ไปที่มุมปากของตัวเอง จ้องมองเขาด้วยท่าทางน่าสงสาร
เย่ซิวตู๋เหลือบมองเขาปราดหนึ่งก็แอบทนไม่ได้ที่จะปฏิเสธเขา หลายวันมานี้เจ้าเด็กนี่ไม่ได้กินของดี ๆ และนอนหลับเต็มอิ่มจริง ๆ เพราะแม่ของเขารีบเดินทางช่วงกลางดึก ทำให้เหนื่อยเสียจนเขาพลอยมีจิตใจหดหู่ไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายของหนานหนาน ราวกับว่าหากเขาไม่ทำให้หนานหนานพึงพอใจ สวรรค์คงยากที่จะทนต่อสิ่งนี้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงพยักหน้า “ได้ ข้าจะพาเจ้าไป”
‘ซูดด’ หนานหนานดูดน้ำลายของตัวเองกลับเข้าไปอย่างแรง จับมือของเย่ซิวตู๋และเดินไปยังหอหลินสุ่ยที่เต็มไปด้วยความครึกครื้นและจอแจมากที่สุดในเมืองหลวง
ตอนที่พวกเขามาถึงเป็นช่วงมื้อเที่ยงพอดี เสี่ยวเอ้อของร้านเห็นทั้งสองคนที่ไม่ได้ดูเปล่งปลั่งแพรวพราว การแสดงออกก็เปลี่ยนเป็นปกติ น้ำเสียงก็ฟังดูเย็นชา “ร้านเต็มแล้ว โปรดทั้งสองท่านมาใหม่ในวันหน้า”
เต็มแล้ว? หนานหนานชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน กล่าวด้วยความโกรธเคือง “ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าด้านในนั้นยังเหลืออีกตั้ง 3-4 โต๊ะ เต็มตรงไหนกัน?”
เสี่ยวเอ้อของร้านคนนั้นข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ถลึงตามองหนานหนานปราดหนึ่ง และไม่คิดจะปล่อยให้ทั้งสองคนนี้เข้าไปด้านใน แค่นเสียง ‘หึ’ ออกมาสองเสียง “โต๊ะพวกนั้นมีลูกค้าจองไว้นานแล้ว พวกเจ้าคงมาจากต่างถิ่นกระมัง ไม่รู้เลยรึว่าหอหลินสุ่ยของเราไม่มีที่นั่งว่างมาแต่ไหนแต่ไร มีหลายคนที่ต้องจองไว้ล่วงหน้า?”
หนานหนานส่ายหน้า ตอบกลับอย่างจริงใจ “ไม่รู้”
เสี่ยวเอ้อแทบจะกระอักเลือดออกมา สีหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว ตอนนี้ไม่มีความอดทนหลงเหลืออีกแล้ว จึงโบกมือไล่ทั้งสองคนไปตรง ๆ “ไป ๆๆ รีบไปซะ อย่าได้มารบกวนการค้าขายของพวกเรา”
เย่ซิวตู๋มองเขาด้วยสายตาเย็นชา นิ้วมือขยับเล็กน้อย จู่ ๆ เสี่ยวเอ้อของร้านก็คุกเข่าลงบนพื้นดังพรึ่บ ก่อนจะโขกศีรษะลงตรงหน้าหนานหนาน
ดวงตากลมโตของหนานหนานเบิกกว้าง อ้าปากด้วยความประหลาดใจ “โปรดลุกขึ้น ๆ ข้ารู้ว่าภายในใจของท่านคงรู้สึกเสียใจ แต่ไม่ต้องมีมารยาทมากขนาดนี้ก็ได้ เดี๋ยวข้าก็อายุขัยสั้นลงหรอก”
เย่ซิวตู๋เบือนหน้าแย้มยิ้ม รอบข้างมีคนได้ยินคำพูดเด็ก ๆ ของเขา ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
มีเพียงเสี่ยวเอ้อของร้านที่ทั้งอายและโกรธ เขาเงยหน้าทำท่าจะยกมือแล้ววาดเข้าใส่หนานหนาน “ใครรู้สึกเสียใจ? เจ้ามันเด็กป่าที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด…” คำพูดของเขาหยุดชะงัก ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี วิ่งเข้าหาคุณชายน้อยที่เพิ่งลงจากรถม้าด้วยท่าทางประจบสอพลอ
“นี่คุณชายว่านมิใช่หรือ? ท่านมาแล้ว? เชิญด้านในขอรับ ๆ มาขอรับ ระวังขั้นบันไดนะขอรับ”
หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ ส่งเสียงกระซิบด้วยความประหลาดใจ “ท่านนี่สุนัขรับใช้ชั้นดีเลยนะ”
เสี่ยวเอ้อคนนั้นถึงกับเซ จนเกือบหน้าคะมำลงพื้น
แต่คุณชายว่านผู้นั้นได้ยินคำพูดนี้ ท่าทางกลับแอบดูภาคภูมิใจ เขาเหลือบมองหนานหนานปราดหนึ่ง ก่อนจะเชิดคางขึ้นและถามเสี่ยวเอ้อที่อยู่ข้าง ๆ “ยังมีที่หรือไม่?”
“มีขอรับ ๆๆ คุณชายว่านเป็นถึงแขกผู้มีเกียรติ ห้องพิเศษด้านบนเตรียมไว้ให้ท่านนานแล้วขอรับ”
“อืม วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงเชิญสหายอีกสามสี่คน เจ้ารีบไปกำชับให้นำอาหารและสุราชั้นดีไว้ให้ข้า ขอแบบสดใหม่ที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
คุณชายว่านดูเหมือนว่าจะอายุ 12-13 ปี หากอยู่ในยุคนี้ ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่โต เพียงแต่เมื่ออยู่หน้าหอหลินสุ่ย กลับเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่มีท่าทางเย่อหยิ่ง
ในหัวของหนานหนานมีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเริ่มกวาดตามองคุณชายว่านที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
เย่ซิวตู๋ถึงกับหลุดขำ เขาใช้มืออุ้มหนานหนานขึ้นจากพื้น กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณชายว่านคนนั้นคือบุตรชายของใต้เท้าว่านเจ้ากรมครัวเรือน”
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กรรม อุตส่าห์รีบกลับมาให้ทันลูก แต่เจ้าเด็กนี่ดันอยากเอ้อระเหยเตร็ดเตร่ในเมืองหลวง กลับมาโดนแม่บิดหูแน่เจ้าหนานหนาน
ใต้เท้าว่านนี่เกี่ยวอะไรกับนายท่านเย่หรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)