ถึงแม้ว่าในวันที่โมโกะทำการสอบด้วยการต่อสู้กับพิเน๊ะจนต้องไปลงเอยที่ห้องพยาบาลอารอนจะเคยพูดเตือนให้พวกนากาเตรียมตัวกันเอาไว้เผื่อว่าเอริกะจะเรียกตัวพวกเขาไปใช้งานก็ตามที แต่ว่าเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไปโดยไม่ได้มีการติดต่อมาจากเอริกะเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากการเรียนหนังสือตามตารางเรียนตามปกติแล้วก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติเกิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาได้ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการฝึกเช่นเดียวกับสัปดาห์แรกของการเปิดเรียน

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีเด็กผู้หญิงผมสีขาวบางคนแอบกระซิบบอกถึงสถานที่การฝึกของนากาที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ความลับอะไรแต่ว่าเขาไม่เคยบอกใครให้กับเพื่อนๆ ของเขารู้จนทำให้เหล่าเพื่อนใหม่ของเขาในโรงเรียนไม่ว่าจะเป็นรีซาน่า ซิลเวส เซซิลหรือแม้แต่กระทั่งอัลเบิร์ตต่างพากันผลัดกันโผล่หน้ามาอาสาเป็นคู่ซ้อมให้กับเขาไม่เว้นวัน

 

และถึงแม้ว่านากาจะไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ของเขารู้จุดฝึกซ้อมของเขาที่อยู่ในจุดลับตาและแทบไม่มีคนเดินผ่านไปมาเลยแม้แต่น้อยได้ยังไง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรที่จะได้คู่ฝึกซ้อมมาแทนที่หุ่นไม้ไร้ชีวิตจิตใจที่ไม่สามารถตอบสนองได้ เพราะว่ายังไงซะการฝึกซ้อมกับคนจริงๆ มันก็มีประโยชน์มากกว่าการฝึกฟาดฟันกับหุ่นไม้อยู่แล้ว

 

และหลังจากที่การเรียนการสอนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่สองหมดลงนากาก็รีบเดินตรงกลับบ้านเหมือนกับทุกวันก่อนที่เขาจะเข้าไปฝึกฝนต่อกับพาเทียร์ในโลกที่เปรียบเสมือนกับความฝันของเขาต่อในทันที

 

“ที่นายได้เพื่อนๆ ของนายมาช่วยฝึกให้นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่นะ… เพราะว่ายิ่งฉันมีข้อมูลวิธีการต่อสู้ของพวกเขามากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งจำลองมันออกมาได้ดีขึ้นเท่านั้นนั่นแหล่ะ

 

“แฮ่ก…แฮ่ก… พ…เพราะงั้นการฝึกของวันนี้ถึงได้ยากขึ้นแบบนี้งั้นสินะ…?”

 

นากาที่โดนพาเทียซ์หวดจนกระเด็นลงไปแผ่กับพื้นหญ้าได้ยกหัวขึ้นมาพูดตอบพาเทียซ์ที่กำลังมองดูภาพการฝึกซ้อมของนากาและเพื่อนๆ ของเขาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพลางเหวี่ยงค้อนของซิลเวสไปมาด้วยท่าทางแบบเดียวกับเจ้าตัวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งพาเทียร์ก็ได้ละสายตาออกมาจากแผ่นกระจกเรืองแสงสีเขียวที่สามารถฉายภาพเรื่องราวต่างๆ ที่นากาเคยพบเจอขึ้นมาได้เพื่อมองดูสภาพของเด็กหนุ่มผมดำที่นอนแผ่หมดสภาพอยู่กับพื้นแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“มันก็อะไรประมาณนั้น… เพราะไม่ได้มีแค่นายคนเดียวสักหน่อยที่อยากจะเก่งขึ้นน่ะ… ทุกๆ คนเขาก็ค่อยๆ พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกันนั่นแหล่ะ…”

 

“เฮ้อ… นั่นสินะ… แล้วเธอคิดว่ายังไงบ้างล่ะพาเทียซ์ ถ้าเกิดว่าเป็นฝีมือของฉันในตอนนี้น่ะ…”

 

“เรื่องนั้นฉันเองก็คงจะตอบไม่ได้เหมือนกัน… เพราะว่าฝีมือของเขาเท่าที่ฉันรู้มันก็มีแค่ฉากการต่อสู้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่นายได้ไปเห็นมาในห้องชมรมนั่นล่ะ… เพราะงั้นฉันก็คงจะประเมินอะไรให้นายไม่ได้เหมือนกัน…”

 

“ง…งั้นเองหรอ…”

 

พาเทียซ์ที่ได้ยินนากาพูดตอบกลับมาแบบนั้นได้ปล่อยมือออกจากค้อนของซิลเวสที่เธอถือเอาไว้และสั่งให้มันสลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวหายไปก่อนที่มันจะได้ร่วงลงสู่พื้นแล้วจึงค่อยเดินเข้าไปนั่งอยู่ที่ข้างๆ นากาที่ยังคงนอนแผ่หมดแรงอยู่ที่เดิม

 

“แต่ว่า… ถ้าจากที่ฉันดูในบันทึกการฝึกซ้อมของนายกับเพื่อนๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว… ก็คงจะบอกว่าถึงตอนนี้นายจะยังเอาชนะพวกเขาแบบขาดลอยไม่ได้… แต่ว่าตอนที่พวกเขาเอาจริงแล้วนายก็ไม่ได้แพ้อนาถอะไรขนาดนั้นแถมบางทียังสามารถเอาชนะพวกเขาได้อีก…”

 

“จะเรียกว่าฝีมือของฉันสูสีกับคนที่ใช้วิซได้เก่งแบบพวกเขาแล้วก็ได้งั้นสินะ…”

 

“แต่ว่านั่นมันก็แค่กรณีที่นายได้มีโอกาสเข้าไปสู้กับพวกเขาด้วยดาบตรงๆ น่ะนะ… เพราะว่าเวลาที่นายเจอคู่ต่อสู้ที่คุมระยะเก่งๆ แล้วก็พลิกแพลงวิธีการโจมตีได้หลากหลายอย่างซิลเวสหรือว่าคอนแนลเข้าไปนายค่อนข้างจะเสียเปรียบมากเกินไปสักหน่อยนึง… แถมตอนนี้นายเองก็ยังไม่มีวิธีการโจมตีระยะไกลเพื่อขัดจังหวะคู่ต่อสู้ประเภทนี้อีกด้วย…”

 

“อ่า… นั่นสินะ… แต่ว่ายังไงมันก็ช่วยไม่ได้นี่นะเพราะว่าปืนทุกประเภทมันจำเป็นต้องใช้วิซเพื่อใช้งานนี่นา…”

 

นากาพูดตอบพาเทียซ์กลับไปและขยับมือขึ้นมารองหัวของเขาเอาไว้เพื่อนอนมองดูท้องฟ้าสีครามเหนือหัวของพวกเขาแบบไม่ได้คิดอะไรมากเลยแม้แต่น้อยในขณะที่ทางด้านพาเทียซ์นั้นก็กลับทำท่าทางเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“เอาจริงๆ แล้วโลกนี้เองก็มีอาวุธระยะไกลที่เรียกว่าธนูกับหน้าไม้อยู่เหมือนกันนะ… แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะเลิกสนใจที่จะฝึกฝนใช้งานมันไปแล้วหลังจากที่มีคนคิดค้นปืนพลังวิซที่สะดวกสบายกว่าขึ้นมาได้จนแทบไม่มีใครใช้งานมันเป็นแล้วนี่สิ… แล้วก็อีกอย่างนึง… ปืนที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิซเพิ่อยิงกระสุนออกมามันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอยู่…”

 

“หืม? อาวุธที่ชื่อว่าธนูนี่ฉันก็เคยเห็นมันอยู่ในหนังสือเก่าๆ อยู่บ้างนะ แต่ว่ามันเกะกะเกินไปหน่อยแถมยังยิงให้โดนยากอีกต่างหาก ส่วนหน้าไม้ที่เธอพูดถึงนี่ฉันไม่รู้จักแฮะ… เดี๋ยวสิ— ตะกี้นี้เธอบอกว่ามันมีปืนที่ไม่จำเป็นต้องใช้วิซอยู่ด้วยงั้นหรอ!?”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดพึมพำตรงท้ายประโยคของพาเทียซ์ถึงกับผุดลุกขึ้นมาด้วยความสนอกสนใจเพราะถ้าเกิดว่าเขาสามารถใช้งานปืนได้สักประเภทหนึ่งล่ะก็มันก็น่าจะช่วยอุดจุดอ่อนเรื่องของการโจมตีระยะไกลที่เขายังขาดอยู่ไปได้ในทันที

 

แต่ว่าพาเทียซ์ที่เป็นคนหลุดปากเรื่องของปืนที่ไม่จำเป็นต้องใช้วิซขึ้นมานั้นก็กลับชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงรีบพูดห้ามปรามนากาขึ้นมาในทันที

 

“จะบอกว่ามีมันก็มีอยู่นั่นแหล่ะ… แล้วฉันเองก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าเอริกะสามารถสร้างมันขึ้นมาให้นายได้ภายในเวลาไม่กี่วันด้วย… แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดว่าเอริกะจะสร้างมันขึ้นมาให้นายใช้หรอกนะ…แล้วฉันเองก็ไม่แนะนำให้นายลองขอเอริกะดูในเรื่องนี้ด้วย…”

 

“อ้าว… ทำไมกันล่ะ? ไม่ใช่ถ้าเกิดว่าฉันมีอาวุธที่ใช้โจมตีระยะไกลได้ฉันก็น่าจะมีประโยชน์ในงานที่เอริกะคิดจะมอบให้ฉันทำมากกว่าหรอ?”

 

“ก็เพราะว่ามันอันตรายเกินไปน่ะสิ… ปืนที่ไม่จำเป็นต้องใช้วิซน่ะนอกจากจะมีพลังทำลายที่มากกว่าแล้วความเร็วของกระสุนเองก็เยอะกว่ากระสุนวิซมากด้วย… จะเรียกว่ามันเป็นอาวุธชิ้นเล็กๆ ที่ทำให้เด็กอายุสามขวบสามารถฆ่าผู้ใหญ่คนนึงได้โดยทำเพียงขยับนิ้วก็ว่าได้… นายคงจะไม่อยากเอามันมาใช้งานแล้วเผลอพลาดทำให้เพื่อนๆ ของนายได้รับบาดเจ็บร้ายแรงขึ้นมาหรอกใช่มั้ยล่ะ…”

 

“หา!? มันก็แน่อยู่แล้วสิ! ฉันไม่ได้คิดอยากจะฆ่าใครสักหน่อย! ฉันแค่อยากจะเก่งขึ้นให้คนอื่นเห็นว่าคนอย่างฉันไม่ได้ไร้ประโยชน์เท่านั้นเอง!!”

 

นากาที่ได้ยินถึงพลานุภาพของปืนที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิซได้แต่หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจในขณะที่ทางด้านพาเทียซ์นั้นก็แอบเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงพูดชมออกมาให้นากาฟัง

 

“แต่ก็นะ… สำหรับคนที่ใช้พลังพวกนั้นไม่ได้เลยแบบนาย… การที่นายสามารถรับมือพวกเขาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วล่ะ… ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังไม่พอที่จะทำให้นายทำในสิ่งที่ต้องการได้ก็เถอะนะ…”

 

“ถ้างั้นฉันก็แค่ต้องฝึกจนเก่งกว่านี้ก็พอแล้วใช่มั้ยล่ะ! ว่าแต่เธอคิดว่าฉันจะมีโอกาสที่จะก้าวข้ามพวกเขาไปได้บ้างหรือเปล่าล่ะพาเทียซ์?”

 

“สำหรับนายที่ไร้ซึ่งพลังในโลกที่ทุกคนสามารถใช้สิ่งที่เปรียบเสมือนกับเวทมนตร์ได้แบบนี้… ถึงมันจะฟังดูยากลำบากจนเหมือนกับจะเป็นไปไม่ได้… แต่ฉันก็จะไม่ปฏิเสธว่ามันก็มีความเป็นไปได้ที่นายจะทำสำเร็จอยู่ก็แล้วกัน…”

 

“อื้ม แค่เธอบอกแบบนั้นฉันก็สบายใจแล้วล่ะ…ฮ่า…”

 

เมื่อนากาที่ฝึกฝนอย่างหนักทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและในโลกแห่งจิตใต้สำนึกที่เปรียบเสมือนกับความฝันของเขามาตลอดสองสัปดาห์ได้ยินพาเทียซ์พูดขึ้นมาแบบนั้นก็ทำให้เขาถึงกับกับเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าสีครามสดใสเบื้องบนด้วยความสบายใจ

 

ซึ่งถึงแม้ว่าในโลกแห่งนี้จะเปรียบเสมือนกับความฝันของนากาที่ไม่ค่อยจะถูกยึดติดกับความเป็นจริงสักเท่าไหร่นัก แต่ว่าพาเทียซ์ที่สามารถควบคุมได้แทบจะทุกอย่างในโลกใบนี้ก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของนากาให้ต่างออกไปจากความเป็นจริงมากนักเพื่อที่เขาจะได้รับประสบการณ์การฝึกฝนที่เหมือนจริงที่สุดจนทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องมีช่วงเวลาพักเหนื่อยที่พวกเขาจะมานั่งคุยเล่นกันอย่างนี้เป็นประจำ

 

“เออ จะว่าไปแล้วเรื่องซากมีดหรืออะไรสักอย่างของคุณปู่แม็กซ์ที่เธอเอาไปศึกษานั่นเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะพาเทียซ์”

 

นากาที่นั่งตากลมอยู่อย่างสบายๆ นั้นได้นึกคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยและนึกถึงเรื่องของซากอาวุธของปู่แม็กซ์ที่เขาเปลี่ยนมันให้เป็นดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์มาได้กว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วขึ้นมา

 

เพราะการที่พาเทียซ์ไม่ได้พูดถึงมันอีกเลยตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามันก็เลยทำให้นากาไม่กล้าที่จะเปลี่ยนสิ่งของอย่างอื่นให้กลายเป็นดาบของเขาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เขาจำเป็นที่จะต้องพกดาบประจำตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลาแทนที่จะเป็นการคว้าเอาโลหะที่หาได้มาเปลี่ยนให้กลายเป็นดาบในเวลาที่จำเป็นจะต้องใช้งานมัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งพรีมูล่าและโมโกะรู้สึกแปลกใจจนเอ่ยปากทักเขาถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ

 

“ยังตรวจสอบไม่เสร็จ… เอาไว้ถ้าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่แล้วเดี๋ยวฉันจะแจ้งนายไปเอง… เพราะงั้นตอนนี้นายก็ทนพกเจ้าดาบนั่นต่อไปอีกสักพักนึงก็แล้วกัน…”

 

“งั้นหรอ… เอาเถอะ… ยังไงซะปกติแล้วนักเรียนคนอื่นเขาก็แบกอาวุธของตัวเองไปโรงเรียนกันทุกวันอยู่แล้วล่ะนะเพราะงั้นดาบของฉันก็คงจะดูไม่แปลกอะไรสักเท่าไหร่หรอก แล้วอีกอย่างนึงก็ยังมีแค่พรีมูล่า โมโกะกับคอนแนล แล้วก็เซซิลด้วยล่ะมั้งที่เคยเห็นฉันเรียกเอาดาบออกมาแบบนั้นน่ะ… อ่ะ—”

 

นากาที่เคยชินกับการเดินตัวเปล่าและเรียกเอาดาบออกมาถือเอาไว้เฉพาะในเวลาที่ต้องการได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองเขาจะเหลือบไปเห็นหนึ่งในสายระยางสีดำที่อยู่ๆ ก็ก่อตัวขึ้นมาสูงและตวัดไปตวัดมาช้าๆ อยู่ที่ปลายขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอีกครั้งกับสิ่งแปลกประหลาดที่โผล่มาให้เขาเห็นเรื่อยๆ ในโลกแห่งจิตใต้สำนึกนี้

 

“เจ้านั่นมันยังอยู่ที่เดิมเลยงั้นสินะเนี่ย…”

 

“มันไม่ได้หนีนายหายไปไหนหรอก… แล้วถ้าเป็นไปได้ทั้งนายแล้วก็คนรู้จักของนายก็พยายามอย่าเดินทางไปแถวๆ นั้นซะล่ะ… อีกอย่างนึงช่วงนี้นายก็พยายามใส่เครื่องสื่อสารของเอริกะเอาไว้กับหูตลอดเวลาด้วยล่ะ… เอริกะเขาให้นายพกติดตัวเอาไว้อันนึงแล้วใช่หรือเปล่า…?”

 

“เออแฮะ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าเอริกะเขาจะฝากให้อลิซเอามาให้ฉันตอนที่เพิ่งจะเปิดเรียนล่ะมั้ง ส่วนตอนนี้… ก็น่าจะอยู่บนโต๊ะในห้องนอนของฉันนั่นล่ะ”

 

“ถ้าเป็นไปได้ช่วงนี้นายก็พยายามใส่มันเอาไว้ตลอดเวลาหน่อยก็ดี… เพราะฉันคิดว่าหนึ่งในคนที่น่าจะช่วยนายได้มากที่สุดก็น่าใส่เจ้าเครื่องนี้เอาไว้ตลอดเวลาเหมือนกันนั่นแหล่ะ…”

 

“หนึ่งในคนที่จะช่วยฉันได้งั้นหร—”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

ในขณะที่นากากำลังพูดตอบพาเทียซ์กลับไปอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังก้องกังวานขึ้นมาจากทุกทิศทุกทางจนทำให้พื้นน้ำสงบนิ่งที่ล้อมรอบอาณาเขตของคฤหาสน์ถึงกับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

 

“หืม? เสียงเคาะประตูหรอน่ะ?”

 

“อ่า… ดูเหมือนว่าข้างนอกนั่นจะมีคนมาเคาะประตูห้องของนายอยู่น่ะ… แต่ว่าในช่วงเช้าตรู่ของวันเสาร์แบบนี้ฉันเองก็เดาไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นใคร… นายสนใจจะออกไปดูเองหรือเปล่าล่ะ?”

 

“ก็คงจะต้องทำแบบนั้นนั่นแหล่ะ แต่ที่แน่ๆ คือน่าจะไม่ใช่ยัยพรีมูล่าแน่ๆ ล่ะ เพราะว่ายัยนั่นรู้จักคำว่าเคาะประตูซะที่ไหนกันล่ะจริงมั้ย… แต่ว่าเช้าๆ แบบนี้ก็อาจจะเป็นโมโกะหรือไม่ก็คอนแนลมาชวนฉันออกไปเที่ยวล่ะมั้ง ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่อะไรสำคัญนักเดี๋ยวฉันจะบอกปัดไปก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาฝึกในนี้ต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกันนะ”

 

“อื้ม… ถ้างั้นก็หลับตาลงซะ…”

 

พาเทียซ์พยักหน้าตอบนากากลับไปก่อนที่เธอจะสั่งให้เขาหลับตาลง และในชั่วพริบตาที่นากาหลับตาลงไปนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาจับตามเนื้อตัวของเขาและออกแรงฉุดกระชากเขาทะลุพื้นหญ้าใต้ฝ่าเท้าลงไปสู่ความว่างเปล่าเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

 

 

“—!!?”

 

ในขณะที่นาการู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังจมดิ่งลงไปสู่ความว่างเปล่าใต้ผืนดินที่ไร้ก้นบึ้งนั้นเขาก็ได้สะดุ้งเฮือกพร้อมรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่งในทันที ก่อนที่นากานั้นจะได้พบว่าร่างกายของเขายังคงอยู่บนเตียงนอนอย่างปกติดีไม่ได้ร่วงหล่นไปที่ไหนอย่างที่เขารู้สึกเมื่อสักครู่

 

“ให้ตายสิ… พอมีคนมาปลุกก่อนจะถึงเวลาตื่นเองทีไรก็ได้สยองทุกครั้งเลยงั้นสิเนี่ย…”

 

ซึ่งนากาก็ได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาทิ้งไปก่อนที่ทันใดนั้นเองผู้มาเยือนที่หน้าประตูจะเคาะประตูเรียกเขาอีกครั้งหนึ่ง

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“อ—อ่ะ มาแล้วๆ!”

 

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมาเป็นชุดที่สองได้ทำให้นากาต้องรีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือนในทันที และนั่นก็ทำให้เขาได้พบกับอลิซในชุดประจำตัวของเธอที่เป็นชุดเดรสสีดำประดับด้วยลวดลายสีแดงเล็กน้อยที่กำลังยืนกอดยกถือเอกสารจำนวนหนึ่งรอเขาอยู่ที่หน้าประตูห้องนั่นเอง

 

“อ้าว อลิซเองหรอ มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาฉันตอนเช้าแบบนี้น่ะ?”

 

“ขอโทษที่มาปลุกตั้งแต่เช้าๆ แบบนี้ก็ละกัน แต่พอดีว่าวันหยุดสองวันนี้ฉันไม่ค่อยจะว่างก็เลยกะจะมาถามถึงเรื่องที่เราตกลงกันเอาไว้เมื่อตอนอาทิตย์ก่อนว่านายคิดจะเอายังไงกันแน่น่ะ ถ้าเกิดว่านายพร้อมที่จะรับการสอบแล้วก็เอารายชื่อพวกนี้ไปเลือกดูเอาเองได้เลย… เพราะฉันไม่แน่ใจว่าถ้าเกิดฉันเป็นคนเลือกให้เองแล้วมันจะโหดไปหรือว่าอ่อนไปจนไม่คณามือนายกันแน่น่ะ”

 

“เออ—จะว่าไปมันก็ใกล้จะได้เวลาแล้วนี่เนอะ ไหนๆ ขอฉันดูหน่อยสิ”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดของอลิซก็พอจะเข้าใจขึ้นมาได้บ้าง เพราะว่าเมื่อดูจากการสอบครั้งที่ผ่านๆ มาแล้ว ดูเหมือนว่าอลิซจะใช้วิธีสุ่มนักเรียนขึ้นมาหนึ่งคนเสร็จแล้วก็ใช้ความสามารถพิเศษของเธอสัมผัสหาคนที่มีฝีมือใกล้เคียงกันกับนักเรียนคนแรกที่เธอเลือกขึ้นมาเพื่อเป็นคู่สอบให้เขาหรือว่าเธอคนนั้น

 

แต่ว่าวิธีการของอลิซนั้นก็คงจะใช้งานไม่ได้กับนากาที่ไร้ซึ่งพลังวิซในร่างกายแต่ว่าดันมีความสามารถทางด้านวิชาการต่อสู้สูงกว่าเด็กทั่วๆ ไปอยู่บ้างจนทำให้เธอเลือกคู่ต่อสู้ให้กับเขาไม่ถูกนั่นเอง

 

“อืม… มีแต่ตัวโหดๆ ทั้งนั้นเลยนี่…”

 

นากาที่มองดูรายชื่อคู่ต่อสู้ที่อลิซนำมาให้เขาเลือกได้พูดพึมพำออกมาเล็กน้อยเมื่อเขาได้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในรายชื่อที่อลิซหามาให้มีอยู่หลายคนที่เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีฝีมือเก่งกาจอย่างแน่นอนอย่างเช่นเซซิล อัลเบิร์ต ซึบากิ อีกทั้งยังมีชื่อของนักเรียนคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักอย่าง เคนซากิ ที่ถ้าเขาจำไม่ผิดเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากแพนเทร่าที่เคยพูดถามเอริซาเบธขึ้นมาในวันแรกของการเปิดภาคเรียนอยู่อีกด้วย

 

แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของนากาก็กลับมองตรงไปยังรายชื่อสุดท้ายที่ดูเหมือนว่าอลิซจะพยายามซ่อนมันเอาไว้หลังสุดราวกับว่าไม่อยากจะให้เขาเลือกคู่ต่อสู้เป็นคนคนนี้แต่ว่าก็ไม่ได้อยากจะตัดออกไปจากรายชื่อเลยซะทีเดียว

 

“ถ้างั้นฉันขอคู่ต่อสู้เป็นคนนี้ละกัน”

 

“นายแน่ใจแล้วนะว่าจะเลือกคนนี้น่ะ…? ถ้านายคิดจะเลือกคนนี้จริงๆ ฉันก็ไม่ขัดหรอกนะ แต่ว่าในหมู่รายชื่อพวกนี้คนคนนี้นายน่าจะสู้กับเขาได้ลำบากที่สุดแล้วนะ”

 

“อื้ม ถ้าเป็นไปได้ก็เอาคนนี้นี่แหล่ะ! เพราะฉันเองก็กำลังหาโอกาสแบบนี้มาสักพักแล้วเหมือนกัน!”

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิ รู้งี้ฉันน่าจะเลือกให้นายไปเองเลยดีกว่า…”

 

อลิซที่เห็นว่านากาพยักหน้าตอบกลับมาด้วยความมั่นใจได้แต่ต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เธอจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงและหยิบเอากำไลโลหะสีขาววงหนึ่งออกมายื่นให้กับเขา

 

“เอ้านี่ เอริกะเขาฝากมาให้นายน่ะ”

 

“หืม? กำไลงั้นหรอ?”

 

“อื้ม ก็เวลาที่นายจะเรียกดาบออกมามันจะต้องใช้โลหะเป็นวัตถุดิบใช่มั้ยล่ะ เอริกะเขาก็เลยลองคำนวณปริมาณโลหะที่นายจะต้องใช้แล้วก็ทำเป็นกำไลโลหะมาให้นายน่ะ… เอาจริงๆ เอริกะเขาก็ฝากให้ฉันเอามาให้นายได้สักพักนึงแล้วล่ะแต่ว่าฉันยุ่งอยู่กับเรื่องที่โรงเรียนจนไม่มีเวลาเอามาให้นายสักทีน่ะ”

 

“โอ้… อารมณ์แบบว่าเป็นอาวุธสำรองเวลาดาบหลุดมืออะไรแบบนั้นสินะ”

 

“ก็อะไรประมาณนั้น แล้วยังไงตอนวันสอบนายจะพกมันไปเผื่อด้วยก็ได้… เพราะตัวกำไลนั่นมันก็ไม่ได้นับเป็นอาวุธอะไรอยู่แล้ว ส่วนความสามารถในการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบมันก็นับว่าเป็นหนึ่งในความสามารถของนายเหมือนกันเพราะงั้นนายจะใช้มันในการสอบก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”

 

สิ่งที่อลิซพูดขึ้นมาได้ทำให้นากาตัดสินใจที่จะยื่นมือออกไปรับกำไลโลหะสีขาวอันนั้นมาจากอลิซแต่โดยดี และเมื่ออลิซเห็นว่านากายอมรับกำไลโลหะอันนั้นไปแล้วเธอก็จึงใช้โอกาสนี้ในการเอ่ยปากขอตัวขึ้นมาก่อนจะหันหลังกลับแล้วก็เดินจากไปในทันที

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวไปที่โรงเรียนก่อนล่ะ แล้วฉันก็ทำข้าวเช้าเอาไว้ให้พวกนายแล้ว ถ้าอยากจะกินเมื่อกันเมื่อไหร่ก็ไปหยิบเอาจากในครัวเองก็แล้วกัน…”

 

“อ่า ขอบใจมากนะอลิซ… ว่าแต่นี่มันวันเสาร์แล้วเธอจะยังไปที่โรงเรียนอยู่อีกหรอน่ะ?”

 

“พูดมากน่า! นายก็พูดซะอย่างกับว่าฉันอยากจะไปมากนักล่ะ!”

 

อลิซที่ถูกนากาพูดทักได้ขึ้นเสียงตอบเขากลับมาก่อนจะเดินหายไปที่หัวมุมหนึ่งของคฤหาสน์ ส่วนทางด้านนากาที่เพิ่งจะได้รับของเล่นใหม่อย่างกำไลสีขาวและโอกาสที่จะได้ต่อสู้กับเนลเพื่อพิสูจน์ตนเองนั้นก็ตื่นเต้นจนกลับไปนอนต่อไม่ลงแล้ว เขาจึงได้เดินไปทางห้องครัวเพื่อดูว่าคุณแม่อลิซผู้แสนใจดีได้ทำอาหารอะไรทิ้งเอาไว้ให้ทุกๆ คนก่อนจะออกไปทำงานแทน

 

“โอะ วันนี้เป็นแพนเค้กแหะ…”

 

“อ่ะ—กลิ่นอะไรอ่ะพี่นากา? หอมจังเลยอ้ะ~”

 

 

เคร็ง!—เป๊ง!!

 

“ช้าหน่า!!!”

 

ปึ๊ก—

 

“อั้ก—!?”

 

ฟ๊าววว—โคร๊ม!!!

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่นากาและพรีมูล่ากำลังทานแพนเค้กฝีมืออลิซอยู่อย่างสงบสุขนั้น ห่างไกลออกไปทางทิศใต้เองก็ได้มีเสียงของกระบองเหล็กของซัมเมอร์ที่ปะทะเข้ากับหมัดเปล่าๆ ของไคเลอร์เข้าอย่างแรงก่อนที่ทันใดนั้นเองไคเลอร์จะพุ่งหมัดอีกข้างหนึ่งเข้าใส่ที่กลางหน้าท้องของเด็กสาวผมสีทองเข้าอย่างจังจนทำให้ซัมเมอร์ถึงกับกระเด็นปลิวออกไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ริมชายป่าจนมันหักโค่นลงมาในทันที

 

และที่ห่างออกไปไม่ไกลจากการต่อสู้สักเท่าไหร่นักก็มีร่างของสาวใช้ผมสีทองในชุดเครื่องแบบสาวใช้เปิดไหล่กำลังยืนกอดอกขมวดคิ้วมองดูการฝึกซ้อมของทั้งสองคนอยู่ด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจสักเท่าไหร่นักเนื่องจากว่าเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปหยุดฉากทารุณกรรมเบื้องหน้าได้

 

แต่ว่าก่อนที่ฮานะจะอดใจเอาไว้ไม่ไหวและกำลังจะเดินเข้าไปห้ามปราบไคเลอร์นั้นอยู่ๆ ชายกระโปรงของเธอก็ถูกดึงเอาไว้ด้วยฝ่ามือเล็กๆ ของสาวใช้ผมสีดำผู้มีแววตาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาจนดูราวกับตุ๊กตาตัวใหญ่เข้าซะก่อน

 

“……”

 

“เฮ้อ… รู้แล้วล่ะน่านิโคล มันเป็นคำสั่งของหัวหน้าเพราะงั้นห้ามเข้าไปยุ่งใช่มั้ยล่ะ”

 

“……”

 

“แล้วนี่เวลาที่ฉันใช้ปากพูดเธอก็ช่วยใช้ปากพูดตอบกลับมาบ้างไม่ได้หรือไงหือ? ถึงจะบอกว่ามันเป็นคำสั่งของคุณแม่ก็เถอะ แต่พอเธอปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวแบบนี้มันก็ดูเหมือนกับว่าฉันเป็นคนบ้าเลยไม่ใช่หรือไง?”

 

“……”

 

“ปล่อยได้แล้วล่ะน่า ฉันไม่เข้าไปห้ามสองคนนั้นหรอก”

 

ฮานะที่เป็นคนเอ่ยปากพูดอยู่ฝ่ายเดียวได้แต่พูดบ่นออกมาอีกครั้งและแกะมือของนิโคลที่จับชายกระโปรงของเธอเอาไว้ออกไป แต่ว่านิโคลเองก็ยังจ้องมองฮานะด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่ต่อไปอีกสักพัก ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปคว้าชายกระโปรงของฮานะเข้าอีกครั้งเมื่อสาวใช้ในชุดเปิดไหล่ได้หันกลับไปมองทางซัมเมอร์ที่กำลังถูกไคเลอร์ซ้อมจนเละอยู่และทำการขยับตัวเล็กน้อย

 

“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”

 

ฮานะที่ถูกนิโคลคว้าชายกระโปรงเอาไว้อีกครั้งได้แต่ถอนหายใจออกมา แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้หันกลับมาพูดกับนิโคลอีกครั้งก็ได้มีร่างเงาของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากทางด้านหลังและลอยมาเกาะไหล่ของฮานะเอาไว้จนทำให้เธอต้องละความสนใจไปจากสาวใช้ผมดำเสียก่อน

 

“คุณแม่? มีคำสั่งใหม่มาแล้วหรอคะ?”

 

“อื้อ มีรายงานภารกิจมาจากนูลิสน่ะจ้ะ เดี๋ยวแม่จะส่งไปให้พวกหนูเดี๋ยวนี้แหล่ะ”

 

หลังจากที่คุณแม่ของพวกเธอเอ่ยปากพูดเสร็จก็ได้มีข้อมูลจำนวนหนึ่งถูกส่งตรงเข้าไปในหัวของฮานะและนิโคลก่อนที่คุณแม่ของพวกเธอจะพูดอธิบายเสริมออกมาให้พวกเธอทั้งสองคนฟัง

 

“นูลิสที่ไปเฝ้าจับตาดูเด็กหนุ่มคนที่ไคเลอร์เข้าไปยุ่งด้วยที่กราวิทัสบังเอิญไปเห็นการจับกุมครอบครัวของขุนนางตระกูลนึงที่เมืองกราวิทัสเข้าน่ะจ้ะ แล้วนูลิสเขาเห็นว่าทางเมืองกราวิทัสใช้วิธีการที่ค่อนข้างจะโหดร้ายแล้วก็ทารุณกว่าปกติมากเขาก็เลยคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นขุนนางที่ไม่เห็นด้วยกับทางเมืองจนโดนยัดข้อหาเพื่อกำจัดทิ้งน่ะจ้ะ”

 

“แต่ในรายงานนี่เห็นบอกว่าพวกเขาโดนจับขนขึ้นรถแล้วก็เดินทางออกไปทางเมืองรีมินัสด้วยนี่คะ?”

 

“ใช่จ้ะ ถึงพวกเราจะยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงส่งนักโทษของตัวเองไปให้เมืองอื่นแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าคำสั่งของพวกหนูก็คือการไปช่วยนักโทษคนนั้นออกมาแล้วก็ลองสืบดูว่าพวกเขาทำผิดจริงหรือเปล่าอีกที เพราะถ้าเกิดผลออกมาตามที่นูลิสคาดการณ์ไว้ล่ะก็ พวกเราก็อาจจะได้มีกำลังคนเพิ่มด้วยน่ะจ้ะ”

 

“ผู้ชายวัยกลางคนที่มีหูแมวแล้วก็ผมสีม่วงสินะคะ ถ้างั้นก็คงจะต้องรีบออกเดินทางสักหน่อยล่ะมั้งคะ เพราะถ้าเกิดขบวนรถของพวกเขาไปถึงรีมินัสแล้วก็คงจะจัดการชิงตัวมาพร้อมกับปกปิดร่องรอยไปด้วยลำบากอยู่สักหน่อย”

 

“……..”

 

ในขณะที่ฮานะพูดเสนอแผนการชิงตัวนักโทษที่เธอคิดเอาไว้ออกมา ทางด้านนิโคลเองก็ได้เงยหน้าขึ้นไปจ้องมองคุณแม่ของเธออยู่อย่างเงียบๆ จนทำให้ร่างเงาของหญิงสาวได้ลอยตัวไปหานิโคลพร้อมกับยื่นมือขึ้นไปลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน

 

“เรื่องนั้นหนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะนิโคล หัวหน้าเขาเพิ่งจะสั่งให้หนูกับนูลิสแล้วก็พวกเด็กๆ ที่ฮานะไปช่วยมาไปเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ด้วยน่ะจ้ะ”

 

คำพูดของร่างเงาของหญิงสาวที่หันไปพูดกับนิโคลนั้นถึงกับทำให้ฮานะหลุดออกมาจากห้วงความคิดของตัวเองและโพล่งถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจปนดีใจ

 

“แบบนี้หมายความว่าใกล้จะถึงเวลาที่หัวหน้าจะเริ่มแผนการแล้วสินะคะ!?”

 

“ถึงแม่จะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นสักเท่าไหร่… แต่ว่าเรื่องนี้แม่เองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันจ้ะ”

 

ถึงแม้ว่าจะได้ยินคุณแม่ของเธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยก่อนที่ร่างเงาของอีกฝ่ายจะจางหายไปในอากาศแต่ว่าทางด้านฮานะนั้นก็กลับเต็มไปด้วยความดีใจ เพราะนี่มันหมายความว่านับจากนี้ไปเธอจะไม่ต้องทนดูซัมเมอร์ถูกไคเลอร์ซ้อมจนปางตายแทบจะทุกวันอีกต่อไปแล้วนั่นเอง

 

“ท่านไคเลอร์คะ! มีงานที่ต้องการตัวของซัมเมอร์เขาเข้ามาแล้วค่ะ! รบกวนช่วยหยุดการฝึกแล้วก็ให้ฉันพาตัวเขาไปรักษาก่อนด้วยค่ะ!!”

 

“โอ้!!”

 

ไคเลอร์ที่ยืนกอดอกจ้องมองซัมเมอร์ที่กำลังกระอักเลือดอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ นั้นได้ละความสนใจไปจากเด็กสาวในทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเรียกของฮานะ และนั่นก็ทำให้ซัมเมอร์ที่พยายามหาจังหวะในการโจมตีใส่ไคเลอร์ได้ใช้โอกาสนี้ในการพุ่งเข้าไปเหวี่ยงกระบองเหล็กที่มีไฟสีแดงลุกโชนอยู่ของเธอเข้าใส่อีกฝ่ายในทันที

 

“แค่ก— เสร็จหนูล่ะ!!”

 

หมับ—

 

“กระจอกน่า!! เอ้า ทางนั้นรับให้ดีๆ ล่ะ!!”

 

ไคเลอร์ที่หันกลับมาพุ่งมือไปที่ลำคอของซัมเมอร์ได้อย่างสบายๆ นั้นได้แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะออกแรงเหวี่ยงร่างของเด็กสาวพุ่งข้ามหัวของสาวใช้ทั้งสองคนไปอย่างรุนแรง

 

ฟุ๊บ!!

 

“ซัมเมอร์!!?”

 

ฮานะที่กำลังจะเดินเข้าไปทางสนามต่อสู้ได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ร่างของซัมเมอร์ก็ได้พุ่งสวนกลับมาและลอยข้ามหัวของเธอไปด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทัน และนั่นก็ทำให้ฮานะต้องรีบกางปีกแสงผีเสื้อสีฟ้าของเธอออกมาและพุ่งตัวเข้าไปรับร่างของซัมเมอร์เอาไว้กลางอากาศก่อนที่เด็กสาวจะตกลงกระแทกพื้นในทันที

 

“ถ้างั้นก็ถือว่างานของฉันจบลงแค่นี้ก็แล้วกัน! ถึงยัยหนูนี่กับยัยหัวชมพูนั่นจะยังใช้งานอะไรจริงๆ จังไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเอาตัวรอดจากทหารห่วยๆ พวกนั้นได้แล้วแน่ๆ ล่ะ ถ้าเกิดว่ายัยสองคนนี้ไม่ได้สมองพังไปก่อนน่ะนะ”

 

เสียงพูดบอกลาของไคเลอร์ดังขึ้นมาแว่วๆ ให้ฮานะได้ยินจากทางชายป่าทำให้สาวใช้ในชุดเปิดไหล่ถึงกับอดไม่ได้ที่จะตะโกนไล่หลังอีกฝ่ายกลับไปทั้งๆ ที่เธอมองไม่เห็นตัวของไคเลอร์แล้วก็ตามที

 

“พวกเขาจะเป็นแบบนั้นก็เพราะท่านไคเลอร์นั่นแหล่ะค่ะ!! ให้ตายสิ… เธอยังไหวมั้ยซัมเมอร์?”

 

“แค่ก—แค่ก— ห…หัวหน้าเขาสั่งงานมาให้หนูหรอคะพี่ฮานะ…?”

 

“อื้ม… ยังมีเวลาอีกสักพักนึงก่อนจะถึงเวลาเริ่มงานน่ะ เพราะงั้นเดี๋ยวตอนนี้พี่จะพาหนูไปรักษาตัวให้หายดีก่อนนะ”

 

ฮานะพูดตอบซัมเมอร์ที่ดูเหมือนว่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหันทั้งๆ ที่เด็กสาวผมสีทองคนนี้ยังคงมีเลือดไหลทะลักออกมาจากทั้งทางปากและจมูกเนื่องจากอาการบอบช้ำภายในอยู่อย่างต่อเนื่องซะด้วยซ้ำ

 

ซึ่งคำตอบของฮานะนั้นก็ได้ทำให้ซัมเมอร์เผยรอยยิ้มที่ดูน่ากลัวและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเคียดแค้นแบบที่ไม่ควรจะมาปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กสาวอายุแค่ประมาณสิบปีอย่างเธอเลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้างั้นช่วยบอกให้พวกพี่ๆ เขามารักษาให้เร็วๆ หน่อยได้หรือเปล่าคะพี่ฮานะ… เพราะหนูเองก็รอเวลานี้มานานแล้วเหมือนกัน…”