ตอนที่ 103 จิตวิญญาณของนักกิน

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 103 จิตวิญญาณของนักกิน

เยียนอวิ๋นเกอว่างอย่างมาก จึงตกปลาอยู่ริมสระในสวนดอกไม้

องค์หญิงติ้งเถาถูกลุงแท้ๆ ส่งไก่แก่ไปตักเตือน นางย่อมไม่รู้

นางยิ่งไม่รู้ว่าตนเองถูกองค์หญิงติ้งเถาเกลียดมากยิ่งขึ้น

แต่ถึงแม้นางจะรู้เรื่องนี้ นางก็ไม่ใส่ใจ

นางชอบสร้างความโกรธแค้น โดยเฉพาะความโกรธแค้นขององค์หญิงติ้งเถา

ฤดูหนาว ลมพัดผ่านใบหน้า

เยียนอวิ๋นเกอคลุมผ้าผืนหนา สวมหมวก พันผ้าพันคอ คลุมตัวอย่างไว้อย่างมิดชิด

ในอ้อมอกของนางยังมีเตาอุ่นมือ ทำให้ร่างกายอุ่นสบาย

อาเป่ยสวมชุดนุ่นหนา ทำให้ดูตัวบวมราวกับอ้วนขึ้นไม่น้อย

อาเป่ยไม่สามารถเข้าใจความชอบของคุณหนูได้

ตกปลา ตากลม ในฤดูหนาว!

ความชอบที่แปลกประหลาดเสียจริง

จะตกปลาได้หรือ

นางคิดว่าคุณหนูของตนอาจอยากกินปลา จึงวิ่งมาตกปลาริมสระน้ำ

“คุณหนู อากาศหนาว ปลาไม่โผล่มาหรอกเจ้าค่ะ หากคุณหนูอยากกินปลา บ่าวไปซื้อสองตัวมาจากตลาด”

“ชู่ว์!”

เยียนอวิ๋นเกอบอกให้อาเป่ยเงียบ

“หากหนาวเกินก็เข้าไปพักผ่อนในห้องพัก”

อาเป่ยส่ายหน้าระรัว “ข้างตัวคุณหนูไม่มีคนไม่ได้ บ่าวไม่หนาว บ่าวจะเฝ้าคุณหนูเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอไม่บังคับนาง เพียงแค่พูด “หรือไม่เจ้าผลัดเปลี่ยนกับอาสี่”

อาเป่ยพูด “ร่างกายของอาสี่ยังสู้บ่าวไม่ได้ เรียกให้พวกนางออกมาตากลม กลับไปต้องล้มป่วยอย่างแน่นอน ให้บ่าวอยู่เฝ้าคุณหนูดีกว่าเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอนำเตาอุ่นมือให้อาเป่ยอย่างเด็ดขาด

อาเป่ยไม่เอา

เยียนอวิ๋นเกอส่งให้ “ข้าไม่หนาว! เจ้าถือไว้เถิด!”

นางไม่หนาวจริงๆ

นางฝึกฝนการต่อสู้แต่เด็ก ร่างกายแข็งแรง ลมหนาวเพียงเท่านี้ไม่อาจทำอันใดนางได้

หากแต่อาเป่ย ฝึกฝนมาเพียงสองสามปี อีกทั้งคุณสมบัติธรรมดา ไม่อาจเทียบนางได้

อาเป่ยยอมแพ้ต่อลมหนาว นางกอดเตาอุ่นมือเอาไว้ สบายอย่างมาก

ปลาว่ายขยับตัวเล็กน้อย

เอ๊ะ?

หรือว่ามีปลาจริง?

อากาศหนาวเพียงนี้ ยังมีปลาโผล่มากินเบ็ด?

ดูท่าทางปลาที่กินเบ็ดก็เห็นแก่กินเหมือนกัน เพื่อของกิน ไม่กลัวหนาว ไม่กลัวตาย

ฉึบ!

เยียนอวิ๋นเกอออกแรงยกเบ็ดตกปลาอย่างกะทันหัน สะบัดขึ้นฝั่ง

ปลาเฉาหนักห้าถึงหกจินตัวหนึ่งดิ้นอยู่บนพื้น

“ฮ่าๆๆ …”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเสียงดัง “วันนี้ข้าเข้าครัวเอง”

ทางเซียวฮูหยินรู้ว่าเยียนอวิ๋นเกอไปตกปลาที่ริมสระในสวนดอกไม้ด้านหลัง ตำหนิปนหัวเราะ “นางอยู่นิ่งไม่ได้ อากาศหนาวเพียงนี้ ยังวิ่งออกไปตกปลา ไม่กลัวเป็นไข้ ตกได้ปลาหรือไม่”

สาวรับใช้พูด “ตกขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ หนักห้าหกจิน ตอนนี้คุณหนูสี่กำลังเข้าครัวด้วยตนเอง บอกว่าจะทำอาหารที่มีแต่ปลา”

เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “ปลาที่หนักแค่ห้าหกจินจะทำอาหารที่มีแต่ปลาได้อย่างไร อย่างมากก็ทำได้แค่สองถึงสามอย่าง จากที่ข้าดู นางอยากกินเองอย่างเห็นได้ชัด”

สาวรับใช้หัวเราะ “วันนี้ท่านหญิงมีลาภปากแล้ว เพียงแค่คุณหนูสี่อยากกินสิ่งใด ย่อมจะเข้าครัวเอง รสชาติดีกว่าแม่ครัวในห้องครัวใหญ่เสียอีก”

“คำพูดนี้ไม่ผิด” เซียวฮูหยินทำหน้าภาคภูมิใจ

เยียนอวิ๋นเกอมีฝีมือการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่ฝีมือการทำอาหารก็ไม่เลว

เพียงแต่วันปกติ เยียนอวิ๋นเกอไม่ชอบเข้าครัว

มีเพียงเมื่อนางอยากกินอาหารบางอย่างเป็นพิเศษ ถึงจะยอมเข้าครัว

แม่ครัวในห้องครัวใหญ่อยากเรียนทำอาหารกับเยียนอวิ๋นเกอ

เยียนอวิ๋นเกอสอนสองครั้ง เมื่อเห็นแม่ครัวไม่เข้าใจ จับแก่นหลักไม่ได้ นางก็ขี้เกียจสอน

เวลาของนางมีค่ามาก

อย่างไรอาหารที่แม่ครัวทำแม้จะเทียบกับคนที่เก่งกว่าไม่ได้ แต่สามารถเทียบได้กับคนที่ต่ำต้อยกว่า อาหารบางอย่างทำได้อร่อยมาก

หลังจากวุ่นวายอยู่สักพัก ปลาราดน้ำแดงชามหนึ่ง น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาชามหนึ่งถูกจัดใส่จาน

จากนั้นนางผัดผักอีกสองจาน

อาหารมื้อเที่ยงของมารดากับบุตรสองคนในวันนี้มีผักสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง เรียบง่าย แต่รสชาติดีมาก

เหมือนที่สาวรับใช้พูด วันนี้เซียวฮูหยินมีลาภปาก

น้ำแกงเต้าหู้หัวปลามีสีขาวนวล เซียวฮูหยินกินถึงสองชาม

นางพูดกับเยียนอวิ๋นเกอ “น้ำแกงหัวปลาทำได้ดีมาก”

เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “คราหน้าข้าลองทำวิธีอื่น ให้ท่านแม่ได้ลองชิม”

เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “ข้าเห็นระยะนี้เจ้าว่างมาก ไม่ต้องสนใจเรื่องในเรือนพักหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอพูด “ใกล้ปีใหม่แล้ว ในเรือนพักมีเรื่องไม่มาก มีเยียนสุยดูอยู่ ไม่ต้องให้ข้ากังวล”

“การเคลื่อนไหวในราชสำนักระยะนี้ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ฝ่าบาททรงโยกย้ายขุนนางเพื่อกดขี่เถาฮองเฮา กดขี่ตระกูลเถา กดขี่องค์หญิงติ้งเถา แต่ก็เป็นการกดขี่เจ้ากับข้า ซึ่งหมายความว่าพวกเราไม่อาจทำเรื่องที่ไม่จำเป็นได้ ไม่อาจเปิดเผยความจริงที่ติ้งเถาส่งคนมาลอบสังหารเจ้าออกไปได้”

“ข้าเข้าใจ”

เซียวฮูหยินถาม “น้อยใจหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ข้าไม่รู้สึกน้อยใจ หากแต่รู้สึกว่าฝ่าบาททำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ข้าเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง ฝ่าบาททรงต้องมีการเคลื่อนไหวใหญ่เพียงนี้หรือ”

เซียวฮูหยินยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้เคลื่อนไหวใหญ่เพื่อเจ้า หากแต่สงครามทางใต้ไม่ราบรื่น เกรงว่าฝ่าบาทจะมีความคิดแตะต้องตระกูลเถาขึ้นมา”

เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงจิ๊ปากสองที “ฝ่าบาททรงต้องการสังหารตระกูลเถาเซ่นแผ่นดิน สยบสงครามทางใต้? ฝ่าบาททรงโหดเหี้ยมเสียจริง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เพียงแต่สังหารตระกูลเถา เหล่าท่านอ๋องทางใต้ก็คงไม่ถอนกองกำลัง ไม่แน่พวกเขายังจะคิดว่าฝ่าบาททรงกลัว ได้คืบจะเอาศอก”

“ดังนั้นจะกำจัดตระกูลเถาหรือไม่ จะกำจัดตระกูลเถาอย่างไร ขอบเขตนี้ควบคุมได้ยาก ดังนั้นอาศัยโอกาสองค์หญิงติ้งเถากระทำความผิด ลองขีดจำกัดเสียก่อน”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าพลางพูด “ดูท่าทางฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดองค์หญิงติ้งเถานัก”

เซียวฮูหยินเตือน “ระยะนี้เจ้าอยู่สงบเสียหน่อย ก่อนปีใหม่อย่าก่อเรื่อง รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เจ้าไปบุกเบิกที่เรือนพัก เรื่องในเมืองหลวงอย่าเข้ามาแทรกแซงชั่วคราว”

เยียนอวิ๋นเกอเสนอ “ท่านแม่เดินทางไปเรือนพักกับข้าเถิด ทางนั้นนอกจากห่างไกล ไม่สะดวกนักแล้ว ด้านอื่นล้วนดีไม่น้อย”

เซียวฮูหยินส่ายหน้า “ข้าไม่ไปดีกว่า เจ้าลืมแล้วหรือ ท่านอาสองกับท่านอาสะใภ้สองของเจ้ากำลังจะถึงเมืองหลวง เยียนอวิ๋นจือก็มาด้วย ข้าต้องเฝ้าอยู่ในเมืองหลวง รักษาพื้นที่นี้เอาไว้ อีกทั้งยังต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวภายในวัง นอกจากนี้ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงอนุญาตให้ข้าออกจากเมืองหลวง เขากลัวข้าหนี”

“ฮ่องเต้ใจแคบเสียจริง!”

“เขาเป็นคนใจแคบแต่กำเนิด ดังนั้นข้ายังต้องอยู่ในเมืองหลวง ส่วนเจ้าบุกเบิกอย่างวางใจ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ”

“ข้าฟังท่านแม่!”

เดิมทีนัดกับพี่สองไว้ จะไปอยู่จวนองค์ชายสองสักสองวัน

แต่สถานการณ์ในเวลานี้ เกรงว่าจะไปไม่ได้แล้ว

เยียนอวิ๋นเกอทำได้เพียงเขียนจดหมายให้พี่สอง อธิบายอย่างชัดเจน

เยียนอวิ๋นฉีได้รับจดหมายของน้องสาว เมื่ออ่านเนื้อหาจบ อดที่จะเสียดายไม่ได้

เดิมทีนางอยากอาศัยช่วงที่ดอกเหมยแบ่งบาน เชิญน้องสาวมาจวน

เวลานี้ทำได้เพียงยกเลิกแผนการ

องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินถามนาง “น้องสี่เจ้ามาไม่ได้แล้วหรือ”

“องค์ชายทรงคาดเดาได้แล้วมิใช่หรือ” เยียนอวิ๋นฉีถามอย่างตรงไปตรงมา

เซียวเฉิงเหวินยิ้มบาง “เวลานี้ น้องสี่เจ้าอยู่ในจวนองค์หญิงอย่างสงบดีที่สุด ฤดูหนาวนี้ นางดึงดูดความสนใจมากเกินไปแล้ว หากเกิดเรื่องใดขึ้นอีก จะไม่ดีต่อทุกคน ยกเว้น…”

“ยกเว้นอันใด”

“ยกเว้นนางจะเปลี่ยนฐานะ”

“ท่านหมายความว่าให้น้องสี่ของหม่อมฉันออกเรือน เหลวไหล น้องสี่ของหม่อมฉันอายุยังน้อย จะออกเรือนได้อย่างไรเพคะ”

เซียวเฉิงเหวินหันกลับไปมองเยียนอวิ๋นฉี “ดังนั้นข้าจึงบอกว่านางไม่ควรออกจากจวน ไม่อาจดึงดูดความสนใจได้อีก ความสนใจมากเพียงนี้ สำหรับคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนไม่ใช่เรื่องดี เจ้าน่าจะเข้าใจเหตุผลนี้มากกว่า”

เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้ว “น้องสี่ไม่ได้ทำเรื่องใดผิด ปลูกผักในฤดูหนาวเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองและประชาชน สามารถทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้น แต่ว่าบนแผ่นดินนี้ไม่อาจยอมรับคนแบบน้องสี่ได้ คนที่ดีกลับถูกบังคับไม่ให้ออกจากจวนได้”

“เจ้ากำลังร้องทุกข์กับข้าหรือ”

เยียนอวิ๋นฉีส่ายหน้า “หม่อมฉันกำลังร้องทุกข์แผ่นดินนี้ ร้องทุกข์ราชสำนักนี้เพคะ”

เซียวเฉิงเหวินมองฟ้า หัวเราะออกมา “แผ่นดินนี้เป็นเช่นนี้เสมอมา เจ้าควรดีใจ น้องสี่ของเจ้ามีบิดามารดาคุ้มครอง ทำให้คนบางคนต้องเกรงกลัว มิฉะนั้น นางคงถูกกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว”

เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้ว มองเขา “องค์ชายเห็นด้วยกับการกระทำของราชสำนักหรือ เมื่อเห็นชอบสิ่งใดก็แย่งชิงมา เพียงแค่ปล้นมายังไม่พอ ยังต้องทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นซาก?”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “ก่อนที่เจ้าจะซักถามข้า เหตุใดไม่ลองนึกถึงประวัติของตระกูลเยียน ราวกับว่าพวกเจ้าก็ไม่อาจหลีกหนีจากการปล้น ไม่อาจหลีกหนีจากการฆ่าคนปิดปาก บนแผ่นดินนี้ ผู้แข็งแกร่งย่อมรักงาน เป็นเช่นนี้เสมอมา

เจ้ารู้สึกไม่เป็นธรรมแทนน้องสี่ของเจ้า ข้าเข้าใจได้ แต่หากพูดตามจริง น้องสี่ของเจ้ามีความสามารถไม่เพียงพอ ผู้อื่นถึงกล้าโจมตีนางอย่างไม่เกรงกลัว แต่ว่า วิกฤตทั้งสองครั้งนางล้วนหลีกเลี่ยงได้อย่างราบรื่น แสดงว่านางมีความสามารถในการปกป้องตนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังมีสิ่งใดต้องกังวล

พู่กันของขุนนางในราชสำนักไม่อาจกำจัดนางได้ มีดดาบของมือสังหารไม่อาจกำจัดนางได้ หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะดีใจอย่างมาก! ถึงแม้จะมีสักวัน น้องสี่ของเจ้าหลุดพ้นจากการปกป้องของตระกูล นางก็สามารถอยู่รอดในแผ่นดินนี้”

คำพูดนี้มีเหตุผลอย่างมาก แต่ก็แสดงออกถึงความเย็นชา

เยียนอวิ๋นฉีก้มหน้า ยิ้มเยาะเย้ยตนเอง

นางควรเข้าใจ เซียวเฉิงเหวินไม่เคยสนใจความเป็นความตายของผู้อื่น

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเป็นคนที่ตื่นตัวที่สุด อีกทั้งเป็นคนที่เย็นชาที่สุด

เยียนอวิ๋นฉีมองเขา “ท่านว่าฝ่าบาทจะทรงแตะต้องตระกูลเถาหรือไม่”

เซียวเฉิงเหวินยกชาขึ้นมาจิบ เขาต้องการความอบอุ่น

เขายิ้มให้เยียนอวิ๋นฉี “ตระกูลเถาตายหรือไม่ มีผลกระทบกับข้าหรือ”

“ตระกูลเถาเป็นตระกูลของเสด็จแม่ท่าน ท่านไม่กังวลแม้แต่น้อยหรือ” ตัวของเยียนอวิ๋นฉีสั่นเทา รู้สึกหนาว

เซียวเฉิงเหวินยิ้ม “ตระกูลเถามาจากตระกูลเล็กที่ไร้ชื่อเสียงจนกระทั่งร่ำรวยและสูงส่ง ยังมีสิ่งใดไม่พอใจอีก”

เยียนอวิ๋นฉีหัวเราะเสียงดัง “หากท่านเป็นฮ่องเต้ คนแรกที่จัดการย่อมคือตระกูลเถา ท่านจะจบสิ้นความร่ำรวยและสูงส่งของตระกูลเถาด้วยมือของตนเอง”

เซียวเฉิงเหวินเงยหน้ามองนาง ดวงตามีรอยยิ้ม “เจ้าฉลาด!”

“ทำปลาราดน้ำแดงกิน จากนั้นทำน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา”

เดิมทีนางอยากทำหัวปลาราดพริก แต่นึกขึ้นได้ว่าเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่สามารถกินเผ็ดได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนความคิด ทำน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา

อาเป่ยแอบบ่นภายในใจ คุณหนูอยากกินจึงวิ่งมาตกปลาท่ามกลางลมและหิมะ

นางหิ้วปลา สะบัดสองที ปลาตัวนั้นสลบไป

จากนั้นวิ่งไปในห้องครัวอย่างดีใจ

“อาสี่เตรียมของ!”

อาสี่มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร เรื่องในห้องครัว เยียนอวิ๋นเกอล้วนมอบหมายให้อาสี่