ตอนที่ 93 คุณชายถงผู้ทำตัวแปลกประหลาด (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 93 คุณชายถงผู้ทำตัวแปลกประหลาด (3)

ทั้งสองบรรเลงเพลงรักกันอย่างหนักหน่วง คนที่อยู่ด้านบนขยับอย่างแรง ทำให้รถม้าสั่นสะเทือนไปด้วย

ในเวลาเดียวกันที่หัวใจของหวังเสี่ยวเหลยเต้นแรง รถม้าที่อยู่ภายใต้การกระทำที่ดุเดือด ก็สั่นไหวแรงขึ้น คล้ายจะระเบิดออก

จางเกินเป่าร้องด้วยความสุขสม สตรีที่อยู่ด้านหลังก็ร้องด้วยความสุขสมราวกับไปถึงจุดสุดยอด

หวังเสี่ยวเหลยดึงสติกลับมาเพราะการเคลื่อนไหวที่รุนแรง หมุนตัวหันหลังอย่างทำตัวไม่ถูก เดินกลับไป

ทั้งสองเดินไปด้วยสีหน้าสงสัย ทว่ากลับมาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ รถม้านั้นยังอยู่ที่นั่นและสั่นไหวไม่หยุด

ร่วมกับ เสียงเมื่อครู่ดังมาก มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในรถม้า คิดไม่ถึงว่าจางเกินเป่าที่ดูซื่อๆ ลับหลังกลับทำเรื่องบัดสีเช่นนี้ได้

ร่วมรักกลางป่า ช่างน่าสนุกเสียจริง!

ใบหน้าของหวังเสี่ยวเหลยและอวิ๋นเหนียงจื่อแดงมาก ทว่าจวี๋เหนียงดันเป็นคนที่ไหวตัวช้า นางถามด้วยความจริงจัง “พวกเจ้าทั้งสองเห็นอะไรกันแน่ เจอผีหรือไง ทำไมไม่พูดจา…”

หวังเสี่ยวเหลยไม่ตอบ เพียงแค่จูงวัว ใบหน้าของเขาแดงไปจนถึงหู จากนั้นก็เดินหน้าไปต่อ

ตอนแรกอวิ๋นเหนียงจื่อเอียงอายที่จะหัวเราะ ทว่าในตอนหลังกลับหัวเราะเสียงดัง

นางเป็นคนพูดมาก เมื่อประหม่าไปพักหนึ่ง แน่นอนว่าต้องกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เล่าเรื่องที่พบเจอเมื่อครู่ ทั้งยังใส่สีตีไข่เล่าอย่างสนุกปาก ไม่สนใจว่าเสี่ยวเหลยที่จูงวัวอยู่นั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงานจะรับได้หรือไม่

“อาซ้อจางจับตาดูสามีตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่ากลับถูกผู้อื่นขโมยไป…”

“แม่นางคนนั้นเป็นใคร” จวี๋เหนียงสงสัยอย่างมาก แม่นางคนนั้นช่างใจกล้าเสียจริง

“น่าเสียดาย เมื่อครู่มองเห็นไม่ชัด มัวแต่มองบั้นท้ายเปลือยเปล่าของจางเกินเป่า”

“เจ้าคนลามก กลับไปขอให้ตากุ้งยิง”

“ถุยๆๆ! อัปมงคลนัก…”

หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะและดูแคลน นึกถึงแววตาเสมือนลำแสงเอกซเรย์ของอาซ้อจาง รู้สึกไม่สบายใจ

นางไม่อยากสร้างปัญหา ดังนั้นจึงกำชับอวิ๋นเหนียงจื่อไม่ให้พูดออกไป

อวิ๋นเหนียงจื่อชะงัก นึกถึงนิสัยใจคอของอาซ้อจาง หากเรื่องนี้ออกไปจากปากนาง สตรีที่ให้ความสำคัญกับสามียิ่งกว่าสวรรค์คงต้องมาดักรอนางที่เรือน ถามให้รู้ว่าหญิงโฉดคนนั้นเป็นใคร

สุดท้ายไม่แน่ว่าอาจจะก่อความวุ่นวายถึงร้านอาหาร นางก็จะต้องเสียงานที่ได้มาด้วยความยากลำบาก ดังนั้นจึงข่มความสนุกเอาไว้ แล้วพยักหน้าด้วยความหนักแน่น

อวิ๋นเหนียงจื่อรับปากแล้ว แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงจวี๋เหนียง พลางพูดต่อไปว่า “เรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ แค่ฟังก็รู้สึกสกปรก ข้าคร้านจะพูดกับคนอื่น รนหาเรื่องใส่ตัว”

หวังเสี่ยวเหลยพยายามพูดอยู่นานกว่าจะพูดออกมาได้ “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งกลับถึงเรือน อาอู่ก็กลับมาถึง

เจ้าของหุบเขานั้น พักอยู่ในป่าด้านหลังหุบเขา เพียงแต่ด้านหน้ามีต้นไม้มากมายดังนั้นจึงมองไม่เห็นเรือนง่ายๆ ก็เท่านั้น

มั่วเชียนเสวี่ยโล่งอก พรุ่งนี้จะไปที่เรือนหลังนั้น ไปหาเจ้าของที่ดิน ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อกับคนเฝ้าเรือน

จางเกินเป่ากลับเรือนดังเช่นที่ผ่านมา อาซ้อจางเห็นบางอย่างผิดปกติ ล้อของรถม้าเพิ่งไปซ่อมมาเมื่อไม่นานมานี้ เหตุใดวันนี้จึงหลวมอีกแล้ว

จากนั้นมองสีหน้าของเขา นางยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ

ดมกลิ่นเสื้อของสามีตน นางได้กลิ่นจิ้งจอก!

ทำท่าครุ่นคิด นางรู้สึกใจคอไม่ดี จึงวิ่งไปที่หน้าบ้านอาซ้อกุ้ยฮวาแล้วด่าทอ เห็นกุ้ยฮวาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ทำหน้ากลั้นร้องไห้ จึงหมุนตัวหันหลัง กลับเรือนของนางด้วยความอิ่มเอมใจ

อีกประมาณหนึ่งเดือนกว่าก็จะถึงปีใหม่แล้ว คืนนี้ด้านนอกมีหิมะลูกใหญ่

ในค่ำคืนที่มืดมิด ภายในห้องข้าง

“อาอู่ สืบรู้หรือยัง เจ้าของหุบเขานั้นเป็นใครกันแน่”

“เรียนเจ้านาย ดูจากเครื่องแต่งกายของพวกเขา เหมือนจะเป็นตระกูลถงที่เกษียณออกจากเมืองหลวงเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน”

“ตระกูลถง? ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง ตระกูลถงนั้น?”

“ขอรับ”

“เหตุใดเขาจึงเกษียณแล้วไปอยู่ที่นี่”

“ข้าเองก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกันขอรับ ไม่สามารถเข้าใกล้เรือนนั้นได้แม้แต่น้อย เป็นเพราะเมื่อก่อนตอนอยู่ในเมืองหลวงข้าน้อยเคยรู้จักผู้คุ้มกันของตระกูลถง รู้จากปากผู้คุ้มคนนั้นเพียงเท่านี้ และการตกแต่งโดยรอบเรือน ทั้งยังได้ยินจากนายพรานที่อยู่ระแวกนั้น ได้ยินว่าเจ้าของเรือนแซ่ถง จึงเดาออกว่าพวกเขาเป็นใคร”

“หัวหน้าตระกูลถงในอดีตน่าเกรงขามยิ่งนัก จนถึงรุ่นของเขามีทายาทเพียงคนเดียวมาสามรุ่นแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้บุตรชาย ทว่ากลับป่วย ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยมีใครพบเจอคุณชายถงมาก่อน ไม่รู้ว่าคุณชายถงป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่”

“เจ้านายโปรดลงโทษ อาอู่จะไปสืบอีกรอบขอรับ” อาอู่ได้ฟังคำพูดของนาย ลุกขึ้นมาแล้วจะออกไปสืบอีกครั้งทันที

“กลับมา!” หนิงเซ่าชิงร้องเรียกอาอู่ แล้วพูด “หากเจ้าเข้าไปใกล้จริงๆ เกรงว่าตอนนี้คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว ในอดีตหัวหน้าตระกูลถงประหารสตรีและอนุภรรยาทั้งตระกูล โยนศพลงในหลุม ไม่ให้คนไปเก็บ ความโหดเหี้ยมนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังถูกพูดถึงไปทั่วเมืองหลวง”

อาอู่รายงาน “ได้ยินว่าเป็นเพราะอนุภรรยาเหล่านั้นก่อความวุ่นวาย จึงทำให้ฮูหยินของเขาตายจากไป บุตรชายก็เจ็บป่วยตั้งแต่เล็ก”

“เจ้าคิดว่าฮูหยินมีความเป็นไปได้มากน้อยเท่าใดที่จะซื้อหุบเขาลูกนั้นได้”

“บริเวณนั้นด้านหลังเป็นหุบเขา ด้านหน้ามีต้นไม้มากมายพรางตัวไว้ ด้านหน้าต้นไม้ใหญ่มีหุบเขาว่างเปล่า หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงก็จะเผยออกมาให้เห็นจนหมด นี่เป็นป้อมปราการธรรมชาติอย่างแท้จริง ข้าน้อยกล้าพูดว่าความเป็นไปได้ที่ฮูหยินจะซื้อหุบเขานั้นได้เป็นศูนย์ขอรับ”

“อืม”

“เช่นนั้น…พรุ่งนี้ข้าน้อยต้องพาฮูหยินไปหรือไม่ขอรับ”

“ไปพักเถอะ! พรุ่งนี้เช้าพาฮูหยินไปตามคำสั่งของนาง ฮูหยินของพวกเจ้าหัวรั้นยิ่งนัก คาดว่าไม่ชนกำแพง ไม่หมดหนทาง นางคงไม่มีวันย้อนกลับ”

“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลาขอรับ”

“อาซาน เจ้าไปบอกลุงอวี๋ ให้เขานำเงินมาและพูดคุยกับฮูหยินเรื่องร่วมทำการค้าเปิดโรงงานซีอิ๊ว”

“ขอรับ”

ตอนเช้าตื่นขึ้นมา บนพื้นมีหิมะกองหนา

มองมั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้อาอู่ขับเกวียนออกมา หนิงเซ่าชิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

เป็นครั้งแรกที่เขาเจ็บใจ เหตุใดสตรีอื่นถึงอยู่เรือนกับสามีและคอยอบรมสั่งสอนลูก แต่นางกลับต้องไปด้านนอกทุกวัน

เขาเคยเกลี้ยกล่อม เคยห้าม ทว่า ล้วนไร้ประโยชน์

ความรู้สึกของเขาไม่มีวันผิด นางไม่ใช่คนที่รักเงิน ชีวิตของนางก็ไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย นิสัยของนางก็ไม่ใช่คนโอ้อวด แต่เพราะเหตุใด นางกลับกระตือรือร้นในการหาเงินเช่นนี้

หรือว่า…

นางมีเรื่องในใจที่ยากจะพูด?

คราวก่อน ตอนที่อาซานกับอาอู่มา ลุงอวี๋ให้พวกเขานำเงินมาคนละพันตำลึง เขาแสร้งบอกว่าเป็นเงินที่นำออกมาจากเรือนตั้งแต่เมื่อก่อน แล้วเอาให้นางทั้งหมด

แต่ก็ไม่เห็นนางเอาไปใช้…

หนิงเซ่าชิงไม่เข้าใจ เขาอยากจะเปิดใจคุยกับนางอย่างตรงไปตรงมา

อาจบางทีเขาควรบอกนางเสียทีว่าแม้เขาจะตกที่นั่งลำบาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว