ตอนที่ 83 ความกังวลใจของพ่อโจว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 83 ความกังวลใจของพ่อโจว

ผู้คนต่างพากันเยาะเย้ยให้กับความโง่เง่าของอู๋จินกุ้ยและลูกชายคนโตที่ได้ขับไล่เทพแห่งความมั่งคั่งอย่างหลินม่ายออกจากบ้านไป

พวกเขาบอกหลินม่ายว่าเธอกลับมาช้าเกินไป เพราะโจวฉายอวิ๋นถูกสามีไล่ออกจากบ้านไปเมื่อเดือนก่อน

เธอจะต้องเดินทางไปที่บ้านพ่อแม่ของโจวฉายอวิ๋นต่อเพื่อพบหล่อน

หลินม่ายถามเส้นทางการไปบ้านครอบครัวโจวเรียบร้อยก็ขับรถแทรกเตอร์ออกเดินทางไปที่นั่น

ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มไปด้วยสายฝนของฤดูใบไม้ผลิ วันนี้มีฝนตกปรอย ๆ เสื้อกันฝนจึงถูกนำออกมาใช้งาน

โจวฉายอวิ๋นที่อยู่ระหว่างการเก็บผักจากแปลงผักกลับบ้านหันมามองผู้มาเยือนด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง หลินม่ายที่อยู่ในชุดเสื้อกันฝนทำให้เจ้าบ้านจำเธอไม่ได้อยู่สักพัก

หญิงสาวขับรถแทรกเตอร์วนไปด้านหน้าของอีกฝ่าย ลดหมวกของเสื้อกันฝนที่สวมอยู่ลงแล้วยื่นหน้าออกไปให้มองให้เห็นได้ชัด ๆ แกล้งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความผิดหวัง “ไม่นะ พี่ฉายอวิ๋น ถึงพี่จำฉันไม่ได้ แต่ฉันไม่เคยลืมพี่เลยนะ”

ในตอนนั้นเองสีหน้าของโจวฉายอวิ๋นก็เกิดความประหลาดใจปะทุขึ้นมา บ่งบอกว่าหล่อนจำได้แล้วว่าเป็นหลินม่าย “ม่ายจื่อ เธอมาทำอะไรที่นี่”

“ฉันก็ต้องตามหาพี่น่ะสิ”

หลินม่ายมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้

จากนั้นจึงหยิบเอาธนบัติสิบหยวนสามใบออกมาจากตัวส่งให้คนอายุมากกว่า “ฉันให้พี่เก็บไว้ใช้ส่วนตัว อย่าไปบอกใครนะ”

โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็รีบส่งมันคืนเจ้าของในทันที “เอาเงินมาให้ฉันทำไม ไม่ต้องหรอก !”

“ตอนฉันโดนไล่ออกจากบ้านอู๋ พี่ก็เป็นคนช่วยฉันเอาไว้ ฉันจะโกรธนะถ้าพี่ไม่ยอมรับน้ำใจจากฉัน”

แต่โจวฉายอวิ๋นกลับโบกมือไปมาและตอบปฏิเสธ “อย่าคิดเป็นบุญคุณอะไรกันเลย เงินนี่ก็ไม่ต้องหรอกน่า”

ขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงของการสนทนาก็มีเด็กชายอายุประมาณ 7-8 ขวบวิ่งเข้ามา

เด็กน้อยพูดกับโจวฉายอวิ๋นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “ อา! แม่กำลังรอให้อากลับไปช่วยให้อาหารหมู แต่ทำไมยังมายืนคุยกับคนอื่นอยู่ที่นี่อีกล่ะ”

หลังจากเด็กน้อยเดินจากไป โจวฉายอวิ๋นก็ส่งยิ้มเจื่อนให้หลินม่ายอย่างเชื่องช้า “นั่นลูกของพี่ชายฉันเอง เขายังไม่รู้เรื่องอะไร แถมยังไม่รู้จักวิธีที่จะพูดกับผู้ใหญ่ให้ดีอีก”

หลินม่ายเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ทำไมเธอถึงจะไม่รู้ว่าพี่ชายและหลานของโจวฉายอวิ๋นมองหล่อนยังไง ไม่ต่างอะไรกับที่ตนเคยพบเจอจากครอบครัวของอดีตแม่สามี

ถ้าครอบครัวปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดี มีหรือเด็กคนนั้นจะกล้าใช้คำพูดไม่มีกาลเทศะกับคนเป็นอาได้ขนาดนั้น

เด็กน้อยที่เปรียบเหมือนผ้าขาวไม่มีทางจะมีกิริยาวาจาแบบนั้นได้เอง ถ้าไม่ได้จำมาจากพวกผู้ใหญ่แล้วทำตาม

หลินม่ายต้องการคนมาช่วยทำงานอยู่แล้ว และเห็นว่าครอบครัวของโจวฉายอวิ๋นไม่ได้ปฏิบัติกับคนเป็นพี่อย่างดีนัก จึงได้เอ่ยชวนให้อีกฝ่ายไปทำงานด้วยกัน

เธอไม่ได้เอาเหตุผลเรื่องครอบครัวของหล่อนมาโน้มน้าวใจ เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อจิตใจของโจวฉายอวิ๋น “ในเมื่อพี่ไม่ยอมรับเงินจากฉัน ก็เปลี่ยนเป็นมาทำงานด้วยกันดีไหมคะ ไม่ต้องจ่ายค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน รายได้ 30 หยวนต่อเดือน ถ้ายอดขายดีก็จะมีส่วนแบ่งเพิ่มให้อีกนะ”

แม้โจวฉายอวิ๋นจะย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ได้เพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่ถูกสามีไล่ออกมา แต่เพราะว่าหล่อนเป็นคนที่มีบุตรยาก จึงทำให้การแต่งงานใหม่ดูจะเป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้หมู่บ้านแห่งนี้ยังเริ่มมีคนเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น ในขณะที่ที่ดินมีไม่เพียงพอ หลังจากการทำสัญญาครัวเรือนเข้าสู่นารวมแล้ว ครอบครัวโจวก็มีที่ดินทำกินน้อยลงไปอีก

ครอบครัวโจวที่ลำบากเพราะเรื่องที่ดินทำกินอันน้อยนิดก็แย่พออยู่แล้ว เมื่อลูกสาวที่เคยแต่งงานออกไปแล้วย้ายกลับเข้ามา จึงยิ่งทำให้โจวฉายอวิ๋นถูกพี่ชายและพี่สะใภ้ดูถูกเอาอีก

แม้พ่อกับแม่จะรู้สึกเสียใจกับหล่อน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร ซ้ำยังบอกให้หล่อนกลับไปที่บ้านสามี เพราะกลัวจะเป็นการขายหน้าวงศ์ตระกูล ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไรสำหรับโจวฉายอวิ๋น

แม้จะต้องอยู่ที่นี่ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจในทุก ๆ วัน แต่โจวฉายอวิ๋นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน เพราะหล่อนก็ไม่รู้ว่านอกจากที่นี่แล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก

ในตอนนี้ที่หลินม่ายเข้ามาเสนอทางออกไปจากชีวิตแบบนี้ให้ แถมยังมีงานให้ทำอีก ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่โจวฉายอวิ๋นจะปฏิเสธข้อเสนอนี้

“เยี่ยมไปเลย ฉันจะกลับไปบอกพ่อแม่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ แล้วก็เก็บของไปกับเธอเดี๋ยวนี้” หญิงสาวกล่าวตอบด้วยความยินดี

โจวฉายอวิ๋นกลับไปที่บ้านซักพัก ไม่นานเธอก็พาพ่อและพี่ชายกลับมาด้วย

คนอายุมากกว่าแค่นยิ้มเชิงขออภัย “พ่อกับพี่ชายของฉันอยากให้ชวนเธอไปที่บ้านของเราหน่อย”

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์เข้าไปจอดที่หน้าประตูบ้านโจว ก่อนจะเข้าไปข้างในพร้อมโจวฉายอวิ๋นและครอบครัว

เพราะวันนี้มีฝนตก สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดจึงรวมกันอยู่ภายในบ้าน

แม่และพี่สะใภ้ของโจวฉายอวิ๋นดูกระตือรือร้นเมื่อได้พบกับหลินม่าย พวกเขาเชิญให้เธอนั่งลงและรับแขกด้วยน้ำหวานจากน้ำตาลทรายแดง

หลินม่ายยิ้มรับและกล่าวขอบคุณพวกเขาอย่างสุภาพ

หลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่กันครบแล้ว พ่อโจวก็เปิดประเด็นขึ้นว่า “ฉายอวิ๋นเล่าให้ฟังว่าเธอต้องการพาหล่อนเข้าเมืองเพื่อไปทำงานด้วยจริงเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้ารับ “หรือว่า คุณไม่เห็นด้วยเหรอคะ”

พ่อโจวยิ้มตอบ “ทำไมจะไม่เห็นด้วยล่ะ…ติดแต่ว่าพวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอเท่าไร”

พอเริ่มเข้าเรื่อง สีหน้าของคนเป็นพ่อก็แสดงความกังวลออกมา “อย่าหาว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ฉันแค่กลัวว่าฉายอวิ๋นจะถูกหลอกพาตัวไปขาย อะไรแบบนั้น”

“อย่าหาว่าฉันอคติ หรือคิดมากไปเลย สองสามปีที่ผ่านมาสังคมเริ่มอยู่ยากขึ้นทุกวัน มีคนไม่ดีเต็มไปหมด เมื่อสองเดือนก่อน มีผู้ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านออกไปทำงานแล้วก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย หลังจากนั้นก็โดนเจอว่ากลายเป็นศพอยู่แถวชานเมือง จนตอนนี้ก็ยังจับคนร้ายไม่ได้เลย”

แม้โจวฉายอวิ๋นจะถูกคนที่บ้านปฏิเสธตอนที่กลับมาขออยู่ด้วย ซ้ำยังรู้สึกอับอายกับการกลับมาของหล่อน และคิดว่าหล่อนมาเป็นภาระของพวกเขา

แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้อยากให้ลูกสาวไปเจอกับเรื่องร้าย ๆ อีก

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา “ฉันเข้าใจความกังวลของพวกคุณค่ะ ฉันเป็นคนสนิทของคุณปู่ฟางจากเมืองซื่อเหม่ย จะให้ท่านเป็นคนรับประกันความปลอดภัยของพี่ฉายอวิ๋นให้ก็ได้ คุณคิดว่าไงคะ”

คุณปู่ฟางเป็นคนที่มีชื่อเสียงในพื้นที่นี้ พอบอกว่าท่านจะเป็นคนรับรองให้ พ่อแม่โจวก็วางใจมากขึ้นเรื่องความปลอดภัยของลูกสาว

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์พาโจวฉายอวิ๋น กลับไปที่เมืองซื่อเหม่ยพร้อมพ่อและพี่ชายของเธอ

คุณปู่ฟางไม่เพียงแต่ออกปากรับรองด้วยตัวเอง แต่ยังมีเจ้าหน้าที่จากกองทหารมาช่วยรับรองด้วยอีกคน ทำให้พ่อและพี่ชายของโจวฉายอวิ๋นโล่งใจ

เมื่อรู้ว่าหลินม่ายจะยังไม่พาโจวฉายอวิ๋นกลับไปในเมืองด้วยกันจนกว่าฝนจะหยุดตก พ่อโจวจึงเอ่ยชวนหญิงสาวให้ไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านเป็นการขอบคุณ

แต่หลินม่ายต้องบอกปฏิเสธ “พรุ่งนี้ฉันมีธุระต้องทำต่อน่ะค่ะ แต่ว่าฉันจะกลับไปรับพี่ฉายอวิ๋นที่บ้านคุณลุงทันทีที่ฝนหยุดแล้วจะไปกินอาหารด้วยในวันนั้นแทนนะคะ”

ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาสี่วัน กว่าที่ท้องฟ้าจะกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง

ในช่วงสี่วันที่ผ่านมา หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ไปซื้อไข่หลายพันฟองในราคาฟองละสามเฟินและยังได้แป้งมาอีกหลายร้อยชั่ง

นอกจากนี้ยังมีน้ำมันสำหรับปรุงอาหารและข้าวสาร

หญิงสาวเลือกซื้อผักกาดเขียวดองมา 10 ไห

จ่ายเงินค่ามัดจำสำหรับซื้อผักดองทั้งหมด

เธอซื้อผักกาดเขียวดองเพื่อใช้ทำซาลาเปาไส้ซึงฉ่าย เพราะมันช่วยปรับรสชาติของซาลาเปาให้อร่อยขึ้นมาก

ฝนหยุดตกในวันที่ห้า ดอกไม้บานสะพรั่งอวดสีสันสดใส ต้นหญ้าเขียวขจี อากาศก็เย็นสดชื่นเหมือนอยู่บนยอดเขา

แม้แต่พวกนกก็พากันส่งเสียงร้องขับขาน ต้อนรับวันแสนสดใสที่ทุกคนต่างเฝ้ารอ

หลังมื้อเช้าหลินม่ายจะพาโต้วโต้วไปรับโจวฉายอวิ๋นมาจากบ้านพ่อแม่แล้วกลับเข้าเมือง

คุณปู่คุณย่าฟางช่วยกันจัดวางไข่ แป้ง น้ำมันปรุงอาหาร ข้าวสาร และเพ่าฉ่ายลงบนรถแทรกเตอร์

เมื่อเพื่อนบ้านเห็นเข้าก็อาสาเข้ามาช่วย

ในตอนนั้น อู๋เสี่ยวเถาที่ถือตะกร้าใบเล็กไว้ในมือก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

หล่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ จนพบกับหลินม่าย

“หนูจ๊ะ กำลังมองหาใครอยู่หรือเปล่า” คุณย่าฟางที่ไม่รู้จุดประสงค์ของหล่อน จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความใจดี

อู๋เสี่ยวเถามองไปทางหลินม่ายแล้วกล่าวตอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ฉัน…มีเรื่องอยากจะคุยกับพี่สะใภ้หน่อยค่ะ”

“พี่สะใภ้ ?” คุณย่าฟางสบสายตากับหล่อนแล้วหันไปทางหลินม่าย ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ เลยถามต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เธอเป็นน้องสาวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนงั้นเหรอ”

อู๋เสี่ยวเถาพยักหน้าแทนคำตอบ

สีหน้าของคุณย่าฟางเปลี่ยนไปทันทีที่รู้คำตอบ “ม่ายจื่อไปเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ชายของเธอ ถึงได้มาเรียกว่าพี่สะใภ้ ฉันขอเตือนเธอไว้ก่อนเลยนะ อยากจะไปกินขี้ที่ไหนก็ไป แต่อย่ามาส่งเสียงน่ารำคาญที่นี่!”

เพื่อนบ้านสองสามคนที่กำลังฟังอยู่ถึงกับหัวเราะออกมา

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ฉายอวิ๋นมีงานทำแล้วก็ดีนะคะ จะได้หลุดพ้นจากครอบครัวนรกเสียที

เสี่ยวเถามาทำอะไรอีกล่ะ หล่อนเป็นคนเอาเรื่องที่อยู่ม่ายจื่อไปบอกบ้านนั้นยังจะกล้าเสนอหน้ามาอีกเหรอ

ไหหม่า(海馬)