ตอนที่ 107 ธีสิสของสวี่เหยียน

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 107 ธีสิสของสวี่เหยียน

ไป๋เยี่ยตื่นขึ้นมาตอนประมาณบ่ายสองโมง เขาหลับเลยเวลาอาหารเที่ยงด้วยซ้ำ

ตื่นมาเขาก็ท้องร้อง แต่ตอนนี้โรงอาหารของมหาวิทยาลัยก็ปิดไปนานแล้ว ไม่มีที่ขายอาหารปรุงสุก ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเพราะทางมหาวิทยาลัยห้ามใช้ไฟในร้านค้าจึงไม่มีอาหารขายเลย

ไป๋เยี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยวในซุปเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็กลับหอพักไปกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนเมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมง เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก

เสียงนั่นดังมาถึงหน้าห้องของเขา

ต้วนเย่ว์และลู่เผยอี้นั่นเอง ทันทีที่พวกเขาเข้ามาก็ตะโกนลั่น “โอ้ กลิ่นบะหมี่เนื้อตุ๋นนี่หว่า! เยี่ยจื่อ ไหงมานั่งกินบะหมี่ตรงนี้ล่ะ!”

ไป๋เยี่ยฝืนยิ้ม “ฉันหลับเลยเวลาอาหารน่ะ เลยไม่มีอะไรกิน ว่าแต่ทำไมพวกนายถึงดูมีความสุขกันจัง”

ต้วนเย่ว์หัวเราะ “ผลสอบพวกเราออกแล้วน่ะ พวกเราสอบติดกันทั้งคู่เลย!”

ลู่เผยอี้ยื่นโทรศัพท์ให้ไป๋เยี่ยดู “ผลสอบรอบสองของมหา‘ลัยเราออกมาแล้ว เราสอบติดทั้งคู่เลย”

ไป๋เยี่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ผลสอบออกแล้วเหรอเนี่ย เร็วมาก!

เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู มันเป็นประกาศสาธารณะที่มีแต่รายชื่อบนนั้น บางคนก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นหรือคนรู้จักของไป๋เยี่ย

ว่ากันตามตรง การสอบเข้าปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเดิมก็มีข้อได้เปรียบอยู่มาก ตราบใดถ้าผลการเรียนไม่เลวร้ายจนเกินไป โอกาสในการสอบติดก็ค่อนข้างสูง

ไป๋เยี่ยกวาดสายตามาเจอชื่อของทั้งคู่

ลู่เผยอี้ คะแนนรวม 78.51 คะแนน เอกอายุรศาสตร์แพทย์แผนจีนสาขาเนื้องอกวิทยา ผ่านการทดสอบ

ต้วนเย่ว์ คะแนนรวม 77.11 คะแนน เอกาบูรณาการการแพทย์แผนจีนและการแพทย์แผนตะวันตกสาขาโรคตับ ผ่านการทดสอบ

คะแนนรวมเป็นระบบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งคำนวณโดยอิงตามการสอบรอบที่หนึ่งและสอง

คะแนนของพวกเขาไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป อยู่ในระดับกลางๆ แต่แค่สอบผ่านก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว!

ไป๋เยี่ยแสดงความยินดีกับทั้งคู่อย่างจริงใจ “ยินดีกับพวกนายด้วยนะ! ทำสำเร็จแล้ว”

ลู่เผยอี้ตบไหล่ไป๋เยี่ย “นายก็พยายามเข้าล่ะ พวกเรารอฟังข่าวดีอยู่นะ คืนนี้พวกเราสี่คนออกไปฉลองกันหน่อยไหม!”

ต้วนเย่ว์หัวเราะ “ใช่แล้ว ไม่ต้องกินมันหรอก บะหมี่น่ะ เดี๋ยวคืนนี้พวกเราเลี้ยงเอง ออกไปดื่มกันหน่อย เดี๋ยวจะโทรตามพ่างจื่อด้วย”

ต้วนเย่ว์พูดจบก็โทรหาพ่างจื่อทันที

ลู่เผยอี้และต้วนเย่ว์สอบติดแล้ว ส่วนพ่างจื่อก็คงกำลังมองหาเส้นทางใหม่อยู่ เหลือแค่ไป๋เยี่ยคนเดียวเท่านั้น

วันนี้เป็นวันที่สิบเอ็ด มะรืนนี้เขาก็ต้องเดินทางไปเมืองไห่ซื่อแล้ว ทว่าไป๋เยี่ยกลับไม่รู้สึกกังวลเท่าเมื่อก่อนเลย ถ้าแม้แต่ตัวเขายังสอบไม่ติดน่ะนะ…ฮ่าๆ!

ประมาณสี่โมงเย็น ไป๋เยี่ยได้รับสายจากสวี่เหยียน เขาไม่ได้เจอรุ่นพี่สุดน่ารักคนนี้มานานแล้ว คิดดังนั้นไป๋เยี่ยก็อดยิ้มไม่ได้

“สวัสดีครับพี่สวี่”

สวี่เหยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์บอกให้ฉันเอาวารสารมาส่งนายน่ะ ลงมาข้างล่างสิ เดี๋ยวจะไปรอที่ศาลาจ้งจิ่งนะ”

ผ่านไปห้านาที ไป๋เยี่ยก็มาถึงตามที่นัดไว้ สวี่เหยียนแต่งตัวสไตล์วัยรุ่นเหมือนดั่งเคยพร้อมกับกอดวารสารไว้แน่น

“พี่สวี่ ไม่ได้เจอกันนานยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ!” ไป๋เยี่ยพูดหยอก

สวี่เหยียนเหลือบมองไป๋เยี่ย “ฉันหมั้นแล้ว เพราะงั้นหยุดพูดจาแบบนี้ซะที มันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ!”

ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง “แน่นอน คนเก่งๆ แบบพี่น่ะคงมีคนต่อแถวรอจีบทั้งมณฑลอยู่ละ!”

ทว่าอยู่ดีๆ ความผิดหวังเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นในแววตาของสวี่เหยียน เธอยื่นวารสารในอ้อมแขนให้กับไป๋เยี่ยก่อนจะเอ่ยว่า “เล่มนี้ของอาจารย์ ส่วนเล่มนี้ของฉันเอง”

ไป๋เยี่ยผงะ หมายความว่าไง

สวี่เหยียนเอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ก็นายเป็นผู้เขียนร่วมของฉันอะ…แต่ก็นะ วารสารของฉันได้คะแนนไอเอฟแค่สองคะแนนเอง ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไรไหม…แต่มันอาจจะพอช่วยนายได้ละมั้ง! เอ้า รับไปซะ”

ไป๋เยี่ยยังคงงงเป็นไก่ตาแตก นี่พี่สวี่ให้เขาเป็นผู้เขียนร่วมด้วยเหรอ

สวี่เหยียนรู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนร่วมชั้นตั้งหลายคน แต่เธอกลับไม่ได้เขียนชื่อคนพวกนั้นลงไปเลย กลับกัน เธอดันเขียนชื่อไป๋เยี่ยลงไปแทน!

แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่มีปัญหาเรื่องเอกสาร แต่น้ำใจของสวี่เหยียนก็มีคุณค่ามากเช่นกัน ไป๋เยี่ยจึงรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณครับพี่! ช่วยได้เยอะเลย…ฮ่าๆ บางทีผมอาจจะสอบติดเพราะบทความของพี่ก็ได้นะ!”

ใบหน้าของสวี่เหยียนแดงก่ำ เธอถอนหายใจก่อนจะสงบสติอารมณ์ลง “อือ ฉันเชื่อว่านายต้องสอบติดแน่ๆ เพราะงั้นก็พยายามเข้าละ!”

สวี่เหยียนพูดจบก็เดินหนีไปทันที ทิ้งให้ไป๋เยี่ยได้แต่มองตามหลังเธอไป ก่อนจะส่ายหัวและเดินกลับขึ้นไปบนห้อง

ตกเย็น ทั้งสี่คนก็ออกไปดื่มกันจนห้าทุ่มก่อนจะกลับมาที่ห้อง ดูเหมือนว่าทุกคนจะดื่มกันเยอะไปหน่อย

โดยเฉพาะพ่างจื่อ นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ไป๋เยี่ยได้เห็นพ่างจื่อร้องไห้

เขาดื่มไปร้องไป แม้ว่าพ่างจื่อจะไม่ได้บอกว่าเขาร้องไห้เพราะอะไร แต่ไป๋เยี่ยก็รู้เหตุผลอยู่แล้ว

ในบรรดาแก๊งเพื่อนสี่คน พ่างจื่อเป็นคนเดียวที่สอบไม่ติด ในขณะที่ทั้งลู่เผยอี้และต้วนเย่ว์ก็สอบติดทั้งคู่ ส่วนไป๋เยี่ยก็ยิ่งได้คะแนนสูงไปอีก

แม้ว่าพ่างจื่อจะไม่ได้พูดอะไร แต่ไป๋เยี่ยก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังเศร้าจริงๆ บางที…มันอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรก็ได้ พ่างจื่อเป็นคนฉลาดและมีความคิดที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร ต่างจากไป๋เยี่ยที่ดูจืดชืดน่าเบื่อ

ไม่ว่าพ่างจื่อจะทำอะไร เขาก็มักจะเป็นคนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วยเสมอ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้จักคนไปทั่วหรอก

การเรียนต่อปริญญาโทเป็นเพียงหนทางหนึ่งในชีวิตเท่านั้น การเรียนแพทย์ก็เช่นกัน หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลจนแม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลสักเพียงใด

แม้ว่าปกติทั้งสี่คนจะสนิทกันดี แต่ช่วงที่ผ่านมานี้ไป๋เยี่ยกับพ่างจื่อก็สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ต้วนเย่ว์และลู่เผยอี้ก็มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้ว

ถึงแม้วันนี้ไป๋เยี่ยจะดื่มไปเยอะ แต่เขากลับไม่เมาหนักเท่าอีกสามคน คงจะเป็นผลจากน้ำยาวิวัฒนาการ

ทั้งสี่คนพยุงกันกลับมาถึงหอพักในที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยเป็นคนที่ตื่นเช้าที่สุด เขาจึงออกไปซื้ออาหารเช้าให้ทั้งสามคน

พรุ่งนี้ไป๋เยี่ยจะต้องออกเดินทางไปเมืองไห่ซื่อแล้ว เขาจึงเริ่มเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางตั้งแต่วันนี้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคราวนี้จะต้องอยู่ที่นั่นกี่วัน

การสอบรอบที่สองจะจัดขึ้นในวันที่สิบสี่ถึงสิบหก และผลสอบจะออกมาภายในสามวันหลังจากนั้น ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องย้ายไปสอบสาขาอื่น ซึ่งจะเหลือเวลาเตรียมตัวไม่กี่วันเท่านั้น

ไป๋เยี่ยจึงเตรียมเสื้อผ้าไปเผื่อ ถึงแม้ว่าเขาแค่จะต้องไปพบอาจารย์ที่ปรึกษา แต่เขาก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีเช่นกัน คงไม่มีใครชอบคนซกมกหรอก

หลังจากเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ไป๋เยี่ยก็โทรหาเถ้าแก่ไป๋ซึ่งเป็นแรงใจเพียงหนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้

“ฮัลโหลพ่อ พรุ่งนี้ผมจะไปไห่ซื่อแล้วนะ วันที่สิบสี่ต้องสอบแล้ว”

เถ้าแก่ไป๋ได้ยินก็ตอบกลับช้าๆ “อยู่ไกลบ้าน ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาพ่อแล้วกัน แต่…การที่แกเก่งขนาดนั้น มันทำให้พ่อรู้สึกไม่มีตัวตนเลยแฮะ”

ไป๋เยี่ยหัวเราะ คงเป็นเพราะเขาไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ไป๋ตงหลินจึงเคารพในการตัดสินใจของไป๋เยี่ยมาก

บางครั้งเถ้าแก่ไป๋ก็มองไป๋เยี่ยดั่งคนรุ่นเดียวกัน ไม่ได้มองว่าเป็นเด็กแต่อย่างใด

ไป๋เยี่ยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหลังจากที่ได้คุยกับเถ้าแก่ไป๋กว่าสิบนาที อันที่จริงเขาไม่รู้สึกกังวลแล้ว เพราะเถ้าแก่ไป๋ยังคงเป็นยอดมนุษย์ในดวงใจของไป๋เยี่ยเสมอ เขาไม่เคยเกรงกลัวปัญหาใดๆ ทั้งยังเลี้ยงดูครอบครัวมาจนถึงทุกวันนี้ได้

ไป๋เยี่ยจึงชอบคุยกับเถ้าแก่ไป๋เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สำคัญๆ มันอาจจะดูไม่เกี่ยวกันสักเท่าไหร่ แต่เสียงของเถ้าแก่ไป๋ก็ทำให้เขาสบายใจไปอีกหนึ่งเปราะ!

——