ในยามรุ่งอรุณ หลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งหลับสนิทอยู่ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยพลังมหาศาล
ก่อนที่นางจะฟื้นตัวตื่นเต็มที่ นางก็ได้ยินจิ่วจิ่วร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าเพิ่งได้ทะลวงผ่านจุดตีบตันของข้าไปได้! หลิงเอ๋อร์น้อย อย่าลืมบอกศิษย์พี่ของเจ้าด้วยนะ ข้าจะกลับไปปิดด่านบำเพ็ญเพียรก่อน!”
“เอ๋…หือ? ท่านทะลวงผ่านจุดตีบตันได้หลังจากตื่นนอนหรือเจ้าคะ” หลันหลิงเอ๋อร์ตอบด้วยท่าทางมึนงง ครั้นเมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นจิ่วจิ่วกำลังมองหารองเท้าของนางไปทั่วพื้น
ครั้งนี้อาจารย์อาจิ่วตื่นเต้นยิ่งนักที่ขอบเขตพลังของนางได้ขยับขึ้นไปอย่างมั่นคงอีกครั้งเพื่อไปสู่ขอบเขตเซียนเทียน จากนั้นนางก็รีบออกจากกระท่อมมุงจากและกระโดดขึ้นไปบนน้ำเต้าก่อนจะมุ่งหน้าไปยังยอดเขาพิชิตสวรรค์อย่างรวดเร็ว
“อย่าลืมบอกให้ศิษย์พี่ของเจ้ารู้ด้วยว่า ข้าจะช่วยเขาหลอมโอสถเมื่อข้าออกมาจากการปิดด่านแล้ว…”
หลันหลิงเอ๋อร์ยังงุนงงอยู่ที่ข้างเตียงไปชั่วขณะหนึ่ง และหลังจากหาวสองครั้งแล้ว นางก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
ครั้นเมื่อนึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์อาของนางทำเมื่อวันก่อนนี้ หลันหลิงเอ๋อร์ก็แย้มยิ้มแล้วถอนหายใจเบาๆ ออกมา
ช่างสบายใจไร้กังวลจริงๆ หลังจากกลายเป็นเซียนแล้ว
“ศิษย์น้องหญิง”
ทันทีที่ได้ยินข้อความเสียงเข้ามาในหู หลันหลิงเอ๋อร์ก็ตอบออกไปในทันใดว่า “ข้าอยู่นี่แล้วเจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วยังคงกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงต่อไปอีกว่า “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านอาจารย์อากล่าวแล้ว ข้าจะต้องปิดด่านบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาสามเดือน และอีกสามเดือนหลังจากนั้นอาจจะต้องออกไปภายนอก เจ้าต้องการโอสถใดหรือไม่ ในครั้งนี้ข้าจะใช้เวลาราวสามถึงห้าปีจึงจะกลับมาอีกครั้ง”
ศิษย์พี่…ท่านจะออกไปรับทัณฑ์สวรรค์หรือเจ้าคะ
ในคราแรกนั้น หลันหลิงเอ๋อร์เบิกบานใจยิ่งนัก ทว่าหลังจากนั้นนางก็มุ่ยปากอย่างไม่พอใจ
แน่นอนว่านางย่อมปีติยินดียิ่งนักที่ศิษย์พี่ของนางจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็ไม่มีความสุขนักเพราะเขาจะกลับมาหลังจากนี้อีกสามถึงห้าปี นับตั้งแต่นางขึ้นมาอยู่บนยอดเขา ศิษย์พี่ก็ไม่เคยจากนางไปนานถึงเพียงนี้
“ข้าไม่ประสงค์สิ่งใดเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ ท่านแค่ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะเจ้าคะ” หลันหลิงเอ๋อร์กระซิบตอบแผ่วเบา
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาตามการส่งข้อความเสียง แล้วหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวเตือนนางว่า “ข้าจะปลุกท่านอาจารย์ก่อนจะจากไปและขอไม่ให้เขาปิดด่านบำเพ็ญเพียรไปอีกหลายปีหลังจากนี้ จงจำไว้ว่าอย่าเที่ยววิ่งเล่นไปทั่ว เจ้าต้องจำสิ่งที่ข้าพร่ำสอนเจ้าไปก่อนหน้านี้ตลอดเวลา และต้องระวังตัว อย่าได้ประมาทจนปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”
“ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ยังไม่สายเกินไปที่ท่านจะพูดเช่นนี้หลังจากที่ท่านออกมาจากการปิดด่านนะ” หลันหลิงเอ๋อร์กลอกตาก่อนจะถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านจะหนีหายไปเลยเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะอยู่ในหอโอสถและไม่ส่งเสียงอีกต่อไป
จากนั้นเขาก็ก้มมองลงไปยังแสงสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นมาในฝ่ามือของเขา
เขาไม่ได้คาดหวังว่าคืนกลับเต๋าวิถีขั้นที่เก้าของเขาจะมาเร็วกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มากเช่นนี้
เวลานี้ดูเหมือนว่าขอบเขตเต๋าของเขาจะ…มีการเติบโตอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ดที่ผุดขึ้นมามากมายหลังสายพิรุณโปรย มันมีความต้องการที่จะทะยานขึ้นไปตลอดเวลา ทว่าโชคดีที่เขายังสามารถระงับได้
หลังจากบรรลุขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นเก้าแล้ว ก็เป็นไปได้มากว่า เขาจะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์
เช่นนั้นก็จะต้องใส่การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ในกำหนดการเดินทางของเขาด้วย
หลี่ฉางโซ่วตัดสินใจมานานแล้วว่าจะออกไปเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์เพราะไม่ต้องการเปิดเผยขอบเขตพลังการฝึกฝนของเขา และไม่ต้องการให้ผู้ใดได้เห็นการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเขา
เพราะการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เป็นเรื่องของเขาเอง และค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาก็จะไม่มีผลใดๆ เลย
การหาที่หลบซ่อนภายนอกเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเขา จะไม่แตกต่างไปจากปัจจัยด้านความปลอดภัยของสำนักมากนัก
แต่หากต้องการออกจากสำนักได้สำเร็จอย่างราบรื่น เขาก็ต้องใช้ความพยายามบ้าง
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจเบาๆ
“โชคดีที่ยังมีโอกาส”
……
สำนักตู้เซียนมีกฎที่เข้มงวดซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปยังศิษย์ที่ยังไม่บรรลุเซียนด้วยการจำกัดคำพูดและการกระทำของบรรดาศิษย์เหล่านั้น เพื่อเป็นการดูแลและกระตุ้นให้พวกเขาฝึกฝน รวมถึงปกป้องพวกเขาให้ได้รับความปลอดภัยตลอดเวลา
หลี่ฉางโซ่วเป็นผู้บำเพ็ญที่โดดเด่นในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสองของสำนักตู้เซียน ดังนั้นจึงมีข้อจำกัดค่อนข้างเข้มงวดในการออกไปภายนอก
นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกเดินทางไปหาประสบการณ์ในดินแดนเทวะอุดรเพื่อค้นหาสมุนไพร
ในการออกจากสำนักเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมเหตุผลที่จะไปแจ้งหอไป่ฝานเพื่อขอออกไปภายนอก ซึ่งบรรดาศิษย์ทั้งหลายจะมีโอกาสได้กลับบ้านเกิดและไปเยี่ยมหลุมศพบรรพบุรุษได้หนึ่งครั้ง
เนื่องจากเมื่อก้าวเข้าสู่สำนักเซียน ก็จะไม่ได้เชื่อมโยงกับโลกมนุษย์อีกต่อไป ดังนั้นจึงควรตัดขาดสัมพันธ์ไปอย่างสิ้นเชิง
ทว่าหัวใจมนุษย์นั้นเติบโตจากเนื้อหนังในขณะที่หัวใจเต๋าก็ยังมีความทุกข์ยากในโลกมนุษย์เช่นกัน
บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์เคารพยกย่องในความจงรักภักดี มารยาท และความกตัญญูกตเวทีเพื่อใช้สั่งสอนผู้คน แม้ผู้บำเพ็ญจะหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ แต่พวกเขาก็ไม่อาจไม่กตัญญูต่อบิดามารดาที่เลี้ยงดูพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาก็ควรไปเยี่ยมหลุมฝังศพและบูชาสักการะพวกท่าน
ในด้านนี้สำนักตู้เซียนก็ได้เรียนรู้มาจากหลายสำนักใหญ่ในดินแดนเทวะมัชฌิมาและนำมาปฏิบัติได้ดีมาก
หลังจากมีศิษย์ใหม่ที่มาจากโลกมนุษย์เข้าสู่สำนัก ผู้ดูแลสำนักชั้นนอกจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทุกๆ สิบปีพวกเขาจะไปดูแลบิดามารดาของศิษย์ใหม่โดยมอบทรัพย์สินทั้งทองคำและเงิน รวมถึงโอสถเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยและเครื่องรางให้แก่พวกเขาเพื่อการดำรงชีวิตและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติต่างๆ ของพวกเขา และยังบอกกับพวกเขาว่าศิษย์เหล่านั้นเป็นอย่างไรในสำนัก ทว่าจะไม่ช่วยยืดอายุขัยของพวกเขาให้ยืนยาวขึ้น
ชีวิตและความตายล้วนถูกลิขิตเอาไว้แล้ว โชคชะตาก็ย่อมมีจำกัด สำนักตู้เซียนก็ไม่ต้องการสร้างกรรมที่ไม่จำเป็นมากเกินไปด้วยเช่นกัน ชีวิตและความตายได้รับการแก้ไข และโชคชะตามีจำกัด และประตูอมตะไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับเหตุและผลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป
หลังจากที่บิดามารดาของศิษย์สิ้นชีวิตแล้ว พวกเขาก็จะแจ้งให้ศิษย์ได้รับรู้และอนุญาตให้พวกเขากลับไปบ้านเกิดเมื่อใดก็ได้เป็นเวลาสามปีเพื่อกราบไหว้บิดามารดาของพวกเขา และนับตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็จะได้ตัดขาดจากการเชื่อมโยงใดๆ กับโลกมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว หลี่ฉางโซ่วได้รับแจ้งจากสำนักว่าทั้งบิดามารดาของเขาในโลกมนุษย์ได้ล่วงลับไปแล้ว
ภายใต้การดูแลของสำนักตู้เซียน บิดามารดาของเขาซึ่งเป็นคนเลี้ยงสัตว์ธรรมดาในชนเผ่าเร่ร่อนของดินแดนเทวะทักษิณก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้มากกว่าหนึ่งร้อยปีโดยไม่มีความเจ็บป่วยหรือภัยพิบัติใดๆ ในชีวิต
สำหรับบิดามารดาของเขาในช่วงชีวิตนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่ได้มีความทรงจำมากนัก อย่างไรก็ตามเขาถูกท่านอาจารย์พาขึ้นมาบนภูเขาตั้งแต่ยังเยาว์วัย และเขาก็สมัครใจขึ้นไปบนภูเขาด้วยตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้าและอาหารตลอดชีวิตสำหรับพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่ต้องวิตกกังวลใดๆ ไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วย อีกทั้งยังประสบกับภัยพิบัติลดน้อยลง
เมื่อเขาได้รับแจ้งจากสำนัก หลี่ฉางโซ่วก็อยากจะไปเยี่ยมหลุมศพของพวกเขาทันที ทว่าเขาต้องระงับชั่วคราวเนื่องจากต้องเตรียมการออกไปภายนอกเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ด้วย
แต่มีปัญหานิดหน่อย
ในตลอดระยะเวลาสามปีแห่งการดูแลหลุมฝังศพ หากผู้ดูแลสำนักชั้นนอกเดินทางออกไปปฏิบัติภารกิจภายนอกและผ่านบ้านเกิดของศิษย์ในช่วงสามปีที่ศิษย์ไปเยี่ยมหลุมศพของบิดามารดาของพวกเขา ผู้ดูแลสำนักเหล่านั้นก็จะต้องไปดูสถานการณ์ของศิษย์ว่าเป็นอย่างไร
หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมการเกี่ยวกับประเด็นนี้เช่นกัน เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกผู้อาวุโสแห่งหอไป่ฝานมาตั้งแต่ช่วงต้นๆ โดยเฉพาะ ‘ผู้อาวุโส’ ที่ดูแลกิจการของบรรดาลูกศิษย์นั้นคุ้นเคยกันดีมาก
เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของปลาวิญญาณ
ผู้อาวุโสคนนี้ต่างจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ
ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของหอไป่ฝานล้วนเป็นเซียนเสิ่น ตัวอย่างเช่น ผู้อาวุโสเก่อซึ่งรับผิดชอบเรื่องงานทั้งภายในและภายนอกสำนัก
บรรดาผู้อาวุโสที่แท้จริงของสำนักตู้เซียนล้วนกำลังฝึกบำเพ็ญในยอดเขาต่างๆ โดยไม่ได้สนใจไต่ถามถึงเรื่องเล็กน้อย พวกเขาจะไม่สามารถได้รับการยกย่องเช่นนี้ได้ เว้นแต่พวกเขาจะอยู่ในขอบเขตเซียนเทียน
…….
สามเดือนต่อมา…
ขณะนี้หลี่ฉางโซ่วตะโกนปลุกท่านอาจารย์ซึ่งปิดด่านฝึกบำเพ็ญอยู่ และบอกว่าตนเองต้องกลับไปเยี่ยมหลุมศพบิดามารดาที่บ้านเกิด อาจารย์จะต้องดูแลศิษย์น้องหญิงของเขาให้มากขึ้น
แน่นอนว่านักพรตเต๋าชราฉีหยวนย่อมอนุญาตให้เขาไป เขาไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ และยังชี้ชวนให้หลี่ฉางโซ่วละวางจากความกังวลทางโลกและการเชื่อมโยงที่เขามีกับโลกมนุษย์เสียตั้งแต่เนิ่นๆ และมุ่งมั่นอยู่กับวิถีเซียน
ทว่าในทางตรงข้าม หลันหลิงเอ๋อร์กลับทนไม่ได้ที่จะแยกจากเขาจึงเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ข้า…ไปที่นั่นเพื่อดูแลหลุมฝังศพพร้อมกับศิษย์พี่ด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ…”
“ลองเดาสิ” หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้ม แล้วหลันหลิงเอ๋อร์ก็คอตกเมื่อรู้คำตอบในทันที
นางยังคงไม่ปรารถนาจะแยกจากเขา
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็จับปลาวิญญาณสองสามตัวจากทะเลสาบ และใส่ไว้ในแขนเสื้อก่อนจะขึ้นบนเมฆขาวแล้วบินไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์
ในขณะนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ก็ยืนอยู่ที่ด้านข้างของทะเลสาบและมองดูแผ่นหลังศิษย์พี่ของนางอย่างเงียบๆ ขณะที่ภาวนาในใจว่า ขอให้ท่านเอาชนะและข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้โดยสวัสดิภาพ ก่อนจะกลับไปที่กระท่อมมุงจากของนางเพื่อฝึกฝนหลังจากใช้เวลาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานกว่าครึ่งวัน
…………………………..