บทที่ 78 งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศล
บทที่ 78 งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศล
ณ โรงแรมโกลเดน อีเกิล อินเตอร์เนชันแนล
ที่นี่คือโรงแรมหรูระดับห้าดาวซึ่งเป็นระดับสูงสุดในจินหลิง ตัวตึกตั้งอยู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจของจินหลิง ใกล้กับวัดขงจื๊อ ทะเลสาบเสวียนอู่ และจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันยอดเยี่ยม
งานเลี้ยงอาหารค่ำการกุศลจัดอยู่ที่ชั้น 6 ของโรงแรม
ผู้จัดงานในครั้งนี้คือจินหลิงหยางกรุ๊ป
บริษัทนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของจินหลิง ด้วยสินทรัพย์รวมกว่าหมื่นล้านหยวน ผู้นำคือ ‘หยางเซี่ยวหาง’ เจ้าตระกูลหยางแห่งจินหลิง
รถยนต์คันหรูจำนวนมากได้มาจอดอยู่ที่หน้าประตูโรงแรมตั้งแต่ตะวันเริ่มตกดิน สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีแต่งตัวกันอย่างเฉิดฉายเดินพรมแดงกันเข้ามาที่ประตูโรงแรม ขณะที่นักข่าวหลายสิบคนถือกล้องอยู่นอกประตู และคอยเล็งเลนส์ไปยังแขกรับเชิญอยู่ตลอดเวลา
อาจกล่าวได้ว่าแขกที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลในคืนนี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในเมืองจินหลิง หรือเป็นบุตรธิดาของตระกูลสำคัญ
เมื่อถังหว่านมาถึงก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว
ถังหว่านสวมชุดราตรีเดินพรมแดงก่อนที่จะเซ็นชื่อลงบนแบ็กดรอป แล้วหมุนตัวเข้าไปในโรงแรม เดินตามพนักงานไปยังชั้นหก ท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟน ๆ
ปกติแล้วเธอเป็นดาราที่มักตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วไป ทว่าในคืนนี้กลับไม่ใช่ เพราะในงานเลี้ยงแห่งนี้มีคนดังกว่าเธอมากมายหลายคนที่มาร่วมงาน
“ถังหว่าน พี่อยู่นี่!” เสียงเรียกดังขึ้นไม่ไกลนัก
เธอมองไปตามเสียงนั้น ก่อนจะพบว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าและเป็นพี่ชายที่ดีในวงการบันเทิง
“พี่เกาฉง ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” ถังหว่านหยิบไวน์แดงขึ้นมาชนแก้วกับอีกฝ่าย
“ใช่ เราไม่ได้เจอกันมาครึ่งปีแล้วใช่ไหม ละครเรื่องล่าสุดทำให้พี่ไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกเลย” เกาฉงกล่าวด้วยยิ้มอย่างขมขื่น
“เห็นว่าไปถ่ายในทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือเหรอคะ?” ถังหว่านเอ่ยถาม
“ใช่! ถ่ายไปได้กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ” เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะถามว่า “เธอล่ะ เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่พี่ออกจากจินหลิงไปถ่ายละคร เธอยังไม่ได้ออกเพลงใหม่เลยไม่ใช่เหรอ หรือว่ายังไม่เจอเพลงดี ๆ…”
“ยังไม่เจอเพลงที่ถูกใจน่ะค่ะ” ถังหว่านตอบไปตามตรง
“ให้ตายเถอะ ทุกวันนี้โลกถูกครอบงำด้วยกระแสเป็นแรงขับเคลื่อน อันที่จริง ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหรือนักร้อง สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือผลงานคุณภาพดี แต่เดี๋ยวนี้มีน้อยเกินไปจริง ๆ ที่จะทำได้ขนาดนั้น” เกาฉงยิ้มอย่างขมขื่น
ถังหว่านยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ แต่ในใจเธอก็เห็นด้วยกับเขา
ทันใดนั้น ชายหญิงมากหน้าหลายตาก็เดินเข้ามาหาทั้งสอง
ถังหว่านไม่รู้จักพวกเขา แต่เห็นว่าคนเหล่านี้เดินตรงมาหาเกาฉงอย่างชัดเจน เธอจึงหาข้ออ้างออกไปทันทีแล้วเดินไปยังมุมหนึ่งของงาน
เดิมทีเธอก็เป็นคนเย็นชาและไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว แม้ว่าถังหว่านจะทำงานในวงการบันเทิง แต่เธอก็มีเพื่อนน้อยมาก
“โอ๊ะ ถังหว่าน ทำไมเธอถึงมาหลบอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ออกไปสนุกเหรอ? หลี่เป้ยเป้ยเพิ่งจะถามฉันเองว่าคืนนี้เธอจะมาไหม” หญิงวัยกลางคนหน้าตาสดใสเดินเข้ามาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม
“พี่เหอ” ถังหว่านกล่าวทักทายอีกฝ่าย
“ถังหว่าน เธอนี่ไม่เหมาะกับงานรื่นเริงจริง ๆ” เหออวี้เหมยส่ายหัว ก่อนจะพูดเสริมว่า “เอาเถอะ ด้วยอารมณ์ศิลปินของเธอก็สามารถแสดงผลงานดี ๆ ให้กับแฟนคลับได้จนมีอิทธิพลกับผู้คนมากเชียว”
“พี่เหอยกยอกันเกินไปแล้วค่ะ” ถังหว่านยิ้ม
“ฉันพูดจริงนะ แต่หลี่เป้ยเป้ยนี่…ดูเหมือนจะสร้างปัญหาให้เธอมากมายใช่ไหม ไหนจะเรื่องบริษัทของเธอที่กำลังพยายามรวบรวมเพลงของเธอ ฉันได้ยินมาว่าโปรดิวเซอร์ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ในประเทศได้รับคำขอจากจากบริษัทของเธอแล้ว ยิ่งถ้าบริษัทของเธอไม่รีบเร่งทำมันอีกละก็ เรื่องเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของเธอคงจะล่าช้าไปกว่านี้อีกแน่” เหออวี้เหมยว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ” ถังหว่านส่ายหัว
“เธอนี่นะ! จะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ฝ่าฟันอุปสรรคได้ยังไง?” เหออวี้เหมยยิ้มทันที ก่อนจะมองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก เธอหันกลับมาถามถังหว่านด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันได้ยินมาว่าสัญญาของเธอกำลังจะหมดอายุแล้ว สนใจย้ายมาบริษัทของเราไหม? ตราบใดที่เธอเต็มใจมา ฉันรับประกันว่าทรัพยากรของบริษัทส่วนใหญ่จะมอบให้เธอแน่นอน อย่าลืมเก็บไว้พิจารณาล่ะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะลองไปคิดดู” ถังหว่านพยักหน้า
เหออวี้เหมยไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ดวงตากลับมองไปยังบริเวณส่วนกลางของงานเลี้ยง
เธอเห็นหยางเซี่ยวหาง ประธานใหญ่แห่งหยางกรุ๊ปกำลังทักทายกับแขกไม่หยุด ขณะที่ด้านหลังก็มีประธานคนอื่นในแวดวงธุรกิจของจินหลิงติดสอยห้อยตามเขาไปด้วย
แม้ว่าเธอจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่เมื่อเทียบกับประธานพวกนั้นแล้ว มันก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแต่อย่างใด
คนกลุ่มนี้คือคนที่เธอต้องการมองหา
และแล้วดวงตาของเหออวี้เหมยก็เปล่งประกายในทันทีเมื่อเห็นชายแต่งตัวดีสองคนที่เพิ่งมาถึงห้องจัดเลี้ยง
“ถังหว่าน เธอเคยเขาเห็นไหม นั่นน่ะเพชรน้ำงามอันดับหนึ่งของจินหลิงเลยนะ แล้วอีกคนก็เป็นลูกหลานตระกูลชื่อดังในวงการด้วย” เหออวี้เหมยแตะแขนของถังหว่าน
“พี่เหอหมายความว่ายังไงคะ” ถังหว่านรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เพชรน้ำงามอะไร?
ตระกูลดังไหน?
เธอไม่รู้เรื่องเพราะเธอไม่เคยสนใจ
“นี่เธอไม่รู้จักหวงไห่เทากับเฉิงฮ่าวเลยเหรอ พวกเขาเป็นถึงอัจฉริยะด้านธุรกิจที่โด่งดังที่สุดในจินหลิงเลยนะ แล้วพวกเขายังติดอันดับโพลผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดด้วย”เหออวี้เหมยเอ่ยแนะนำเสร็จก็กล่าวต่อทันที “เธอนี่นะ อย่ามัวแต่สนใจอาชีพของตัวเองตลอดเวลาสิ ควรคิดเรื่องแฟนไว้บ้าง เฉิงฮ่าวคงไม่มีโอกาสแล้ว แต่หวงไห่เทายังลองเก็บไปคิดได้นะ”
“…”
ถังหว่านไม่รู้ว่าเธอควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สุดท้ายก็ได้แต่คลี่ยิ้มอย่างไม่เต็มใจ
หวงไห่เทา?
แน่นอนว่าเธอรู้จักเขา แต่ไม่คิดจะเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย แล้วเธอยังจะต้องคิดอะไรอีก?
ทว่าในตอนนั้นเอง สายตาของถังหว่านก็เห็นอะไรแปลก ๆ เข้า
นั่นคือหลี่เป้ยเป้ยที่ปรี่เข้ามาต้อนรับหวงไห่เทากับเฉิงฮ่าวในทันใด
“ดูสิ หลี่เป้ยเป้ยกระตือรือร้นแค่ไหน มีคนเคยเล่าว่าเธอชอบหวงไห่เทา และอยากจะแต่งงานกับครอบครัวที่ร่ำรวยเพื่อกลายเป็นภรรยาที่ร่ำรวย ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริงนะเนี่ย!” ดวงตาของเหออวี้เหมยฉายแววรังเกียจ
ข่าวซุบซิบนี้ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย ถังหว่านคิดว่าเธอสามารถนั่งฟังมันฆ่าเวลาได้เลย
หลี่เป้ยเป้ยมีรายการสัมภาษณ์สำคัญที่ต้องถ่ายบันทึกเทปในวันนี้ แต่เพื่อที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำการกุศลที่จัดโดยหยางกรุ๊ปในคืนนี้ เธอจึงไปขอให้บริษัทช่วยพูดคุยกับสถานีโทรทัศน์และเลื่อนรายการออกไป
เธอมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์สองประการ
ประการแรก สร้างคอนเน็กชันและทำความรู้จักกับผู้ทรงอิทธิพล
และประการที่สองคือ หวงไห่เทา
เธอรู้ว่าหวงไห่เทามีคู่หมั้นแล้ว แต่เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม หลี่เป้ยเป้ยเชื่อในความงามและสติปัญญาของตัวเอง ทั้งยังเชื่อว่าไม่มีมุมใดในโลกที่ขุดไม่ได้ เธอจึงต้องการขึ้นเรือใหญ่ของหวงไห่เทา และแล่นเข้าไปในตระกูลหวงเพื่อเป็นภรรยาที่ร่ำรวย
“ไห่เทา บอสเฉิง พวกคุณมาช้านะคะ” หลี่เป้ยเป้ยยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับคุณหลี่” เฉิงฮ่าวมองหลี่เป้ยเป้ยด้วยสีหน้ารู้ทัน เและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณกับผมเป็นเพื่อนเก่ากันนะ เหมือนกับไห่เทาไง เรียกผมด้วยยศแบบนี้น่าเสียใจจริง ๆ!”
“งั้นฉันจะเรียกคุณว่าพี่เฉิง”
“ฮ่า ๆ!” คราวนี้เป็นเสียงเจ้าของงานที่เดินยิ้มร่าเข้ามาต้อนรับ “บอสหวง บอสเฉิง ผมรอพวกคุณมานานแล้ว” หยางเซี่ยวหางเอ่ยพลางหัวเราะลั่น
“ขอโทษที่มาช้าครับพี่หยาง!”
“รู้ตัวว่ามาช้า เพราะงั้นลงโทษตัวเองด้วยสองแก้วเร็วเข้า!”
หวงไห่เทาและเฉิงฮ่าวตอบรับด้วยรอยยิ้ม
หยางเซี่ยวหางเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 45-46 ปี นี่เป็นยุคทองของชีวิตและจุดสูงสุดในอาชีพการงานของเขา แม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยพลัง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสเมื่อเจอกับหวงไห่เทาและเฉิงฮ่าว
สายตาของหยางเซี่ยวหางหันไปจับจ้องหลี่เป้ยเป้ยและยิ้มกว้างให้หญิงสาว “นี่คงเป็นคุณหลี่เป้ยเป้ย ผมเคยฟังเพลงของคุณแล้ว เพราะมากจริง ๆ”
“ขอบคุณค่ะบอสหยาง ฉันจะตั้งใจทำงานมากขึ้นอีกค่ะ” หลี่เป้ยเป้ยรู้สึกพอใจที่ได้ยินแบบนั้น และรีบโค้งขอบคุณอีกฝ่ายทันที
“ครับ ผมจะตั้งตารอนะ” หลังจากที่หยางเซี่ยวหางพูดจบ เขาก็มองไปที่หวงไห่เทากับเฉิงฮ่าวอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีเพื่อนอีกสองคนมาด้วย ให้ผมแนะนำไหมครับ?”
“ได้เลยครับ”