บทที่ 172 ขาดแคลนทรัพยากร

เมอร์ลินเดินออกจากห้องของเขา แสงแดดส่องมา ทําให้เขารู้สึกแสบตาเล็กน้อย หลังจากปรับสายตาของเขาเล็กน้อย เขาได้อยู่ในห้องของเขามาแล้วสองสามวันทําให้เขาปรับสายตาเข้ากับแสงแดดไม่ทัน

“โคซิออน มานี่!”

ตอนนี้สาวใช้กําลังอุ้มโคซิออนขึ้นมาซึ่งก่อนหน้านี้เด็กกําลังวิ่งเล่นในทุ่งกว้าง แม้ว่าเขาจะได้ยินเสียงเรียกของเมอร์ลิน แต่เขาก็ไม่ตอบสนองต่อพ่อของเขา

เมอร์ลินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งโคซิออนกับซิเลียไม่ได้ใกล้ชิดเมอร์ลินขนาดนั้น ทุกครั้งที่เมอร์ลินเรียกพวกเขาไม่เคยมาหาเมอร์ลินเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เมอร์ลินก็ไม่รู้จะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง

เมอร์ลินเดินเข้าไปหาโคซิออนและอุ้มเขา เด็กน้อยตั้งใจจะต่อต้านเมอร์ลิน มือเล็กๆ ของเขายังคงดึงและ เกาเมอร์ลิน การกระทําของเขาทําให้สาวใช้หลายคนหัวเราะออกมา

เมอร์ลินเหลือบมองสาวใช้เหล่านี้และถามว่า “เชอรีสกับแอวริลอยู่ที่ไหน”

สาวใช้ตอบอย่างสุภาพว่า “ท่านไวเคานต์ ท่านหญิงทั้งสองกําลังอาบน้ําอยู่เจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินคําตอบ เมอร์ลินก็ส่ายหัวเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขากําลังอาบน้ําในระหว่างวัน พวกเขาจึงสามารถใช้น้ํายาฟื้นฟู เนื่องจากเมอร์ลินน้ํายาฟื้นฟูให้กับพวกเธอก่อนหน้านี้จึงทําให้พวกเธอคลั่งไคล้การอาบน้ํามาก ทุกวันพวกเธอจะเทน้ํายาฟื้นฟูลงในอ่างน้ําร้อนและแช่ในน้ําเป็นเวลานาน

ผลของน้ํายาฟื้นฟูนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ หลังจากแช่ตัวแล้ว ผิวของเชอรีสและแอวริลเนียนนุ่มและอ่อนเยาว์มาก

คนส่วนใหญ่กล่าวว่าผู้หญิงถือว่าความงามเป็นชีวิต เมอร์ลินก็เพิ่งเข้าใจความหมายของคําเหล่านี้ก็ ผู้หญิงชอบความงามโดยไม่คํานึงถึงอายุและสถานะ น้ํายาฟื้นฟูไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในหมู่แม่มดเท่านั้นแต่ยังเป็นที่รักของผู้หญิงธรรมดาอีกด้วย

เมอร์ลินเหลือบมองไปยังชั้นสองของปราสาท เขารู้ว่าเชอรีสกับแอวริลกําลังดื่มกับน้ํายาฟื้นฟู ดังนั้นพวกเขาจะไม่ปรากฏตัวขึ้นชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากนั้นเขาหันหน้าไปนอกปราสาท เขาตั้งใจจะไปเยี่ยมพ่อมดฮิลล์เพื่อตรวจสอบว่าน้ํายาผงม่วงสามารถทําให้โครงสร้างเวทมนต์ของเขาเสถียรหรือไม่

ดังนั้นเมอร์ลินจึงวางโคซิออนลงและออกจากปราสาทวิลสันไป

“ท่านไวเคานต์ พวกเรามาแล้ว!”

รถม้าค่อย ๆ หยุดลง เมอร์ลินมาถึงที่พักของพ่อมดฮิลล์แล้ว

เมอร์ลินลงไปเคาะประตู สาวใช้คนเดิมเปิดประตูออกและนําทางเข้าไปในบ้าน เมื่อเมอร์ลินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาเห็นชายชราถือหนังสืออยู่ในมือและอ่านอย่างสบาย ๆ ในบ้านของเขา

“พ่อมดฮิลล์ โครงสร้างเวทมนต์ของท่านเสถียรแล้วเหรอ?”

เมื่อเห็นว่าชายชรารู้สึกผ่อนคลาย เมอร์ลินก็ยิ้มเช่นกัน ดูเหมือนว่าน้ําผงม่วงที่เขานํามาจากดินแดนมนต์ดํานั่นค่อนข้างได้ผลดี

เมอร์ลินลงไปนั่งข้างหน้าชายชรา สาวใช้ชุดสีเทายื่นถ้วยน้ําอุ่นและถั่วแห้งจํานวนหนึ่งให้เขา เมอร์ลินคว้าถั่วแล้วกัดเข้าไป ถั่วมีกลิ่นหอมและกรุบกรอบ รสชาติอร่อย

ชายชราเหลือบมองเมอร์ลินและยิ้ม “พ่อมดเมอร์ลิน น้ํายาผงม่วงที่เจ้านํากลับมานั้นได้ผลดีจริง ๆ ข้าไม่จําเป็นต้องระงับโครงสร้างเวทมน์ด้วยพลังจิตอีกต่อไป ข้าสามารถใช้เวทมนต์ได้ แม้ว่าพวกมันยังคงไม่เสถียรเล็กน้อย ข้าเลยต้องดื่มน้ํายาผงม่วงอย่างต่อเนื่อง”

จากนั้นชายชราก็เหลือบมองเมอร์ลินและพูดด้วยเสียงต่ําว่า “พ่อมดเมอร์ลิน ข้าใช้ผงหินม่วงหมดแล้ว มันเป็นส่วนผสมหลักที่ต้องใช้ในสูตรในการทําน้ํายาผงม่วง เจ้าพอจะมีมันอีกมั้ย?”

เมอร์ลินส่ายหัว “ผมได้ใช้ผงหินสีม่วงจนหมดแล้ว นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่ท่านเท่านั้น ผมยังขาดวัสดุปรุงยาอีกมากมายด้วย หลังจากออกจากดินแดนมนต์ดํา มันยากมากที่จะหาพวกมัน แม้แต่ในเมืองปรากาซก็ไม่มีเช่นกัน”

เมอร์ลินก็ทําอะไรไม่ถูกในเรื่องนี้เช่นกัน เขาต้องการวัสดุปรุงยาแต่เขาไม่พบพวกมันเลยในเมืองปรากาช เนื่องจากการขาดวัสดุปรุงยาทําให้พ่อมดพเนจรหลายคนจึงต้องการเข้าร่วมองค์กรนักเวทย์

ทรัพยากรต่าง ๆ นั้น มันจําเป็นมาก ถ้าไม่มีพวกมันก็ทําให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในจุดตีบตันไม่สามารถไปต่อได้

ทางด้านเมอร์ลิน เขาอยู่ในดินแดนมนต์ดํามาเป็นเวลาหนึ่งปี เขาได้เพลิดเพลินกับทรัพยากรทุกประเภทในหอสมุด เขาต้องใช้แค่แต้มสนับสนุนเพื่อให้ได้ของที่ต้องการ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกคาถา อุปกรณ์เวทมนต์ หินธาตุและวัสดุปรุงยาทุกประเภทในหอสมุดได้มาจากการกวาดล้างตามสถานที่ต่างๆ

หลังจากออกจากองค์กรนักเวทย์ เมอร์ลินก็รู้สึกถึงอุปสรรคที่เห็นได้ชัดในการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา

“เมืองปรากาชตามธรรมชาติไม่มีวัสดุปรุงยา นักเวทย์หลายคนที่ต้องการแข็งแกร่งของตนเองจะไม่มาที่เมืองปรากาชแต่ถ้าพ่อมดเมอร์ลินต้องการวัสดุปรุงยาจริง ๆ ข้ารู้สถานที่ที่อาจมีสิ่งที่เจ้าต้องการ

ชายชราวางหนังสือลงและพูดด้วยน้ําเสียงสงบในขณะที่หรี่ตาลง

“โอ๋? ที่ไหนหรือ?”

เมอร์ลินรีบถามทันที เขาต้องการสถานที่ที่มีวัตถุดิบปรุงยาอยู่จริงๆ เมื่อได้พวกมันมา เขาจะสามารถเตรียมน้ํายามนตราอสูรกับน้ํายาบลูเบอร์รี่เพื่อเพิ่มพลังจิตของเขาได้

ถ้าไม่มีน้ํายาพวกนั้น เขาเขาจะต้องใช้เวลากว่าสองสามปีเพื่อที่จะสามารถสร้างคาถาระดับแรกให้ครบทั้งหกธาตุได้

หากเป็นเช่นนั้น เขาจะถูกขับออกจากดินแดนมนต์ดําก่อนที่จะสร้างคาถาครบ

“สถานที่แห่งนั้นคือเมืองโฟลทติ้ง มีนักเวทย์หลายคนทําการค้าขายที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อมดพเนจร พ่อมดจากกองทัพ พ่อมดจากองค์กรนักเวทย์หรือนักเวทย์จากตระกูลนักเวทย์ มีนักเวทย์ทุกประเภทปรากฏตัวในเมืองโฟลทติ้ง”

จากนั้นชายชราได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเมืองโฟลทติ้ง เมอร์ลินได้ฟังอย่างเงียบ ๆ และอยู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“โฟลทติ้ง เมืองโฟลทติ้ง…เดี๋ยวก่อนนะ แม่มดเอเลน่าอยู่ในตระกูลเดลแมนในเมืองโฟลทติ้งไม่ใช่หรือ?”

เมอร์ลินนึกถึงแม่มดเอเลน่าขึ้นมาทันใด แม่มดสาวที่ดูน่ารักและมีชีวิตชีวาคนนั้นพูดถึงเมืองโฟลทติ้งกับเมอร์ลินหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนมนต์ดํา เมอร์ลินไม่ได้คิดอะไรมากในขณะนั้น เขาคิดว่าชื่อ “เมืองโฟลทติ้ง” เขาคิดว่ามันเป็นเมืองธรรมดาอาณาจักรแบล็คมูน

อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังคําอธิบายของชายชรา เขาก็รู้ว่าเมืองโฟลทติ้งเป็นสถานที่ที่นักเวทย์หลายคนมา แลกเปลี่ยนสิ่งของให้กันและกัน

“พ่อมดฮิลล์ คุณเคยไปเมืองโฟลทติ้งมาก่อนหรือเปล่า” เมอร์ลินถามขึ้นทันที

ชายชราพยักหน้า “ครั้งหนึ่งเมื่อสิบปีที่แล้ว เป็นเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยนักเวทย์ หลายคนค้าขายที่นั่น ถ้าพ่อมดเมอร์ลินตัดสินใจไปที่นั่น ข้าก็จะไปกับเจ้าด้วยเพื่อแลกเปลี่ยนวัสดุที่จําเป็นสําหรับผงหินม่วง”

“เอาล่ะ หลังจากที่ผมเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ผมจะไปกับพ่อมดฮิลล์!”

เมอร์ลินยืนขึ้นและยิ้ม เขาต้องการวัตถุดิบปรุงยาอย่างเร่งด่วน เขามีคาถาที่ซับซ้อนเช่นน้ําค้างเยือกแข็งกับเขตแดนแสงดําซึ่งพวกมันต้องใช้พลังจิตอย่างมากในการสร้างพวกมัน

หากพึ่งพาแต่การใช้เทคนิคการทําสมาธิ มันออกจะนานเกินไป เขาต้องใช้น้ํายาเพื่อเพิ่มพลังจิตอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เขากล่าวอําลาพ่อมดฮิลล์แล้ว เมอร์ลินก็กลับไปที่รถม้าและมุ่งหน้ากลับไปที่ปราสาทวิลสันทันที

หลังจากกลับมาที่ปราสาทวิลสัน เมอร์ลินถามสาวใช้ว่าเลห์แมนอยู่ที่ไหน จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางด้านหลังของปราสาท

ปราสาทวิลสันดูแตกต่างไปจากปีที่แล้วมาก หลังจากที่เลห์แมนได้ปรับเปลี่ยนบางอย่าง โดยเขาปรับปรุงด้านหลังปราสาทให้กลายเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ เขาใช้ฝึกอัศวินเกราะเหล็กของเขา

อย่างไรก็ตาม วันนี้เลห์แมนไม่ได้ฝึกอัศวินเกราะเหล็ก มีเพียงคนไม่กี่คนกําลังฝึกฝนกระบวนท่าลึกลับกับเขา

เมอร์ลินสังเกตจากระยะไกลเห็นว่าเลห์แมนกําลังฝึกฝนกระบวนท่าลีกลับร่วมกับลุงแพรตต์ ยาเกซและชายอีกสองคน แม้ว่าเมอร์ลินจะไม่รู้จักชื่อของพวกเขาแต่เขาก็คุ้นเคยกับใบหน้าของพวกเขาเป็นอย่างดี พวกเขาอาจเป็นอัศวินเกราะเหล็กที่ติดตามเลห์แมนจากเมืองแบล็กวอเตอร์มายังเมืองปรากาซ

เลห์แมนเชื่อใจทั้งสี่คนนี้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สอนกระบวนท่าลึกลับให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน

“นั่นใคร?”

ทันใดนั้นเลห์แมนก็ลืมตาขึ้น ออร่าที่น่าสะพรึงกลัวได้ปกคลุมร่างกายของเขาทั้งหมดและพวกดูเหมือนสัตว์ร้ายที่กําลังจะกระโจนใส่คู่ต่อสู้และกลืนกินพวกมัน

“ท่านพ่อ นี่ผมเอง!” เมอร์ลินแสดงตัวทันทีและเดินเข้ามาหาพวกเขา

หลังจากที่เลห์แมนได้ฝึกฝนกระบวนท่าลึกลับมาพักใหญ่แล้ว ประสาทสัมผัสของเขาก็คมชัดขึ้นมาก ดังนั้นเขาจึงสังเกตเห็นเมอร์ลินจากระยะไกลได้ทันที

หลังจากรู้ว่าเป็นเมอร์ลิน เลห์แมนก็ลดออร่ารอบตัวเขาและเผยรอยยิ้มที่ใจดีออกมา เขาถามว่า “เมอร์ลิน ลูกมาที่นี่ทําไม”

สายตาของเมอร์ลินกวาดสายตามองคนที่อยู่เบื้องหลังเลห์แมนชั่วครู่และยิ้ม “ท่านพ่อ ผมมาหาท่านพ่อเพื่อปรึกษาอะไรบางอย่าง ว่าแต่สองคนนี้คือ…?”

เมอร์ลินจ้องไปที่ชายร่างกํายําสองคน เลห์แมนได้กล่ามาว่า

“สองคนนี้เป็นรองผู้บัญชาการของอัศวินเกราะเหล็กเอ็มเม็ตกับบาเบล พวกเขาติดตามพ่อมาหลายปีด้วย ความจงรักภักดีของพวกเขาพ่อจึงตัดสินใจสอนกระบวนท่าลึกลับให้กับพวกเขา”

พวกเขาโค้งคํานับเล็กน้อยเมื่อมองไปที่เมอร์ลิน “พวกผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติขอรับ ท่านไวเคานต์”

ในปราสาทวิลสัน เมอร์ลินเป็นไวเคานต์ ในขณะที่เลห์แมนเป็นบารอน

เมอร์ลินจําชายสองคนนี้ได้ไม่มากนักแต่เนื่องจากพวกเขาได้รับเลือกจากเลห์แมน เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก เลห์แมนเข้าใจถึงความสําคัญของกระท่าเหล่านี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ส่งต่อให้ใครอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างแน่นอน

“เมอร์ลิน ลูกคิดอย่างไรกับยาเกซ”

อยู่ ๆ เลห์แมนก็เหลือบไปมองยาเกซและเผยรอยยิ้มออกมา ในขณะที่เขาถามเมอร์ลินเบาๆ