บทที่ 49 เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของเขา

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 49 เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของเขา?

ในใจของอาจื้อตอนที่บิดายังอยู่ ท่านแม่เคยพูดว่าไม่ต้องการลูกและต้องการกลับบ้านเพียงลำพัง

ต่อมาเมื่อท่านพ่อจากไป ท่านแม่เองก็มีชีวิตที่ยากลำบาก แต่ก็เริ่มที่จะดูแลตนเองและน้องสาว

ตอนนี้ท่านแม่ถามการบ้านของพวกเขาทุกวัน สอนน้องสาววาดรูป และเล่านิทานให้น้องชายฟัง…

ในเวลานี้ท่านพ่อกลับมาแล้ว ท่านแม่จะดีกับพวกเขาเช่นนี้ไปตลอดหรือไม่?

อาซือเห็นท่าทางจริงจังของพี่ชาย จึงเผยสีหน้าเดียวกันออกมา

เหยาซูสามารถมองออก แม้ว่าอาจื้อจะอายุยังน้อย แต่กลับมีความคิดมากมาย ในขณะที่อาซือยังคงเด็กอยู่และไม่ค่อยรู้ความมากนัก

นางได้ปลอบใจลูกทั้งสองคนอย่างอดทน “ท่านพ่อก็คือท่านพ่อ แม่ก็คือแม่ ไม่ว่าท่านพ่อจะกลับมาหรือไม่ แม่ก็จะดีกับพวกเจ้าเหมือนเดิมอย่างไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ต้องห่วง…สิ่งที่แม่ตัดใจไม่ได้มากที่สุดก็คือการเสียลูกรักทั้งสามคนไป ใครเล่าอยากจะเสียสมบัติที่มีค่าไปง่าย ๆ? เวลาดูแลพวกเจ้าแต่ละหน จะจูงมือก็กลัวหกล้ม ยัดเข้าปากก็กลัวละลาย นี่แหละคือสิ่งที่แม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้า”

น้ำเสียงอันแสนอ่อนโยนของท่านแม่ทำให้อาซือเริ่ม ‘หัวเราะ’ ออกมา “ท่านแม่กลัวว่าเราจะละลายเหมือนหิมะในฤดูหนาวหรือเจ้าคะ”

เหยาซูอดกลั้นหัวเราะไม่ได้ ส่งเสียงอืมเบา ๆ อาจื้อขมวดคิ้วทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

ทั้งสามคนพากันกลับไปที่บ้านหลังน้อยของพวกเขา เหยาซูวางลูกกวาดกุ้ยฮวาลงแล้วเดินไปที่ห้องครัว

ไฟบนเตายังไม่ดับ นางจึงเริ่มนึ่งข้าว จากนั้นเตรียมอาหารสำหรับมื้อกลางวัน

อาซือหยิบไข่มาสามฟองจากตะกร้า ตอกลงบนชามอย่างระมัดระวัง ใช้ตะเกียบคนให้เข้ากันแล้วส่งให้กับเหยาซู

“ท่านแม่ ข้าจะเป็นคนทอดเอง!” อาจื้ออาสา

เขายังเด็กมาก ทำอาหารอย่างอื่นไม่เป็น แต่สำหรับไข่ทอดแล้วเขาชำนาญที่สุด

บางทีอาจเป็นเพราะนางเคยทุกข์ทรมานกับการอยู่ในบ้านตระกูลหลิน แม่หวังไม่อยากให้เด็ก ๆ กินของดี บ่อยครั้งเวลาที่แม่ไก่วางไข่ พวกเขาจะแอบต้มมันในครัวแล้วยกมันให้กับหลินหง ไม่ต้องพูดถึงไข่ทอดที่ต้องใช้น้ำมัน อาจื้อและอาซือแทบจะได้กินเพียงปีละครั้งเท่านั้น

เด็กทั้งสองคนจึงชอบไข่ทอดมาก โดยเฉพาะอาจื้อ

เหยาซูยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นแม่จะยกหน้าที่นี้ให้เจ้า แล้วแม่จะไปทำอย่างอื่น ระวังโดนไฟลวกนะ”

แม่ลูกช่วยกันทำกับข้าว ไม่นานอาหารสามจานก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมกับหม้อเล็ก ๆ ที่มีข้าวนึ่ง

เด็กทั้งสองคนแย่งกันยกจานและหยิบชามขึ้นมาบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

ยังไม่ทันได้ลงมือกินข้าวก็ได้ยินเสียงประตูบ้านลั่นดังขึ้น

จากนั้นก็มีเสียงตะโกนของเอ้อหลาง “ท่านอา! ข้าพาอาเขยมาส่ง….”

คิ้วของเหยาซูขมวดเข้าหากันทันที เด็กทั้งสองคนเห็นการแสดงออกของผู้เป็นมารดาจึงวางตะเกียบลง

“ท่านแม่..?” อาจื้อกระซิบ

เหยาซูได้แต่ยิ้มให้กับเด็กทั้งสองคน และพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกเจ้ากินไปก่อน เดี๋ยวแม่จะออกไปดูเอง”

เอ้อหลางไม่ได้เข้ามาในเรือน เขามองไปที่ท้องฟ้าแล้วพูดกับหลินเหราว่า

“ท่านอาเขย ข้าต้องขอตัวก่อน! บิดาของข้ากำลังจะกลับมา…แต่ข้ายังเขียนอักษรไม่ครบยี่สิบคำ!”

พูดจบก็หายวับไปไม่เห็นแม้แต่เงา

เมื่อเหยาซูออกมาจากห้อง ก็เห็นแม่ทัพหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังอุ้มซานเป่าที่ส่งเสียงโยเย

นางเดินไปข้างหน้า ถามราวกับว่าไม่มีสิ่งใดจะพูด “เอ้อหลางเล่า..”

หลินเหรามองภรรยาของตน ใบหน้าขาวผ่องของนางดูสุขภาพดีภายใต้แสงแดดในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ สายลมค่อย ๆ พัดเอื่อย แต่ลมที่พัดมาทำให้คิ้วของนางขมวดเล็กน้อย

ตอนนี้ใบหน้าที่สวยงามของนางยังคงเหมือนเดิม ทว่าอารมณ์ของนางดูสงบกว่าปกติ

“กลับไปแล้ว” หลินเหราพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เขาต้องกลับไปเขียนอักษรให้ครบยี่สิบคำก่อนมื้อเที่ยง”

พอนึกถึงตัวอักษรคล้ายผ้ายันต์กันผีของเอ้อหลาง เหยาซูก็รู้สึกปวดหัว อาจื้ออายุน้อยกว่าเอ้อหลางถึงสองปี แต่กลับเขียนตัวอักษรได้ดีกว่าญาติผู้พี่มาก

เพราะเหยาเฉายุ่งอยู่ในเมืองหลายปี จึงเปลี่ยนให้ลุงใหญ่ที่เคร่งครัดและจริงจังคอยดูแลลูกชายของเขาเขียนตัวอักษรทุกวัน

เขียนไม่เสร็จยี่สิบคำในตอนเช้าจะไม่ให้กินข้าว

เมื่อนึกถึงหลานชายที่ร้องโอดครวญทุกวันจนไม่สามารถถือพู่กันได้ คิ้วของเหยาซูก็ค่อย ๆ คลายออก มุมปากของนางยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ “ช่างลำบากเขาจริง ๆ”

เด็กสองคนยืนแนบชิดอยู่ที่ประตูห้อง มองดูบิดามารดายืนห่างกันเกือบหนึ่งลี้โดยมีกำแพงบ้านกางกั้น และไม่พูดสิ่งใดสักคำ

หลินเหราเห็นว่าลูก ๆ ทั้งสองคนกำลังยืนเงียบอยู่หน้าประตู ดวงตาคู่นั้นหม่นหมองลงเล็กน้อย เขาหันไปหาภรรยาและกระซิบว่า

“ไม่ให้เข้าไปหรือ?”

ลมพัดผมที่ปรกอยู่บนหน้าผากของหลินเหรา ทำให้เหยาซูเห็นรอยแผลเป็นที่ยังไม่หายดีบนใบหน้าแข็งกระด้างทว่าหล่อเหลาของเขา เป็นเพราะรอยแผลเป็นนี้ ทำให้ชายหนุ่มดูมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น

เมื่อเพ่งมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเหยาซูก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบเงียบสงัด

ดวงตาที่เย็นชาของเขาดูราวกับดวงดาวที่ห่างออกไปหลายพันลี้ เผยให้เห็นอารมณ์สับสนและกระตุ้นหัวใจของนางจนทำอะไรไม่ถูก

“อืม…เข้ามาสิ”

ในที่สุดเหยาซูก็ให้หลินเหราเข้ามาในบ้าน

ความจริงแล้วนางตั้งใจที่จะไม่ยอมให้เขาเข้ามาในบ้าน แต่เพราะหน้าตาหล่อเหลาที่เหนือความคาดหมายของหลินเหรา ทำให้นางประทับใจ!

ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นพ่อของเด็ก ๆ แม้ว่านางจะไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขามากนัก แต่สายเลือดของลูก ๆ ก็แยกออกจากกันไม่ได้ นางจะยอมให้ลูกไม่มีพ่อได้อย่างไร

เรื่องการหย่าค่อยพูดคุยกับเขาในวันหน้า…

หลินเหราอุ้มซานเป่าอยู่ ในที่สุดก็สามารถเข้าสู่พื้นที่ของภรรยาและลูก ๆ ของเขาได้

ภายในห้องไม่ใหญ่มากนัก กลางห้องมีโต๊ะไม้ท้อสีแดงตั้งอยู่ บนโต๊ะมีอาหารจานเล็กที่เพิ่งจะออกมาจากหม้อไม่นานแถมยังมีไอร้อนลอยออกมา

บางทีอาจเป็นเพราะอากาศไม่หนาวแล้ว เตาถ่านที่อยู่ริมหน้าต่างจึงไม่ถูกจุด หน้าต่างที่เปิดขึ้นครึ่งหนึ่งทำให้แสงแดดสาดส่องลงมาจนภายในห้องดูสว่างไสว

ข้างกำแพงมีชั้นวางของ บนชั้นวางของมีของเล่นที่ทำจากไม้อยู่มากมาย ดูเหมือนเด็ก ๆ ทั้งสามจะชอบมัน

ที่แห่งนี้มีขนาดเล็กแต่ชื้นน้อยกว่าห้องทางตะวันตกที่พวกเขาอาศัยอยู่กับตระกูลหลินในอดีต ซึ่งห้องนั้นไม่มีแสงส่องถึงตลอดทั้งวัน

“ส่งซานเป่ามาให้ข้า”

เหยาซูรับเด็กน้อยจากมือของหลินเหรา สายตาของพวกเขาไม่ได้สบกัน นางหันไปพูดกับหลินจื้อว่า “ต้าเป่า พาท่านพ่อไปล้างมือ”

หลินเหราได้สติหันกลับมามองเหยาซูอย่างลึกซึ้ง แล้วเดินตามอาจื้อไปที่ลานบ้าน

แต่เด็กชายตัวเล็ก ๆ รู้สึกหดหู่และไม่ได้พูดอะไรมาก

ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่ของเจ้านั้น….”

“ท่านพ่อ! ล้างมือให้สะอาดเถิดขอรับ!”

อาจื้อจดจ่ออยู่กับการตักน้ำจากตะกร้าแล้วเทลงไปในอ่างไม้ ราวกับทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดลงไปในสิ่งที่กำลังทำและไม่สนคำถามของผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย หลินเหราขมวดคิ้ว แต่ไม่พูดอะไรอีก

เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของเขา?

หลังจากล้างมือเสร็จและกลับเข้าไปในห้อง เหยาซูวางซานเป่าไว้บนเปลแล้วถามอาซือเสียงเบาว่า “ซานเป่ากินอะไรมาบ้างหรือยัง”

ลูกสาวคนรองพูดอย่างว่าง่าย “น้องชายดื่มนมแพะสองครั้งในตอนเช้าและเขาก็ตื่นขึ้นมาเล่น จากนั้นท่านยายก็ป้อนนมให้อีกชามเจ้าค่ะ”

อาจื้อได้ยินก็เดินเข้าไปแสดงผลงานของตัวเอง “ท่านแม่! ข้าเป็นคนป้อนนมแพะให้น้องชายเอง!”

อาซือหัวเราะคิกคัก “ครั้งนี้พี่ชายไม่ได้ทำหกเหมือนครั้งก่อน!”

เหยาซูยิ้มพลางลูบหัวของอาจื้อแล้วพูดกับอาซือว่า “พี่ชายควรดูแลน้องชายเหมือนที่พี่ชายดูแลเจ้ามาตลอด แต่ลูกคนรองอย่างเจ้าก็ต้องช่วยพี่ชายปกป้องซานเป่าให้โตขึ้นด้วยเข้าใจหรือไม่”

บรรยากาศระหว่างแม่ลูกอบอุ่นและกลมกลืนมาก นี่เป็นสิ่งที่หลินเหราหวังมาตลอด ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาถูกแยกออกจากความอบอุ่นนี้

ชายคนนั้นได้แต่อยู่นิ่ง ๆ เฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของภรรยาและลูก ๆ ของเขา

เหยาซูวางซานเป่าไว้ก่อนจะมองไปทิศทางของหลินเหรา นางหลุบตาลงแล้วพูดว่า “มากินข้าวกันเถอะ”

บนโต๊ะมีอาหารเพียงสามจานของแม่ลูก แล้วเขาจะกินอะไร?

หลินเหราลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าไม่หิว พวกเจ้ากินกันเถอะ”

ในที่สุดเหยาซูก็มองเขา

ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงสงบนิ่ง คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาไร้แววอารมณ์จ้องมองนางอย่างตั้งใจ

“หากไม่พอข้าจะไปทำเพิ่ม…”

นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจึงขมวดคิ้ว “แค่ผัดกับข้าวเพิ่มอีกจานเท่านั้น ท่านนั่งลงกินก่อนเถอะ”

พร้อมกันนั้นนางก็ลุกขึ้น เมื่อเห็นเด็กสองคนเดินตามไปที่ครัวจึงรีบพูดว่า “ตามแม่มาทำไม? พวกเจ้านั่งกินกับท่านพ่อเถอะ!”

“ท่านแม่…”

อาจื้อถูกเหยาซูกดให้นั่งลงบนกับเก้าอี้ อาซือก็ทำท่าทางอยากตามไปในครัวเช่นกัน แต่เหยาซูไม่สนใจการประท้วงของลูกทั้งสองคน “นั่งลงแล้วหยิบตะเกียบกับชามขึ้นมา”

อาจื้อและอาซือนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน พวกเขาหยิบชามและตะเกียบขึ้นมาอย่างว่าง่าย เพียงแต่สายตายังคงจ้องมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นแม่ไปอย่างใจจดใจจ่อ

เหยาซูลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องครัว ไม่ใช่ว่านางอยากทำอาหารให้ผู้ชายคนนี้จริง ๆ เพียงแต่การอยู่ห้องเดียวกันนาน ๆ โดยไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดกับเขามันช่างน่าอึดอัด ทางที่ดีหลบออกมาอย่างเงียบสงบคงดีกว่า

บนเตามีกะหล่ำปลีอีกครึ่งลูกที่ล้างเสร็จแล้ว เดิมทีตั้งใจจะเก็บไว้กินตอนเย็น เหยาซูได้หยิบมันขึ้นมาและวางแผนที่จะทำผัดผัก

ขณะนางยกมือขึ้นก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะทำเอง”

เหยาซูสะดุ้งตกใจจนทำของในมือหล่น โชคดีที่ชายหนุ่มสามารถรับมันไว้ได้ทันท่วงที

นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดถึงเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง?!”

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจอพ่อเด็กหล่อแล้วหวั่นไหวใช่ไหมอาซู ต้องมาอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้จักนี่มันก็เลิกลั่กสินะ

ไหหม่า(海馬)